ตอนที่แล้วเคียวที่ 25 : บาปไม่จบ นรกไม่ไม่รู้จัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเคียวที่ 27 : ชมรมขนหัวลุก

เคียวที่ 26 : อะไรที่มันไม่พิเศษ


สองอาทิตย์หลังจากเรื่องราวร้าย ๆ ผ่านพ้นไป

อาการของชาบูก็ดีขึ้นตามลำดับ ตอนนี้กลับมาเรียนตามปกติแล้ว ส่วนอิฐก็เหลือเพียงรอยแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นจากตะปู โดยมีไหมเป็นคนแนะนำพวกยาและครีมบำรุงที่ช่วยลดรอยแผลเป็นบริเวณแขนและหน้าท้องให้มัน ซึ่งเจ้าตัวก็บ่นตลอดเวลา ว่าต่อไปจะถอดเสื้อโชว์ซิกแพคให้สาว ๆ ดูได้ยังไง ถ้ายังมีรอยแผลเป็นพวกนี้ ... ก็ใช่ว่าจะมีมากอะไรหรอกครับ เจ้าตัวมันก็โอเว่อร์แอคติ้งไปเอง

ใยไหมกลายมาเป็นอีกหนึ่งคนที่รู้ความจริงว่าผมเป็นยมทูต หลังจากเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในคืนนั้น ส่วนเรื่องของเค้ก ผมคิดว่าพ่อของเค้กคงจะพาเจ้าตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชแล้วล่ะ เพราะไม่เคยเห็นเค้กมาเรียนอีกเลย และกรรมที่พ่อของเค้กได้ทำไว้กับคนอื่น ผมก็ไม่อยากจะยุ่ง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโลกหลังความตายจะดีกว่า พวกเราต่างกลับมาทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นในอดีต เลือกเก็บไว้แต่ช่วงเวลาที่เคยรู้สึกดีด้วยก็พอ เรื่องร้าย ๆ ก็ลืมมันไป แต่จะให้ทำใจกลับไปคบเป็นเพื่อนอีกก็คงจะไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่ เลิกแล้วต่อกันดีกว่า

“ไหม ขอยืมปากกาหน่อย”

“นี่วัน ๆ แกกะไม่เอาอะไรมาเรียนเลยใช่ไหม ไอ้บ้าชา !”

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างชาบูกับใยไหมก็เริ่มดีขึ้น กลับมากัดกันเหมือนเดิมแล้ว ผมไม่รู้ว่าเพื่อนทั้งสองคนจะเริ่มความสัมพันธ์แบบคนรักได้หรือเปล่า คงต้องปล่อยให้เวลาและเรื่องราวต่าง ๆ เป็นตัวช่วยต่อไป

แต่ยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่แสนจะเลวร้าย และกำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตนักศึกษาของพวกเราในอีกไม่ช้า

มิดเทอมเหมือนเพิ่งผ่านพ้นไป ... ไฟนอลก็กำลังจะก้าวเข้ามา

ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาไปที่เข็มสั้นชี้เลขสอง เข็มยาวชี้เลขสิบสอง ไม่ใช่บ่ายสองโมงตรงนะ แต่เวลานี้คือตีสองแล้วต่างหาก ผม อิฐ ชาบู และใยไหมมานั่งกันอยู่ที่หอสมุดมหาวิทยาลัย ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบ หอสมุดจึงเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง และตอนนี้เรามีติวเตอร์พิเศษมาติววิชาเคมีให้ด้วย ฟองนมนั่นเอง ในฐานะน้องรหัสและคนพิเศษ ฟองเลยกะมาติวให้ผมโดยเฉพาะ ส่วนตัวอยากจะติวกันสองต่อสองมากกว่า แต่ไอ้พวกก้างขวางคอก็ดันตามมาด้วย

“กูเริ่มไม่ไหวแล้ว หิวด้วย” เสียงร้องครวญครางดังมาจากข้างตัวผม ชาบูนั่นเอง

“จริง สมองกูก็ไม่รับอะไรแล้ว” ตามมาด้วยอิฐ

“ไหมก็ว่างั้น เราออกไปหาอะไรกินให้ตาสว่างก่อนเถอะค่ะพี่ฟอง” เสริมด้วยใยไหม

“งั้นพอก่อนเถอะฟอง ออกไปหาไรกินกัน” ผมพูดออกไป ตาผมก็จะปิดแล้วด้วย

พวกเราทั้งห้าคนมาจบลงที่ร้านโจ๊ก ที่เปิดอยู่ข้างรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งร้านนี้จะเปิดขายโต้รุ่งเลย ประกอบกับช่วงนี้เหล่านักศึกษาอยู่ในช่วงเทศกาลสอบกันด้วย ทางร้านเลยจะขายดีเป็นพิเศษ

“โจ๊กหมู ใส่ไข่ ไม่เอาเครื่องใน ไม่ใส่ผัก 4 ครับ ฟองเอาอะไร”

ประโยคแรกผมสั่งออกไปตามความเคยชินเผื่อเพื่อน ๆ เนื่องจากรู้ไส้รู้พุงกันดี ว่าใครชอบกินอะไร ไม่ชอบกินอะไร อีกอย่างมันจำง่ายมากเลย เพราะทุกคนชอบกินแบบเดียวกัน รวมถึงตัวผมด้วย จะว่าไป นี่ก็เป็นการกินโจ๊กครั้งแรกด้วยกันกับฟองเลยนะเนี่ย

“เอาโจ๊กปลาล่ะกัน” ฟองตอบ แล้วผมก็เมมเมนูนั้นเข้าสมองทันที เขาว่ากันว่าผู้หญิงชอบคนใส่ใจรายละเอียดครับ

ใช้เวลารอไม่นาน โจ๊กอุ่น ๆ ทั้งห้าถ้วยก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ โชคดีที่เรามาถูกจังหวะ เพราะโต๊ะที่นั่งเหลืออยู่เป็นโต๊ะสุดท้ายที่มีที่ว่างครบคนพอดี

“ขอบคุณพี่ฟองมากเลยนะครับ อุตส่าห์มาติวให้พวกเราทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็จะสอบด้วย” ชาบูพูดขึ้นมา

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ทบทวนบทเรียนสม่ำเสมออยู่แล้ว อ่านแปบเดียวก็เข้าห้องสอบได้ มาติวให้พวกเราดีกว่า”

“ทำไมรู้สึกเหมือนโดนหลอกด่าเลยอะครับ” ชาบูพูด

ทำเอาพวกเราฮาครืนกันทั้งวง

“รู้ตัวด้วยเหรอ นึกว่าจะคิดไม่ได้ซะอีก” ว่าแล้วใยไหมก็ซ้ำเติมชาบูต่อ

“หยุดเลยไหม เธอเองก็ไม่ชอบวิชานี้เลยไม่อ่าน แล้วให้พี่ฟองมาติวให้ไม่ใช่เหรอ”

“แต่วิชาอื่นฉันก็ได้ท็อปคลาสไม่ใช่เหรอ ไม่เหมือนนายหรอก” ใยไหมพูดขึ้นมาพร้อมดีดนิ้วใส่หน้าผากของชาบูจนเจ้าตัวร้องโอดโอย

“พอเลย หยุดเลย พวกมึงทั้งคู่ตีกันเป็นคู่ผัวเมียเลย กูจะจิ้นพวกมึงได้ไหมเนี่ย” อิฐพูดขึ้นมา

“ไอ้บ้าอิฐ ! ฉันไม่ตาถั่ว จับไอ้ตี๋ตาตี่นี่มาเป็นแฟนหรอก ไม่มีทาง รอให้ดวงอาทิตย์หลุดออกจากระบบสุริยะก่อนเถอะ” ใยไหมตวาดแว้ดขึ้นมาจนคนมองกันทั้งร้าน ส่วนชาบูก็นั่งหัวเราะขำที่มีเพื่อนคอยเป็นแบคอัพให้ตัวเอง

“อย่าไปสนใจเลยฟอง เพื่อนผมแต่ละคนไม่ค่อยเต็ม” ผมหันไปพูดกับฟองยิ้ม ๆ

“มึงเต็มมากเลยไอ้คีย์ เวลาอยู่หอนะครับ มันชอบละเมอออกมาเพ้ออะไรไม่รู้อยู่คนเดียวตอนตีสาม แถมตอนอาบน้ำชอบร้องเพลงดังลั่นเผื่อแผ่เพื่อนทั้งหออีกด้วย แล้วยัง...อุป”

“ไอ้อิฐ !”

ผมรีบเอามือไปตะครุบปากไอ้อิฐทันที ก่อนที่มันจะสาวไส้ผมไปมากกว่านี้ ใคร ๆ ก็อยากดูดีต่อหน้าคนที่ชอบถูกไหมครับ มาเผากูต่อหน้าฟองแบบนี้ได้ไงวะ

คุยเล่นกันไปมาจนเวลาล่วงเลยไปเกือบตีสาม ทุกคนก็ได้ข้อสรุปว่าไว้ติวกันต่อพรุ่งนี้ ไม่น่าจะกลับไปที่หอสมุดอีกแล้ว สมองไม่สามารถรับรู้อะไรเพิ่มเติมได้อีก ผม อิฐ และชาบูแวะไปส่งสาว ๆ ที่หอ ก่อนแยกย้ายกันกลับมาที่ห้องของพวกเรา

การติวและสอบผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดการสอบวิชาสุดท้ายของภาคเรียนที่หนึ่งก็จบลงไปสักที เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์กลับดูยาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ หลังจากออกห้องสอบ ผมกับเพื่อน ๆ แทบอยากจะโปรยชีททุกวิชาเล่นให้รู้แล้วรู้รอด มันเหมือนชีวิตได้รับการปลดปล่อยอย่างไงอย่างงั้น ถามว่าทำข้อสอบได้ไหม ก็คงต้องตอบว่าได้ทำ เกรดเป็นไงเดี๋ยวมาลุ้นกันอีกที

ใครที่เพิ่งผ่านพ้นมัธยมปลายแล้วคิดว่าการสอบระดับมหาวิทยาลัยมันจะเข้าไปกา ๆ แล้วเสร็จ คิดผิดแล้วครับ เพราะมันเป็นอัตนัยเกือบทุกวิชา เนื้อหาวิชาที่เรียนเทอมเดียวและบอกว่าเป็นพื้นฐาน กลับเอาเนื้อหามัธยมปลายทั้งหมดมาเรียนในหนึ่งเทอมแถมบวกเนื้อหาเพิ่มเข้าไปแล้วสอบ ดังนั้นจำนวนเนื้อหาที่ต้องอ่านมันจะเยอะมาก ๆ ถ้าไม่ทยอยอ่านมาตั้งแต่ต้นเทอม ก็จะมีกรรมแบบพวกเรา ที่จะต้องอ่านหนังสือข้ามวันข้ามคืนเพื่อไปสอบ ซึ่งมันจะเหนื่อยจริงอะไรจริง

ผมหันไปมองเพื่อนสองคนที่พอมาถึงหอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ดูท่าจะโดนสูบวิญญาณจากการสอบครั้งนี้ไปมากพอสมควร ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนพิมพ์ข้อความส่งให้ใครบางคน

Read 17:30 สติ๊กเกอร์รูปหัวใจ สอบเสร็จแล้วค้าบ

Read 17:30 ไปเดินเล่นอ่างเก็บน้ำหลังมอกัน

หืม อารมณ์ไหนเนี่ย 17:31

Read 17:32 น่า นะ ไปนะครับ มีอะไรจะคุยด้วย เดี๋ยวผมไปรับที่หอ ยืมมอไซค์ไอ้อิฐไป

โอเค เดี๋ยวฟองเปลี่ยนเสื้อผ้าแปบ17:33

Read 17:34 งั้นอีก 15 นาทีผมไปรับนะ

จ้า 17:35

“อิฐ ยืมมอไซค์มึงหน่อย ขี้เกียจขับรถยนต์ ไม่มีที่จอด” ผมเดินไปสะกิดไอ้อิฐที่เตียงตรงข้ามชาบู มันเงยหน้าขึ้นมาล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนโยนกุญแจรถให้ผม

“ไปไหนวะ ฝากซื้อข้าวด้วยดิ” อิฐพูดขึ้นมา

“กูฝากด้วย” ตามมาด้วยเสียงของชาบู

“เออ ๆ” ผมรับปากพวกมันไปส่ง ๆ ก่อนเดินออกจากห้องเพื่อไปรับฟองที่หอ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยเท่าไรนัก เอาเข้าจริงแค่ข้ามถนนจากรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้นเอง

ผมไปรอหน้าหอฟองไม่นาน เจ้าตัวก็เดินออกมาจากหอพัก วันนี้ฟองใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนขาสั้นเลยเข่าขึ้นมา เผยให้เห็นเรียวขาสวยจนทำให้ผมอดใจมองตามไม่ได้ ผมยิ้มกว้างพร้อมโบกมือเรียกเธอ

“ปะ พร้อมแล้ว” เจ้าตัวพูดจบก็ก้าวขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายผม ผมหยิบหมวกกันน็อคอีกใบส่งให้ฟอง แม้อ่างเก็บน้ำในมหาวิทยาลัยจะอยู่ไม่ไกลมาก แต่ผมคิดว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าเราไม่ประมาทซะอย่าง อุบัติเหตุก็ไม่เกิดหรอกครับ

“เกาะแน่น ๆ นะค้าบ จะกอดเอวผมก็ไม่ถือนะ”

“เนียนเลย ไม่กอดหรอก ขับช้า ๆ ละกัน”

อ่างเก็บน้ำของมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่นักศึกษามักจะมาวิ่งเล่น เดินเล่น ออกกำลังกายกันรอบ ๆ บริเวณนั้นเป็นประจำในช่วงเย็นของวัน ผมว่าบรรยากาศที่นี่ดีนะ เย็นสบาย มีต้นไม้ล้อมรอบ ตอนนี้อยู่ในช่วงอาทิตย์สอบ จำนวนคนที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้เลยน้อยกว่าปกติ

ผมกับฟองเดินเล่นคู่กันรอบอ่างเก็บน้ำไปเงียบ ๆ ต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไร วันนี้ที่นัดฟองมาเดินเล่นเพราะมีอะไรจะพูดด้วย ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ผมควรจะขอฟองคบเป็นแฟนสักที หลังจากคุยกันมานานหลายเดือน และคิดว่าฟองคงคิดแบบเดียวกันกับผม เราควรมีสถานะชัดเจนได้แล้ว ผมเหลือบตาไปมองยังคนที่ตัวสูงน้อยกว่าเป็นพัก ๆ ใบหน้าขาวเนียน ดวงตากลมโตกำลังมองตรงไปข้างหน้า ริมฝีปากสีชมพูเล็ก ๆ นั่น มันทำให้เจ้าตัวตอนนี้ดูน่ารัก น่าทะนุถนอมเข้าไปอีก

อยากจูบ อยากหอมชะมัด ...

ผมส่ายหัวตัวเอง ก่อนที่จะคิดอะไรเตลิดไปมากกว่านี้ ...

“ฟอง” ผมเรียกคนข้างตัว

“หืม ว่าไง” เจ้าตัวขานรับแล้วหันหน้ามาหา ใบหน้าฟองอยู่ในระดับอกผม เธอเงยหน้าขึ้นมามอง ดาเมจนั้นช่างรุนแรงยิ่งนัก แล้วคำพูดที่ผมเตรียมจะพูดออกมาก็ละลายหายไปดื้อ ๆ

“บรรยากาศดีเนอะ” และนั่นคือสิ่งที่ผมพูดออกไป

“เป็นไรปะเนี่ย วันนี้มาแปลก ๆ” เจ้าตัวยิ้มขำ ผมต้องเผลอทำหน้าเหวอ ๆ ออกไปแน่ ๆ

“เปล่า ก็ชวนคุยไง”

“มีไรจะพูดก็พูดมาเถอะคีย์”

“คือว่า ...”

ทีเวลาอย่างนี้ ผมกลับพูดไม่ออกซะงั้น มันยากตรงไหนเนี่ยแค่ขอคบเป็นแฟน หรือมันจะยังฝังใจตอนเรื่องของแพท เพราะกลัวว่าฟองจะปฏิเสธวะ

“คือว่าอะไร ...” ฟองถามย้ำขึ้นมาอีกที

“เป็นแฟนกันนะ”

เปล่าหรอก ผมไม่ได้พูดประโยคนั้นออกไป คำพูดนั้นดังออกมาจากริมฝีปากชมพูที่อยู่ระดับอกผม ผมกะพริบตาถี่ ๆ สมองยังคงประมวลผลอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เฮ้ย ! เดี๋ยวดิ ประโยคนี้ผมต้องพูดไม่ใช่เหรอ” ผมถามออกไป เกาหัวแก้เก้อ

“ก็รอมานานแล้วอะ รู้อยู่น่าว่าจะพูดอะไร” ฟองพูด เงยหน้ามาจ้องผม โอ๊ย เกราะบวกสิบก็เอาไม่อยู่ สายตาแบบนั้น รอยยิ้มแบบนั้น ให้ตายเถอะ

“เป็นไรอะ” เสียงใสดังขึ้นมา

“ผมก็เขินเป็นปะ มาจ้องหน้าซะขนาดนี้”

“ตกลงจะเป็นเปล่าแฟนอะ” คนขอเป็นแฟนถามซ้ำ

“เอาอย่างงี้เลยเหรอ”

“ก็จีบมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

นั่น มีย้อนผมด้วย

“เป็นสิ ไม่เป็นได้ไง ว่าแต่จะไม่ถามหน่อยเหรอ ว่าทำไมคีย์เพิ่งจะมาขอคบตอนนี้” ผมถามออกไป ขนาดเพื่อน ๆ ผมยังเชียร์ให้ขอคบเป็นแฟนตั้งนานแล้วเลย และไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงปล่อยให้เวลามันผ่านไปหลายเดือนขนาดนี้

“ไม่อะ ลึก ๆ ก็รู้อยู่แล้ว ว่าคีย์ดูเป็นคนจริงจังพอสมควร ทำอะไรต้องมั่นใจ ยิ่งเคยเล่าเรื่องแพทให้ฟังแล้วยิ่งเข้าใจ”

ผมพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่ฟองพูด

“น้อยใจเปล่า ที่ตอนแพทเคยเล่าให้ฟังว่ามีทั้งดอกไม้ ทั้งร้องเพลงก่อนขอเป็นแฟน แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรพิเศษเลย” ผมถามออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้ผมไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะรู้สึกว่าพอโตขึ้น ก็เข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น ไม่ต้องพยายามทำอะไรให้มันดูเว่อร์ ขอแค่มีความจริงใจมันก็เพียงพอแล้ว และผมว่าฟองรับรู้ได้

“ไม่นะ ฟองว่าความพิเศษมันไม่ได้อยู่ที่ของพวกนั้นหรอก มันอยู่ที่ความรู้สึกมากกว่า บางทีอะไรที่มันไม่พิเศษ มันอาจจะโคตรพิเศษเลยก็ได้”

ตอบแบบนี้เอาใจผมไปเลย ดีจัง ที่ผมได้มาเจอกับผู้หญิงที่มีทัศนคติตรงกันแบบนี้

ผมยิ้มกว้างก่อนย่อตัวลงมาให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับฟอง จ้องไปที่ดวงตากลมโตคู่นั้นที่ไม่มีท่าทีจะหลบสายตาแม้แต่น้อย ก่อนถามคำถามออกไปอีกหนึ่งคำถาม

“เป็นแฟนกันแล้ว ขอหอมแก้มได้เปล่า”

ผมไม่รอคำตอบ โน้มตัวไปขโมยหอมแก้มซ้ายฟองทันที

อื้มมมม ... ชื่นใจ

“เยอะแล้ว !” เจ้าตัวอึ้งไปสองวิก่อนพูดออกมา ใบหน้าขาวขึ้นสี ยกมือทุบมายังไหล่ผมดังบึก ก้มหน้างุด ต้องแบบนี้ซิ คนเขินมันควรจะเป็นฟองไม่ใช่ผม

“มา ๆ ฟังเพลง แก้เขินกัน”

“เขินบ้าไร ใครเขิน เปล่าสักหน่อย”

ผมหัวเราะใส่คนโกหก หยิบหูฟังข้างหนึ่งใส่หูตัวเอง และอีกข้างหนึ่งใส่เข้าไปในหูฟอง ผมกับฟองไม่ได้คุยอะไรกันต่อจากนั้น เพียงแค่ยิ้มให้กันและเดินต่อไปเงียบ ๆ

มันก็เหมือนกับที่ฟองบอก

บางที อะไรที่มันไม่พิเศษ ... มันก็โคตรจะพิเศษเลย

คงเป็นเพราะเวลาที่เราได้เจอกัน หรือเพราะอารมณ์ที่ทำให้ใจฉันสั่น

ภาพเดิม ๆ ชัดเจน และเป็นช่วงเวลาที่เราได้ผูกพัน

อย่างน้อยก็มีเธอข้างกาย ฉันเข้าใจ

ไม่ว่านานเท่าไร แค่มีเธอและฉันอยู่*

*เพลง ลึก ๆ Scrubb

 

 

 

 

 

 

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด