ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 บทที่ 1 มุ่งหน้าขึ้นเหนือ

อารัมภบท (บท0) : รถม้าที่แล่นผ่านหมู่บ้านป่ากวาง  


ซุ้มทางเข้าที่ตกแต่งอย่างสะเปะสะปะทางฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านป่ากวางได้ตั้งตระหง่านอยู่เช่นนี้มาเป็นเวลาสองร้อยสามสิบปีแล้ว, เหมือนดั่งสำนวนที่ว่า ‘ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล’ การออกแบบของซุ้มทางเข้านี้เองก็เป็นสิ่งที่ยากจะทำออกมาได้คือกัน ที่ช่องว่างระหว่างหิน, มีต้นวอร์มวูดที่มีความสูงแตกต่างกันเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงท่ามกลางวัชพืชแห้งสีเหลือง

แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านต้นวอร์มวูดที่เติบโตขึ้นอย่างหนาแน่นนี้, ลงมาที่ร่างของหลิน ฉี, แสงที่ส่องลงมาเป็นจุดๆตัดกับเงาของร่มไม้ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาแต่ดูเหนื่อยหน่ายของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปดปีผู้นี้ดูไม่ค่อยชัดเจน

ที่อีกฝั่งนึงจากจุดที่เขายืนอยู่มีหญิงสาวน่ารักอยู่คนนึง, เธอไว้ผมหางม้าคู่และดูอ่อนกว่าเขาไม่กี่ปี ด้วยร่างกายที่ผอมบางของเธอนั้น, ทำให้ดวงตาของเธอดูค่อนข้างกลมโต

หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่คนจากหมู่บ้านป่ากวาง ไม่มีใครรู้ว่าเธอมาจากไหน, แต่เธอก็เดินเข้ามาหาหลิน ฉี, และตอนนี้ก็กำลังถามคำถามเกี่ยวกับตัวเขามากมาย หลิน ฉี ไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้มาก่อน, อย่างไรก็ตาม, ด้วยสีหน้าจริงจังที่เธอแสดงออกมาตลอดเวลานั้น, ทำให้รู้สึกว่าเธอไม่มีร่องรอยของความเป็นเด็กอยู่เลย

“คำถามพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังได้ง่ายๆเลยนะ....ถ้าให้สรุปง่ายๆคงเป็นเพราะข้าเบื่อหล่ะมั้ง...” ตอนนี้, หลิน ฉี เองก็กำลังพูดกับหญิงสาวคนนี้อย่างจริงจัง

“เข้าใจหล่ะ” หญิงสาวน่ารักพยักหน้า จากนั้นเธอก็ถามต่อด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย “แล้ว, ทำไมเจ้าถึงเอาแต่ยืนแหงนหน้ามองข้างบนอยู่ตรงนี้มาตั้งนานสองนานหล่ะ? การตกแต่งของซุ้มทางเข้าที่นี่มันมีอะไรน่าสนใจด้วยรึไง?”

“มันไม่ใช่เพราะข้าคิดว่าซุ้มทางเข้านี้ดูดีหรืออะไรทำนองนั้นหรอก...” หลิน ฉี ส่ายหัว จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ยอดบนสุดของซุ้มทางเข้าแล้วพูดออกมา “รังนกตรงนั้นมันดูเหมือนจะตกลงมาหน่ะ ข้างในมีนกอยู่สองตัว, ข้ากำลังคิดอยู่ว่าข้าจะสามารถจับมันได้ไหม ถ้าข้าจับได้, ข้าตั้งใจจะเอาพวกมันไปเป็นของขวัญให้น้องสาวของข้าหน่ะ”

นี่เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างแปลกประหลาด มันเหมือนกับเด็กนักเรียนคนนึงที่กำลังตอบคำถามของอาจารย์อย่างเชื่อฟัง, แต่ทว่า, อาจารย์คนนี้เด็กกว่านักเรียน, แถมไม่มีฝ่ายไหนที่รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันแปลกด้วย

พอได้ฟังคำตอบของหลิน ฉี, หญิงสาวน่ารักก็หยุดคำถามของตัวเองด้วยความประหลาดใจ เธอพยักหน้า, แล้วบอกลา หลิน ฉี จากนั้นเธอก็เดินจากไป เธอเดินผ่านซุ้มทางเข้า, ตัดข้ามไปสามตรอก, และมุ่งหน้าไปยังรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่บนถนนหินลูกเต๋าที่ตัดผ่านหมู่บ้านป่ากวาง

เด็กสาววัยสิบห้าย่างสิบหกปีคนนี้เดินไปขึ้นรถม้าเพียงลำพัง เธอไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับรถม้า, ในตอนที่ขึ้นมาแล้วเธอก็คว้าแส้ม้า, แล้วสะบัดเบาๆให้ม้าเฒ่าสีน้ำตาลทั้งสองตัวลากรถม้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวของเธอนั้นดูเชี่ยวชาญและเป็นธรรมชาติ, เหมือนกับว่านี่เป็นสิ่งที่เธอทำจนเคยชิน

“เจอสิ่งที่เจ้าต้องการไหมหล่ะ?” มีเสียงของผู้หญิงคนนึงที่ฟังดูเย็นชาและเย่อหยิ่งดังออกมาจากข้างในรถม้าที่เงียบสงัด

“เขามีชื่อว่าหลิน ฉีค่ะ, เขาเป็นลูกชายของตระกูลหลินที่เป็นเจ้าของร้านค้าแห่งนึงทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้านแห่งนี้, ตอนนี้เขาอายุใกล้จะสิบแปดปีแล้ว เขามีน้องสาวอยู่ด้วยคนนึง เธอมีอายุเจ็ดขวบ” หญิงสาวผู้น่ารักตอบโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา, เธอยังคงสะบัดแส้ควบคุมม้าอย่างนุ่มนวล เธอมักจะรักษาท่าทีที่จริงจังเช่นนี้เอาไว้ตลอดเวลาไม่ว่าเธอจะทำอะไรอยู่ก็ตาม, ทั้งตอนที่รัวคำถามใส่หลิน ฉีเมื่อก่อนหน้านี้และตอนนี้, ที่กำลังตอบคำถามในขณะที่ขับรถม้า

เสียงที่ฟังดูนิ่งเฉยและเย่อหยิ่งถามมาแค่คำถามเดียว, แต่เด็กสาวคนนี้ยังคงพูดต่อ “แล้วก็, ผู้คนที่นี่ต่างก็ชอบเรียกเขาว่านายน้อยลำดับสองหลินค่ะ”

“งั้นหรอ? ทำไมถึงเรียกแบบนั้นหล่ะ?” เสียงที่ดังมาจากข้างหลังม่านค่อนข้างสนใจ

“เพราะเขาชอบพูดแปลกๆ, แล้วเขาก็ชอบถูกคนอื่นเรียกว่าเจ้าลำดับสอง*ค่ะ, และด้วยเหตุนี้เองพวกคนที่นี่จึงพากันคิดว่าหัวของเขามีบางอย่างผิดปกติ, บางทีอาจเป็นเพราะอาการป่วยอย่างรุนแรงที่เขาเผชิญมาเมื่อประมาณสองปีก่อน ซึ่งนี่ก็ทำให้ทุกคนพากันเรียกเขาว่านายน้อยลำดับสองหลิน” หญิงสาวน่ารักหันหน้ามาเล็กน้อยในขณะที่ตอบ

“แล้วเจ้าคิดว่ามีอะไรผิดปกติในหัวของเขารึเปล่า?” หลังจากที่เงียบอยู่พักนึง, คนที่อยู่ข้างหลังม่านก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง

“คำพูดของเขาก็ดูปะติดปะต่อกันดีนะคะ, มันดูไม่เหมือนกับว่าหัวของเขามีอะไรผิดปกติเลย, แต่ว่าเขาพูดเรื่องแปลกๆออกมาจริงๆค่ะ” คิ้วของหญิงสาวน่ารักขมวดเล็กน้อย, และจากนั้นเธอก็พึมพำออกมา, “หลังจากที่ข้าถามคำถามเขาไปได้พักนึง, เขาก็ถามข้ามาว่าข้ามาที่นี่เพื่อสำรวจสำมโนครัวกับภาษีหรอ, และถามข้าอีกว่าถามคำถามมากขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ในตอนนั้นข้าได้ถามเขากลับไปว่าสำมโนครัวกับภาษีคืออะไร, เขาก็บอกข้ามาว่าข้าคงไม่เข้าใจต่อให้เขาอธิบายให้ข้าฟังแล้วก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น, ในช่วงสุดท้ายของการสนทนา, เขายังบอกข้าด้วยว่าเหตุผลที่เขาเอาแต่ยืนอยู่ใต้ซุ้มทางเข้านั้นเป็นเพราะมีรังนกอยู่ที่ยอดบนสุดของซุ้มและมันก็ดูเหมือนใกล้จะตกลงมาแล้ว, ข้างในนั้นมีนกอยู่สองตัว, เขากำลังเตรียมตัวจับมันอยู่ที่นั่น, และถ้าเขาจับมันได้, เขาก็จะเอานกสองตัวนั้นไปเป็นของขวัญให้น้องสาว แต่ที่แปลกก็คือว่า, รังนกนั่นตั้งอยู่บนยอดในจุดที่ค่อนข้างมั่นคงดีนะคะ, มันมีส่วนยื่นออกมาแค่นิดเดียวเอง, ข้าคิดว่าต่อให้มีพายุเข้า, มันก็ไม่น่าจะตกลงมาด้วยซ้ำ และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ, ข้าไม่เห็นเลยซักนิดว่ามีนกอยู่ข้างในรังนั่น”

“ถ้าแม้แต่เจ้ายังยืนยันไม่ได้, มันก็ค่อนข้างแปลกจริงๆนั่นแหล่ะ...” ครั้งนี้, น้ำเสียงที่เย็นชาจากข้างในรถม้าเงียบไปนานกว่าเดิม เธอพูดขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่รถม้าคันนี้เดินทางไปตามถนนหินลูกเต๋าจนเกือบจะพ้นหมู่บ้านป่ากวางแล้ว “แต่ช่างเถอะ, สำนักหลวน**ขจีคงจะไม่รู้สึกแบบนั้นหรอก”

คิ้วของหญิงสาวน่ารักขมวดแน่นกว่าเดิม, เธอถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้ง “นายหญิงท่านต้องการจะสื่ออะไรหรอคะ, ข้าไม่เข้าใจเลย”

“ในตอนที่พวกเราผ่านสำนักราชการของเมืองกวางตะวันออก, เจ้าจงไปฝากให้หลี่ ซีปิง ทำเรื่องให้เขาได้ไปเรียนที่สำนักหลวนขจีด้วย ถ้าพวกเรารีบไปเร่งเขาตั้งแต่ที่นั่น, เขาน่าจะจัดการได้เสร็จทันเวลานะ” หญิงที่อยู่ข้างหลังผ้าม่านพูด

“นี่ท่านจะเป็นผู้รับรองให้เขาเข้าร่วมการสอบเข้าของสำนักหลวนขจีหรอคะ?” จากนั้นหญิงสาวน่ารักก็เงียบไปพักนึงก่อนที่จะถามขึ้นมาอีก “ทำไมหล่ะคะ?”

“พอมาคิดถึงเหตุผลแล้วมันก็ค่อนข้างจะน่าตลกอยู่หล่ะนะ ข้าบังเอิญนึกขึ้นมาได้ว่าในตอนที่ข้ายังเด็ก, ท่านปู่เคยเล่าเรื่องของคนๆนึงให้ข้าฟัง, เขาบอกข้าว่าในอดีตคนๆนั้นมักจะชอบตะโกนออกมาในวันที่ฝนไม่น่าจะตกแน่ๆว่า ‘สายลมกำลังรุนแรงขึ้น, เดี๋ยวพายุฝนกำลังจะเข้ามา, ทุกคนรีบไปเก็บเสื้อผ้าของตัวเองเข้าบ้านเถอะ’ อะไรประมาณนี้หน่ะ” เสียงของผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังม่านดูผ่อนคลายขึ้น, ราวกับว่าเธอกำลังหวนรำลึกถึงความทรงจำดีๆบางอย่างขึ้นมา, ที่มุมปากของเธอนั้นขยับขึ้นเล็กน้อยและเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนๆที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

“ท่านกำลังพูดถึงอาจารย์ใหญ่จางอยู่หรอคะ?” หญิงสาวไม่ได้หันกลับมา, แต่แผ่นหลังของเธอกำลังสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด

“นอกจากเขา, จะมีคนอื่นที่คู่ควรให้ท่านปู่ของข้าพูดถึงบ่อยๆอีกรึไง?” เสียงของผู้หญิงที่อยู่หลังม่านเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย “ในตอนที่เจ้าไปหาหลี่ ซีปิง, อย่าลืมบอกให้เขาจัดการเรื่องของจาง เจิ๋นตงด้วยหล่ะ เป็นแค่เจ้าเมืองเล็กๆที่เกิดจากสามัญชนแท้ๆ, แต่กลับมีที่ดินถึงเจ็ดแห่ง จงส่งเขาไปเข้ากองทัพชายแดนของหุบเขามังกรอสรพิษซะ, ถ้าเขาสามารถรอดกลับมาได้หลังจากที่เข้าประจำการครบสามปี, พวกเราจะเหลือที่ดินให้เขาสามแห่งจากเจ็ดแห่ง”

“มีเรื่องอื่นที่อยากฝากฝังเขาอีกไหมคะ?” หญิงสาวน่ารักพยักหน้า, ในขณะที่สะบัดแส้อีกครั้งด้วยความนุ่มนวล

“หลี่ ซีปิง เคยไปประจำการอยู่ที่กองทัพชายแดนมาเป็นเวลาหกปี, แล้วยังทำหน้าที่ในฐานะเจ้าเมืองมาเป็นเวลาสิบสามปีแล้ว  ตาเฒ่าเขี้ยวลากดินผู้นี้ฉลาดเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ด้วยซ้ำ, ไม่มีความจำเป็นต้องฝากฝังอะไรอีกแล้วหล่ะ” ผู้หญิงที่อยู่ข้างในรถม้าหัวเราะอย่างเย็นชา อย่างไรก็ตาม, หลังจากที่พูดจบ, ดูเหมือนว่าเธอจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้, ดังนั้นเธอจึงพูดต่ออย่างเฉยเมย “อ่อแล้วก็บอกเขาด้วยว่า, ข้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าหลินลำดับสองนี่เป็นคนที่ข้าฝากฝัง”

……

ล้อของรถม้าส่งเสียงรบกวนเบาๆในขณะที่เคลื่อนที่ไปตามถนนหินลูกเต๋า มีเด็กกลุ่มนึงที่กำลังเล่นสนุกอยู่ใต้ต้นปอปลาร์สีเหลืองที่บริเวณนอกป่ากวางได้หยุดการกระทำของพวกเขาลงอย่างกระทันหัน, พวกเขากำลังมองดูรถม้าคันนี้ไต่ขึ้นเนินเล็กๆมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านป่ากวางจนพ้นหูพ้นตาพวกเขาไปในที่สุด

“ดูเหมือนว่าในโลกนี้จะมีจอมยุทธอยู่จริงๆสินะ...” หลิน ฉี ยังคงยืนอยู่ใต้นซุ้มทางเข้า,  สีหน้าของนายน้อยลำดับสองผู้มีชื่อเสียงในหมู่บ้านป่ากวางนี้แปลกออกไปเล็กน้อย เขากำลังทำหน้าเหม่อลอย, และลูบหน้าผากของตัวเองเป็นครั้งคราวราวกับว่ามันมีแผลถลอกอยู่ตรงนั้น

“ใกล้จะได้เวลาแล้วสินะ” ทันใดนั้นเอง, สีหน้าของเขาก็กลับมาจริงจัง เขาดึงหมวกของเสื้อคลุมที่เขาสวมขึ้น, ทำเป็นช่องใส่, และจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น, พร้อมกับเพ่งสมาธิไปยังซุ้มทางเข้าที่อยู่เหนือศรีษะของเขา

ผึบ!

แทบจะในจังหวะเดียวกับที่เขาทำการเคลื่อนไหวแปลกๆพวกนี้เสร็จ, บางทีมันอาจเป็นเพราะฝนไม่ได้ตกลงมานานเกินไป, บางทีมันอาจเป็นเพราะยอดอ่อนของต้นวอร์มวูดบีบตัวออกมาจากช่องว่างระหว่างแผ่นหินอย่างไม่ย่อท้อ, บนซุ้มทางเข้าที่อยู่ในสภาพปกติในตอนแรก, จู่ๆคานไม้บนยอดซุ้มก็ส่งเสียงแตกออกมาเบาๆ, ทำให้คานเอียงลงมาในทันที

ภายใต้เสียงร้องจิ้บจิ้บด้วยความตื่นตระหนก, หลิน ฉี ก็ทำการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว มันเหมือนกับเขารู้อยู่แล้วว่ารังที่ทำจากหญ้าแห้งนี้จะตกลงมายังไง, เขาคว้ารังหญ้าแห้งที่ตกลงมาอย่างกระทันหันนี้เอาไว้ได้อย่างมั่นคง

มีรอยยิ้มสดใสปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาในทันที, ซึ่งมันก็ทำให้ช่วงเช้าตรู่ของหมู่บ้านป่ากวางนี้ดูสงบสุขขึ้น ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดอย่างสิบแปดปีผู้นี้ได้โอบรังหญ้าแห้งนี้เอาไว้ในอ้อมแขนในขณะที่วิ่งไปตามถนนหินลูกเต๋าของหมู่บ้านป่ากวาง, จากนั้นเขาก็ก้าวไปเหยียบบนทางเท้าที่ราบเรียบอย่างสมบูรณ์จากการเดินเหยียบปีแล้วปีเล่า, ฝีเท้าอันแสนสุขนี้ได้นำพารอยยิ้มและเสียงฮือฮามาด้วย

“เจ้าหนู...วิ่งช้าๆหน่อยก็ได้, เดี๋ยวก็ล้มหรอก!”

“จริงๆเล้ย, เจ้าหลินลำดับสองเอ้ย...ตัวโตขนาดนี้, ยังจะไล่เก็บรังนกอยู่อีก”

“เห้อ, ใช่ไหมหล่ะ? อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว, ยังจะเล่นกับพวกนกอยู่ได้”

“...” หลิน ฉี, ที่ร่างกายเต็มไปด้วยขนนกนั้น, หลังจากได้ยินพวกลุงๆป้าๆที่กำลังซักเสื้อผ้าอยู่ตรงบ่อน้ำพูดเรื่อง ‘เล่นกับนก’, เขาก็ไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลย เขาวิ่งขึ้นไปทางเหนือของหมู่บ้านป่ากวางจนไปถึงลานบ้านหลังนึงที่ถูกห้อมล้อมด้วยกำแพงเล็กๆสีขาวพร้อมกับมีรูปปั้นสิงโตตัวเล็กๆตั้งอยู่ หลังจากพักหายใจอยู่ครู่นึง, ชายหนุ่มคนนี้ก็ยืดตัวตรง, และเปิดประตูบ้านที่มีสีแดงเลือดนก, เหมือนกับแม่ทัพที่ได้รับชัยชนะกลับมาจากสงคราม, เขาวิ่งเข้าไปข้างในพร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความรู้สึกที่ทั้งภาคภูมิใจและอิ่มเอมไปด้วยสุข “น้องพี่, รีบมาดูเร็ว, ข้าเอาของดีกลับมาให้เจ้าด้วย!”

“พี่ใหญ่, ของดีอะไรหรอคะ!?”

หลังจากที่เสียงอันน่ารักที่เต็มไปด้วยความดีใจดังขึ้น, เด็กสาวที่สวมเสื้อคลุมสองชั้นก็วิ่งออกมาจากห้องๆหนึ่งในบ้าน

เด็กสาวอายุสิบเอ็ดย่างสิบสองปีคนนี้มีหน้าตาน่ารัก, คิ้วของเธอเรียวงามเหมือนกับภาพวาด, เธอไว้ผมทรงหางม้า, และมีดวงตาที่สดใสและเปล่งประกายอย่างน่าเหลือเชื่อ ใบหน้าเล็กๆสีขาวนวลของเธอมีหมึกเปื้อนอยู่ด้วยเล็กน้อย, ซึ่งมันทำให้ใครก็ตามที่เห็นอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ว้าว...นกนี่! นกสองตัวหล่ะ!” หลังจากที่ได้เห็นในแวบแรก, เด็กสาวหน้ารักคนนี้ยังสบสนอยู่ หลังจากนั้น, เหมือนกับตื่นขึ้นจากฝัน, เธอก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจอย่างเต็มที่

“หลิน ฉี!”

หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ใบหน้าบ่งบอกว่ากำลังยับยั้งความโกรธและความเป็นห่วงเอาไว้อยู่รีบเดินออกมา ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้คล้ายกับเด็กสาวและหลิน ฉี, แม้ว่าจะมีรอยย่นที่หางตาของเธอ, แต่ในสถานที่อย่างหมู่บ้านป่ากวางนั้น, มันยังคงมีกลิ่นอายที่สง่างามแฝงอยู่ในตัวเธออยู่

“ท่านแม่ครับ, เจ้าพวกนี้หล่นลงมาจากซุ้มประตูทางเข้าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล, ข้าไม่ได้ปีนขึ้นที่สูงเพื่อไปขโมยมันมานะ แถมถ้าขืนทำแบบนั้นจริงๆ, เสื้อผ้าของข้าคงจะเละกว่านี้อย่างแน่นอน” ในทันทีที่หลิน ฉีเห็นหญิงวัยกลางคนผู้นี้, เขาก็รีบเอ่ยปากแก้ตัวอย่างรวดเร็ว

ในตอนที่หญิงวัยกลางคนตรวจดูเสื้อผ้าของหลิน ฉี, ริ้วรอยบนใบหน้าของเธอก็อ่อนลง อันที่จริง, ตั้งแต่ตอนที่เขาตื่นขึ้นจากอาการป่วยอย่างรุนแรงในครานั้นเธอก็รู้แล้วว่า, นอกจากการที่ชอบพูดเรื่องไร้สาระ, ลูกชายของเธอคนนี้ก็ไม่เคยทำอะไรอย่างอื่นให้เธอเป็นห่วงเลย

“เฉียนเฉียน, ตอนนี้อย่าพึ่งจับพวกมัน ก่อนอื่นไปล้างหน้าล้างตาของเจ้าให้สะอาดเถอะ, แล้วเดี๋ยวแม่ค่อยสอนวิธีดูแลเจ้าพวกนี้ให้เจ้าในภายหลัง...”

“อ้ะ! ได้ค่ะท่านแม่, ข้ารักท่านที่สุดเลย!” เด็กสาวน่ารักรีบดีดตัวขึ้นมาในทันทีแล้วส่งเสียงดีอกดีใจออกมาอีกครั้งนึง

...

“พี่ใหญ่, มีนกอยู่สองตัว, ข้าจะตั้งชื่อตัวนึงว่าหลิน ฉี, ส่วนอีกตัวก็หลิน เฉียน ดีไหมคะ?”

“เห้อ...ยัยน้องสาวจอมทึ่มเอ้ย, ใครจะอยากเอาชื่อตัวเองไปตั้งชื่อนกหล่ะ? การเรียกนกด้วยชื่อตัวเอง***มันก็ไม่ต่างอะไรจากการสาปแช่งตัวเองไม่ใช่หรอ?”

ในช่วงเช้าตรู่ของหมู่บ้านป่ากวาง, ข้างในบ้านเล็กๆอันเงียบสงบ, ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปดปีกับเด็กสาวที่ล้างหน้าจนสะอาดแล้ว, กำลังพูดคุยกันในขณะที่วางรังนกเอาไว้ในตะกร้าสานที่วางอยู่บนขอบหน้าต่าง

ข้างในรังนี้มีลูกนกขนสีเหลืองดกที่ได้กินอาหารเรียบร้อยแล้วอยู่สองตัว

ภายในห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งของบ้าน, มีหญิงวัยกลางคนหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังจัดเรียงปากกา, กระดาษ, และหินหมึกอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง, ในบางครั้งเธอจะยิ้มออกมาในขณะที่หันกลับมามองชายหนุ่มกับเด็กสาวที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

...............................................................................................................................................................

*เป็นคำแสลงที่ใช้เรียกคนที่ชอบทำตัวเอื่อยเฉื่อย, เป็นคำวิจารณ์ที่ดูนุ่มนวล

**นกในตำนานจีนมีความเกี่ยวข้องกับฟินิกซ์

***การกล่าวคนว่าเป็นนกนั้นเป็นคำแสลงในเชิงด่าทอ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด