ตอนที่แล้วเคียวที่ 1 : ลางบอกเหตุ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเคียวที่ 3 : เด็กผู้ชายตาสีแดง

เคียวที่ 2 : ผมตายแล้ว


เสียงบทสวดพระอภิธรรมในงานศพดังก้องไปทั่วบริเวณ

ผู้คนมากมายกำลังนั่งฟังอย่างสงบ ผมเดินมาหยุดตรงทางด้านหน้าศาลาสวดศพตรงหน้า มองไปรอบ ๆ รู้สึกวัดนี้มันคุ้น ๆ เหมือนวัดที่อยู่ใกล้บ้านผมเลย เสียงบทสวดเหมือนดึงดูดตัวผมให้ก้าวขาตรงไปยังศาลาวัดที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าใจกับการจากไปของใครบางคน แหงล่ะ นี่มันงานศพนี่เนอะ ผมพยายามมองหาคนที่ผมเองรู้จัก นั่นไง ไอ้อิฐ กับใยไหม ไม่รอช้าผมเดินไปหาพวกมันทันที ไอ้อิฐกำลังประคองใยไหม เดินออกมาจากทางเข้าศาลา

“เฮ้ย พวกมึง กำลังจะไปไหนกัน แล้วนี่มางานศพใครกันวะ” ผมทักพวกมันไป

“แค่ไปห้องน้ำน่ะ ไม่ต้องตามมาหรอก ฉันโอเค” ไหมพูดขึ้น หน้าตาไหมดูอิดโรย เหมือนคนอดหลับอดนอนและผ่านการร้องไห้มาหลายวันติดต่อกัน จนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ ไอ้อิฐพยักหน้าปล่อยมือที่ประคองตัวไหม ก่อนไหมจะเดินออกไป

“มึง ไหมเป็นอะไรวะ ดูเหมือนไม่สบายเลย”

ไอ้อิฐเงียบไม่พูดอะไร มันทรุดตัวลงนั่งตรงบันไดที่มีอยู่สองสามขั้นบริเวณทางขึ้นศาลา ก่อนหยิบซองบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาจุด นี่มันเครียดอะไรของมันเนี่ย ปกติผมไม่เคยเห็นมันสูบบุหรี่เลย ผมจึงทรุดตัวลงนั่งเป็นเพื่อนข้าง ๆ มัน

“มึงเป็นไรเนี่ย ทำไมไม่ตอบกู มีอะไรเล่าให้กูฟังได้”

“ว่าไง มึง”

มันยังคงเงียบเหมือนเดิม มันทำให้ผมอึดอัดแล้วเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เออ ผมไม่ถามมันก็ได้ ไปถามไอ้ชาดีกว่า แล้วไอ้ชาหายหัวไปไหนของมัน สงสัยจะอยู่ข้างในศาลา ผมยันตัวลุกขึ้น แล้วเดินออกไป ผมกวาดตามองหาไม่นาน ก็เห็นด้านหลังไอ้ชาที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กับพ่อแม่ของผม ซึ่งอยู่ทางด้านหน้าสุด ผมรีบเดินเลาะด้านข้างตรงไปด้านหน้าสุดของศาลา

โลงศพตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้าผม เหลือบตาลงมา จะเห็นกรอบรูปสีทอง พร้อมกับใบหน้าที่ผมคุ้นเคยดีเมื่อส่องกระจก ใต้รูปภาพนั้นมีตัวอักษรปรากฏอยู่ว่า

‘คิรากร วรชัชวาล’

‘ชาตะ ๑๓ มกราคม ๒๕๔X’

‘มรณะ ๖ สิงหาคม ๒๕๖X’

บ้าน่า … ใครเล่นอะไรตลกแบบนี้ ผมหันกลับไปมองไอ้ชา ที่ตอนนี้ใบหน้ามันไม่เหลือเค้าของความเป็นหนุ่มขี้เล่นอีกต่อไป หนักไปกว่านั้นคือใบหน้าของพ่อที่แสนจะเจ็บปวด กับใบหน้าแม่ที่น้ำตาไหลเป็นทาง ดูไม่มีแรงแม้แต่จะพนมมือ ถัดจากพ่อแม่มีแต่ญาติผู้ใหญ่ที่ผมรู้จัก รวมถึงพ่อแม่ของกลุ่มเพื่อนรักของผม

นะ… นี่มันเรื่องบ้าอะไร ไม่จริงอะ ผมตะโกนถามพ่อแม่ ตะโกนถามไอ้ชา ร้องโวยวายไปทั่วศาลา

ไม่มี…

ไม่มีใครตอบผมสักคน ผมเป็นเหมือนคนบ้าที่ตะโกนลั่นไปทั่วศาลาวัด พร้อมกับบทสวดอยู่พักใหญ่

ไม่จริง ผมยังไม่ตาย คุยกับกู ไอ้ชา ผมเดินไปเขย่าตัวไอ้ชาที่ไม่แม้แต่จะสามารถสัมผัสมันได้ !

พ่อ แม่ ผมยังไม่ตาย !

ผมยังไม่ตาย ไม่ !

“ตื่น ๆ ไอ้คีย์มึงตื่นได้แล้ว”

ผมสะดุ้งตื่นจากเสียงของไอ้ชา พร้อมกับเหงื่อที่ไหลท่วมตัว ทั้ง ๆ ที่อากาศภายในห้องยังคงเย็นเฉียบ

“มึงเป็นไรวะ มึงร้องโวยวายตั้งนานจนทำให้ไอ้ชาสามารถตื่นขึ้นมาได้เนี่ย กูเรียกมึงก็ไม่ตื่น” ไอ้อิฐเสริม

“เอ่อ … คือ ไม่มีไรหรอก กูฝันอะไรแปลก ๆ นิดหน่อย”

“มึงโอเคนะ นอน ๆ เดี๋ยวไม่มีแรงตื่นไปวัดแต่เช้า นี่มึงปลุกคนทั้งหอแล้วมั้งเนี่ย”

แล้วพวกมันสองคนก็เดินกลับเตียงไปพร้อมกับดับไฟ ผมล้มตัวลงนอน ฝันบ้าอะไรวะ เหมือนจริงมาก ผมพยายามข่มตาลงแล้วนอนอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้ง ภาพงานศพของตัวเองก็ยังติดอยู่ในตา ภาพกรอบรูปที่บอกวันชาตะ มรณะ ภาพคนที่ผมรักเสียใจ มันทำให้ต้องลืมตาทุกที

… และแล้ว ผมก็ลืมตานอนยันฟ้าสว่าง

“พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มตรงนั้นมาหายายหน่อย ยายอยากดูดวงให้”

เสียงเรียกทำให้พวกเรา 4 คนหยุดเดิน อ่อ ที่มีสี่เพราะว่าไหมบอกว่าครีมติดธุระมาด้วยไม่ได้ พวกเราหันไปตามเสียงร้องเรียกจากคุณยายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ พร้อมกับโต๊ะ และเก้าอี้อีกตัวที่วางอยู่ เชื้อเชิญให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมานั่ง ตอนนี้พวกเราอยู่ระหว่างทางที่กำลังเดินไปซื้อปลามาปล่อยหลังจากไหว้พระเสร็จ ผมงง ๆ ชี้ไปที่ตัวเองแล้วมองไปรอบ ๆ ยายแกก็พยักหน้า พวกเพื่อนที่เหลือจึงเดินตามผมไปหายายคนนั้นกัน

“ค่าครูไม่แพง พ่อหนุ่มไม่ต้องกังวลหรอก วันเดือนปีเกิดอะไรล่ะ”

ความจริงตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยดูดวงเลยสักครั้ง และก็ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย แต่ไหน ๆ ยายแกเขาอยากดูให้ ประกอบกับเรื่องราวหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นรวมถึงฝันบ้า ๆ เมื่อคืนด้วย ก็ทำให้ผมนั่งลงพร้อมบอกวันเดือนปีเกิดแกไป ใบหน้าที่มีความเหี่ยวย่น มีสีหน้าไม่สู้ดีหลังขีดเขียนตัวเลขที่ผมบอกลงในกระดาษของแก แล้วแกก็ขอดูลายมืออีกที ผมจึงยื่นมือซ้ายไปข้างหน้า ยายแกเงยหน้าขึ้นมา แล้วถอนหายใจก่อนพูด

“ดวงของพ่อหนุ่มเป็นดวงชะตาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ รวมถึงคนรอบตัวด้วย ที่สำคัญตอนนี้ดวงพ่อหนุ่มตกมาก อาจมีเรื่องต่าง ๆ รุมเร้าหรือมีอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต”

“แล้วจะต้องแก้ไขยังไงคะ”

ผมยังไม่ทันจะอ้าปากพูด ใยไหมก็ชิงพูดซะก่อน ผมก็ตกใจอยู่หรอกนะ ที่ยายแกทักมาแบบนั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ผมไม่เห็นจะเคยเจอสักครั้งในชีวิต สิ่งเหนือธรรมชาติน่ะ แต่ช่วงนี้ดวงตกน่ะของจริง

“แก้ไม่ได้หรอก มันขึ้นกับเวรกรรมของแต่ละคนแม่หนู”

“แล้วมันไม่มีวิธีผ่อนหนักให้เป็นเบาเลยเหรอครับ” อิฐพูดต่อ ขัดผมที่กำลังจะอ้าปากอีกครั้ง จนต้องหุบปากไปอีกรอบโดยอัตโนมัติ

“ทำบุญ อุทิศส่วนกุศลเยอะ ๆ สิ่งที่ยายพูดก็แค่สิ่งที่ยายร่ำเรียนมา พ่อหนุ่มจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ยายอยากให้พ่อหนุ่มระวังตัว ช่วงนี้อย่าใช้ชีวิตประมาท”

หลังยายพูดจบ ก็ดูดวงให้เกี่ยวกับการเรียน สุขภาพอะไรอีกนิดหน่อย และเหมือนพวกเพื่อน ๆ ผมอยากดูดวงกันบ้าง จึงสลับกันลงไปนั่งเก้าอี้แทนผม กว่ายายจะดูดวงให้พวกเราเสร็จก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง

“ดวงพวกหนูแปลกทุกคนเลย เป็นดวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ”

พวกเราหันหน้ามองกัน ทำตาปริบ ๆ ก่อนจะยกมือไหว้ลายายแล้วไปทำตามแผนเดิม คือไปปล่อยปลากันต่อ เวลานี้ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว หลังปล่อยปลาเสร็จก็คงได้เวลาทานข้าวเที่ยงกันพอดี พวกเราเลยกะว่า จะไปหาอะไรกินที่ห้างสรรพสินค้า แล้วมีแพลนดูหนังกันต่อ คงกลับถึงมหาวิทยาลัยค่ำ ๆ

ดวงตาสีเทามองตรงไปยังกลุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งเดินออกไปด้วยความงุนงง แปลกประหลาดจนน่าตกใจ หาได้ยากมาก ที่เกือบทุกคนมีดวงเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ เซ้นส์ไม่เคยผิดจริง ๆ ว่าแล้วมันต้องมีอะไรแปลก ๆ กับเด็กกลุ่มนี้จนจิตใต้สำนึกบอกให้เรียกมาดูดวง แต่อย่างว่า กลุ่มคนที่เหมือนกันย่อมมีแรงดึงดูดเข้าหากันเป็นธรรมดา เป็นห่วงก็แต่เด็กที่ให้ดูดวงเป็นคนแรก ที่ดูแล้วช่วงนี้ดวงตกจนน่าใจหาย คิดอะไรเพลิน ๆ แล้วมองไปยังเด็กคนนั้นที่กำลังเดินห่างออกไปอีกที ภาพที่เห็นทำเอาคนมองตกใจจนยกมือทาบอก

ภาพเบื้องหน้าของหญิงชราเป็นโครงกระดูกใส่เสื้อผ้าที่กำลังเดินไปข้างหน้าพร้อมกับกลุ่มเพื่อน น่ะ... นี่มันอะไรกัน ถ้าดวงถึงฆาตตามปกติจะต้องไม่เห็นเงาหัวซิ แต่นี่ นี่กลับเห็นเป็นโครงกระดูก

แบบนี้มันคืออะไรกัน ...

หลังจากกลับมาถึงมหาวิทยาลัยพวกเราแทบจะสลบ เนื่องจากพอกินข้าว ดูหนังเสร็จ ใยไหมเล่นเดินซะทั่วห้างจนพวกผมระอา แถมให้ช่วยกันขนของราวกับเป็นเบ๊อีก ไม่รู้รูดบัตรผลาญเงินคุณหญิงแม่มันไปกี่หมื่น กี่แสน ถ้าผมไม่ห้ามป่านนี้คงอยู่จนห้างปิดนั่นแหละ

แต่เมื่อผมเดินเข้าห้องตัวเอง แล้วมองเห็นสภาพห้องโดยรอบ ไอ้ที่เหนื่อยอยู่แล้ว ผมยิ่งรู้สึกเหนื่อยกว่า บางทีผมก็คิดนะ ว่าคงถึงกาล และเวลาอันสมควรแล้วที่จะต้องทำการเก็บกวาดห้องสักที เพราะทนเห็นสภาพที่เกิดขึ้นไม่ไหว กระป๋องโค้ก ถ้วยมาม่า ถุงเลย์ กล่องข้าว หนังสือการ์ตูนที่มีตั้งแต่หน้าประตู ยันประตูออกนอกระเบียง ตอนแรก ๆ ทุกอย่างมันก็กองรวมกันอยู่แถวโซนเตียงไอ้ชาบูนะ เลอะเทอะยังไงผมก็รับได้ ไป ๆ มา ๆ ทำไมบ็อกเซอร์เน่า ๆ และขวดชาเขียวสองขวดถึงแผ่ขยายอาณาบริเวณมาอยู่บนโต๊ะอ่านสือผมได้วะ โอ๊ย ... นี่เพิ่งมาอยู่ยังไม่ถึงอาทิตย์ ไอ้ชาบูมันทำเละเทะขนาดนี้ได้ไงวะเนี่ย

“เอาซากบ็อกเซอร์เน่า ๆ ของมึงไปเลย”

ผมคีบเศษผ้าลายจุดโยนไปบนหัวมัน ที่กำลังนั่งกินมาม่าอยู่ที่พื้น ถึงหอปุ๊บกินปั๊บเลย ดูดิ๊ กลิ่นบ็อกเซอร์มันจะทำให้อร่อยขึ้นไหม ผมก็รู้นะ ว่าโต๊ะผมอยู่ใกล้ห้องน้ำ บางทีพวกมันก็ชอบเอาของ เอาเสื้อผ้ามากองไว้ มีแต่ไอ้อิฐที่มาวางแล้วเก็บ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรไง แต่กับไอ้ชาบู มันวางคาทิ้งไว้ข้ามวัน ข้ามคืน แถมมีขยะมากองอีก

“โหย วางนิดวางหน่อยทำหวง กูกินมาม่าอยู่เนี่ย โยนมาไม่ดูเลย ถ้ามันร่วงไปโดนมาม่ากู แล้วกูจะใส่อะไรนอน”

ฮะ อะไรนะ ! อึ้ง ทำไมเพื่อนผมโสโครกขนาดนี้วะเนี่ย ผมเห็นมันใส่ไอ้บ็อกเซอร์เน่า ๆ นั่นนอนตั้งแต่วันที่ขนของเข้าหอแล้วนะ มันทำหน้าหงุดหงิด เฮ้ย ๆ เดี๋ยว ๆ คนที่ต้องแสดงอาการนั้น ต้องผมดิวะ

“มึงนะ ไอ้ชา หัดเกรงใจเพื่อนมึงมั่ง”

พูดจบไอ้อิฐก็โยนกางเกงยีนสีหม่นที่วางพาดบนเตียงนอนมันไปครอบหัวไอ้ชาบูได้สำเร็จอีกครั้ง ก่อนจะล้มตัวนอนลงบนเตียง

“ครับ ๆ คุณพ่อคีย์ คุณพี่อิฐ ต่อไปนี้น้องชาจะเป็นเด็กดี ไม่ทำห้องเลอะเทอะแล้วครับ”

โป๊ก ! ขวดชาเขียวในมือไอ้อิฐที่คว้ามาได้แถวโต๊ะอ่านหนังสือมัน เขวี้ยงไปโดนหัวไอ้ชาทันที นี่คงไม่พ้น อีกหนึ่งผลงานกินแล้วไม่ทิ้งของมันแหละครับ เพราะไอ้อิฐไม่กินชาเขียว อยู่บ้านมันคงมีคนตามเก็บอะดิ เฮ้อ เหนื่อยใจกับไอ้ลูกคุณหนูนี่จริง ผมได้แต่ลุกขึ้นมาจากเตียงเก็บเศษซากขยะที่มันทำลงถุงขยะ แล้วไปหยิบไม้กวาดมา

“ไอ้คีย์ มึงวางเลย ๆ ไม่ต้องทำ ให้มันทำ” ไอ้อิฐพูด ก่อนยันตัวเองลุกนั่งบนเตียงหยิบแล็ปท็อปข้างโต๊ะอ่านหนังสือไปเปิดเล่น

“เออ กูเก็บแล้วครับ ๆ กินมาม่าหมดก่อน ไม่ต้องทำสายตามองกูแบบนั้นเลยไอ้อิฐ กูขอโทษ ไอ้คีย์มึงก็รู้กูติดนิสัยมาจากบ้านอะ เดี๋ยวกูทำเอง ๆ แค่นี้ก็เกรงใจมึงจะแย่ละ”

โอ้โห พ่อคนดีศรีสยาม พ่อคนจิตใจงดงาม ผ่องใส ผ่องแผ้วบริสุทธิ์ประดุจดั่งน้ำใส น้ำตาผมนี่ไหลเป็นทาง ผมเออออไปกับมันก่อนล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม หันไปทางซ้ายมือ หยิบกระเป๋าสตางค์และหยิบเศษกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

ผมมองแผ่นกระดาษใบเล็ก ๆ ที่ได้จากการจับฉลากพี่รหัส ‘นางสาว นภัสวรรณ แสงทินกร Chem Eng. เบอร์โทร 08x-xxx-xxxx’ ไหน ๆ ก็ว่างสักที ลองโทรไปหน่อยดีกว่า ว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาก่อนกดเบอร์โทรออก ไม่วายโดนเสียงแซวจากไอ้คนกินมาม่าที่นั่งมองอยู่

“โห อิจฉาจัง ได้พี่รหัสผู้หญิงก็รีบโทรเลยนะครับคุณพ่อ รีบ ๆ หาคุณแม่ให้ผมไว ๆ นะครับ”

เออๆ whatever you want ผมเหนื่อยจะเถียงกับมันละ ผมรอสายอยู่พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนรับสาย เฮ้ย เสียงน่ารักแถม คุ้น ๆ ด้วย

“สวัสดีค่ะ”

“เอ่อ สวัสดีครับ พี่นภัสวรรณ รึเปล่าครับ ผมชื่อคีย์นะครับ เป็นน้องรหัสพี่ อยู่เคมเอนครับ”

“อ๋อ จริงเหรอ พี่ไม่คิดเลยว่าจะได้ภาคเดียวกันแถมเป็นคีย์อีก”

เอ่อ ... พี่รู้จักผมด้วยเหรอครับ

“พี่ชื่อเล่นอะไรครับ”

อยากรู้ ๆ คนไหนเนี่ย รุ่นพี่ผู้หญิงที่ภาคยิ่งเยอะอยู่ด้วย

“ความลับ เจอกันตอนเข้าห้องเชียร์ เดี๋ยวก็รู้เอง โทษฐานจำเสียงพี่ไม่ได้”

อ้าวเฮ้ยได้ไง

“โหพี่ อีกตั้งอาทิตย์ ไหนลองใบ้ ๆ ดิ พี่ชื่อไรครับ ผมอยากรู้”

“ไม่บอก ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เปิดเรียนวันแรกนี่ ปีหนึ่งเรียนเช้าด้วย รีบไปนอน ๆ”

“โธ่ พี่บอกหน่อยก็ไม่ได้ แค่ชื่อเอง … งั้นก็ได้ครับ ผมไปล่ะ ฝันดีครับ”

ผมยอมแพ้ก็ได้ แต่เสียงโคตรคุ้น

“จ้า ฝันดีนะ”

ผมกดวางสาย ลองพยายามนึกถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้

เฮ้ย หรือว่า …

หรือว่า พี่ฟอง ใช่ ! พี่ฟอง ต้องเป็นพี่ฟองแน่ๆ

“เฮ้ย ! ไอ้ชา ไอ้อิฐ กูว่าพี่รหัสกูคือพี่ฟองว่ะ” ผมตะโกนลั่นห้อง ลุกขึ้นวิ่งไปเขย่าหัวไอ้ชาจนมันสำลักมาม่า แล้วเลยไปกระโดดนอนบนเตียงไอ้อิฐ

“โห อิจเว่อร์ มึงทำบุญมาด้วยอะไรวะ ได้พี่ฟอง มึงดูกู ได้ผู้ชาย แถมกูแม่งต้องส่งอีเมลตามหาอีก นี่กูอยู่ยุคอินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มใช้งานเหรอวะ เฟสบุ๊ค มือถง มือถือ ไลน์เลยไม่ใช้ติดต่อไรงี้” ไอ้อิฐบ่นของมันไปตามเรื่องตามราว

“ฟ้าดินกลั่นแกล้งกูมาก ทำไม๊ ทำไม ส่งนางฟ้าไปให้ไอ้คนหน้านิ่ง แทนที่จะส่งมาให้สุดหล่อแบบกูวะ”

เสียงดังมาจากตรงข้ามเตียงไอ้อิฐ อ้าว ไอ้นี่เดี๋ยวโดน แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมอารมณ์ดี

“มีใครจะเอาไรปะ กูว่าจะลงไปซื้อของเซเว่นหน้าหอ มึงเล่นกินมาม่ากูหมดเลยไอ้ชา กูซื้อไว้สี่กระป๋อง กูได้กินกระป๋องเดียวเนี่ยนะ”

มันยิ้มแหย ๆ ไม่ตอบอะไร ผมหันไปมองไอ้อิฐเป็นเชิงถามว่าเอาอะไรไหม มันส่ายหัวนั่งพิมพ์อีเมลหาพี่รหัสของมันต่อ ผมจึงหันไปหาไอ้คนแย่งมาม่าผมที่อ้าปากพูดอีกครั้ง

“เอาขนมปังมาด้วยไอ้คีย์ กูว่าพรุ่งนี้พวกเราตื่นไม่ทันไปกินข้าวเช้าหรอก เรียนแปดโมง” เออจริงของมัน ผมพยักหน้า ก่อนเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางบนโต๊ะตัวเองแล้วออกไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด