ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่ม 1 ตอนที่ 2: ตราประทับสายฟ้า (2)

เล่ม 1 ตอนที่ 1 : ตราประทับสายฟ้า (1)


Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ จอมเวทอหังการ

สารบัญ ราชันเทพเก้าสุริยัน

••••••••••••••••••••

เล่ม 1 ตอนที่ 1: ตราประทับสายฟ้า (1)

หน้าผาสูงใหญ่หลายพันเมตรห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งกำลังพลิ้วไหวตามแรงลม มนุษย์ตัวเล็กจ้อยนั่งอยู่ที่ขอบผา ร่างเงาสีดำเล็กปรากฏที่ตรงนั้น เขากำลังอาบไล้แสงอาทิตย์อัสดงอย่างเหม่อลอย ขาทั้งสองข้างแกว่งไกวไปมาอย่างไม่รู้ตัว

เด็กชายอายุสิบหกย่างสิบเจ็ด ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วสองข้างเรียวและหนาได้รูป ดวงตาแหลมคมราวกับเหยี่ยวทว่ากลับขาดพลัง ซึ่งทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกว่าเขาต้องการจะนอนตลอดเวลา แม้ใบหน้าของเขาจะอ่อนเยาว์ แต่ทว่ากลับคมได้รูปราวกับขวานตัด แม้ว่าเขายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มวัย แต่สิ่งที่แสดงออกผ่านดวงตาที่เต็มไปด้วยความไหววูบในแววตาจะเห็นได้ว่าเขาได้ผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมามากมาย

“โลกนี้มันบ้า! นี่มันผ่านไปนานแค่ไหนกันแล้ว สามปี? หรือว่าสี่ปี? ทั้งยังจะมีแต่ฤดูร้อนกับฤดูหนาว เฮ้อ นี่เรากลับโลกเดิมไม่ได้แล้วสินะ...”

เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวออกมาพร้อมกับทุบกำปั้นลงบนพื้นอย่างเจ็บปวด สายตาพลันเหลือบไปมองก้อนหินสีน้ำเงินใต้กำปั้นของตน มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาอย่างเฉยชา สำหรับโลกใบนี้ไม่มีอะไรเลยที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีความสุขนอกเหนือเสียจากความแข็งแกร่ง สถานที่นี้แปลกประหลาด มันไร้ซึ่งความบันเทิงใด ๆ ทุกวันผู้คนมักจะกังวลเรื่องหาอาหาร พวกเขาไม่มีอะไรอื่นทำ สำหรับพวกเขาแล้ว อาหารคือความหมายเดียวที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

เสียงหวีดแหลมดังขึ้น เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นจากหน้าผาโดยพลัน เขาออกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อกลับไปยังป้อมปราการ ภายในไม่กี่วินาทีเด็กหนุ่มวิ่งมาถึงหน้าป้อมหินขนาดใหญ่ มันสูงราวเจ็ดถึงแปดเมตร มีเสาหินแนบข้างแบกรับน้ำหนักของมันเอาไว้อย่างมั่นคง

แท้จริงแล้วป้อมขนาดเท่านี้ยังเล็กอยู่มาก ทว่ามันมีปลายแหลมยาวยื่นออกมา ด้านบนสุดเป็นโครงสร้างไม้ บนพื้นมีรูยาวประมาณสามเมตรและกว้างกว่าสองเมตร มันคืออุโมงค์ที่มุ่งหน้าลงไปด้านล่าง ด้านข้างคือบันไดโลหะและมีกงล้อขนาดใหญ่ติดตั้งเอาไว้

ชายคนหนึ่งผู้ไว้ซึ่งหนวดเครางดงาม เมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มวิ่งกลับมาจึงกล่าวว่า “เฟิง พวกนักล่ากลับมาแล้ว แกตาดี ๆ อยู่ลองออกไปตรวจสอบพวกเขาดูสิว่ามีปัญหาอะไรไหม?”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเข้าใจ มือทั้งสองยามนี้จับกงล้อก่อนจะหมุนมันออก ด้านหน้าคือทะเลสาบอันมืดมิด ยามนี้พลันปรากฏแสงสว่างขึ้นจากดวงตาของเขา มุมปากนั้นยกยิ้มเผยคำ “ลุงเก๋อขอรับ เขากลับมาแล้ว... รีบปล่อยกระเช้าลงไปเร็วเข้า!”

ชายร่างใหญ่เคราขาวเมื่อครู่ยื่นมือออกมาคว้าห่วงเชือกเพื่อปลดปล่อยกระเช้า ชายสองคนเริ่มหมุนวงล้อกระเช้าอย่างเชื่องช้าและเป็นจังหวะ

กระเช้ามีความยาวประมาณสามเมตร กว้างสองเมตรและลึกเกือบสองเมตร มันถูกสร้างขึ้นเพื่อขนส่งคนหรือสิ่งของ นี่คือหนึ่งในหนทางการเข้าสู่ปราสาทผาพยัคฆ์ ปราสาทแห่งนี้มีเพียงสองถนนที่ตัดผ่านและนำพาไปสู่โลกภายนอก อีกหนทางหนึ่งคืออุโมงค์ด้านหลังปราสาท ซึ่งมันยากเย็นยิ่งในการเดินทาง นั่นคือสาเหตุที่บุคคลภายในปราสาทล้วนแต่ใช้กระเช้านี้เพื่อเข้าออก

ภายในกระเช้ามีชายสองคนนั่งอยู่ภายในและซากศพของเหยื่อ เด็กหนุ่มกระพริบตารัวพร้อมกล่าวว่า “ลุงเก๋อครับ เหตุใดจึงมีแต่สัตว์ตัวเล็ก ๆ ล่ะ ไม่มีตัวใหญ่ ๆ บ้างเลยงั้นหรือ?”

ภายในกระเช้านี้มีเพียงกระต่าย ไก่ เป็ดและแกะป่าเท่านั้น

แกะป่านั้นเป็นสัตว์พิเศษ มันคือสัตว์ป่าขนาดเล็กซึ่งชอบเล็มหญ้าวิญญาณเป็นชีวิตจิตใจ เนื้อของมันอร่อยและเป็นที่โปรดปราณของมนุษย์ที่นี่ มันคืออาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ทว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้มีขนาดเล็กมาก เนื้อของมันน้อยนิด ตัวของมันใหญ่กว่าไก่ฟ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ลุงเก๋อหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “เฟิงเอ๋ย พวกเราล่าหมูป่าได้ด้วยนะ น้ำหนักของมันมากกว่าสามร้อยกิโลกรัม การจะลากมันมาถึงที่นี่เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่ง เอาล่ะเด็กน้อย เดี๋ยวไปส่งฉันที่บ้านสิ ฉันจะแบ่งขาหมูให้สักขาหนึ่ง ฮี่ฮี่”

ซินเฟิงเผยยิ้มกว้างไปถึงใบหู “แน่นอนขอรับ ผมไปส่งถึงบ้านลุงเลย!”

ทุกคนที่อยู่ในปราสาทผาพยัคฆ์ล้วนแต่เป็นนักล่า บางส่วนปลูกพืชผักสวนครัวพร้อมด้วยธัญพืช พวกเขาเหล่านั้นอาศัยอยู่ในหุบเขา หนุ่มน้อยเฟิงเป็นหนึ่งในสองร้อยครัวเรือนนี้เช่นกัน เขาอาศัยอยู่กับปู่และน้องสาว ปกติแล้วผู้ชายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพืชผักแต่อย่างใด หน้าที่ของพวกเขาคือการออกล่าอาหาร เนื่องจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ณ ผาพยัคฆ์แห่งนี้มีน้อยมาก

ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดายสำหรับเขาเลย ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นขาจะต้องคอยดูแลน้องสาวที่อายุเพียงสามขวบ ขณะที่ปู่ของเขาแก่เกินกว่าจะออกล่าสัตว์แล้ว การหาเลี้ยงครอบครัวจึงเป็นหน้าที่ของซินเฟิงเพียงคนเดียว ช่วงแรกซินเฟิงช่วยเหลือตนเองโดยการออกเก็บผลไม้หรือผักต่าง ๆ กลับมาเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว แต่ทว่านักล่าแถวนี้เต็มไปด้วยน้ำใจ พวกเขาให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้านอย่างมาก บ่อยครั้งที่พวกเขามักจะแบ่งอาหารให้กับซินเฟิงอยู่เสมอ นี่คือวิธีการดำรงชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่น้อย ผู้คนที่นี่เต็มไปด้วยมิตรไมตรีและพร้อมช่วยเหลือ ถ้าหากว่าไม่มีคนเหล่านี้ เขาคงจะไม่สามารถมีลมหายใจจวบจนทุกวันนี้ได้เป็นแน่

แต่หลังจากฤดูร้อนของปีนี้จบลง เฟิงจะต้องเตรียมตัวกักตุนอาหารเพื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ความรับผิดชอบครั้งนี้ใหญ่เกินไปในเด็กวัยเดียวกัน เขาไม่เพียงแต่ต้องดูแลตนเองเท่านั้น แต่นี่ต้องเพียงพอกับปู่และน้องสาวด้วย

ลุงเก๋อหย่อนตัวลงในกระเช้าอีกครั้ง คราวนี้เขากลับขึ้นมาพร้อมกับหมูป่าน้ำหนักกว่าสองร้อยกิโลกรัมขึ้นมาด้วย ผิวหนังหมูป่านี้มีลักษณะขรุขระ ถ้าหากนำมันไปประกอบอาหารโดยไร้ทักษะใด ๆ มันจะคาวและไร้ความอร่อย แน่นอนเฟิงไม่ได้สนใจว่ามันจะรสชาติอย่างไร ตราบเท่าที่เขาสามารถกินมันได้ เขาก็จะกินมันลงไป นับตั้งแต่ที่เขาใช้ชีวิตในโลกใบนี้ ไม่เคยมีมื้อไหนที่เขาได้อิ่มอย่างแท้จริงมาก่อน แม้ว่าเขาจะกินเข้าไปมากแค่ไหนก็ไม่เคยรู้สึกถึงความอิ่มเอมใด ๆ เขาก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงกลายเป็นคนกินจุได้ถึงเพียงนี้?

ระหว่างทางเดินกลับปราสาท กลุ่มนักล่าและเฟิงต่างเดินหัวเราะกันไปตลอดทาง

ปราสาทผาพยัคฆ์นั้นถูกสร้างขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่สูงชัน สิ่งกีดขวางมากมายอยู่ภายในบริเวณแห่งนี้ จุดศูนย์กลางของมันมีรัศมีกว่าสองกิโลเมตรและมีพื้นที่ว่างเปล่าทำหรับการทำฟาร์ม ผู้คนภายในปราสาทแห่งนี้อาศัยอยู่ภายในถ้ำหรือใต้หน้าผาด้านในเท่านั้น ทุกครัวเรือนมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปในถ้ำ ซึ่งถ้ำแห่งนี้คือสิ่งที่ธรรมชาติและมนุษย์ร่วมกันสร้างขึ้นมา กระท่อมเล็ก ๆ ทำมาจากไม้ พวกเขาจะอาศัยอยู่ในกระท่อมได้เมื่ออยู่ในฤดูร้อน ทว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว พวกเขาจะต้องย้ายตัวเองเข้าไปในถ้ำด้านใน

รูปร่างของปราสาทคล้ายกับจาน มันคือแผ่นดินขนาดใหญ่และกว้างพอที่จะอาศัย ส่วนด้านนอกของมันคือหน้าผาสูงชัน

มันคือป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งนี่คือเหตุผลว่าทำไมมนุษย์จึงเลือกอาศัยอยู่ตรงนี้ทันทีที่ได้พบกับมัน

……

มือของเฟิงถือขาหมูป่าขนาดใหญ่ อีกข้างเป็นไก่ป่าสองตัว เขาเดินกลับบ้านของตนอย่างเร่งรีบ

ขาทั้งสองพลันหยุดลงที่รั้วบ้านของตนเอง ซึ่งกระท่อมน้อยของเขาถูกสร้างขึ้นข้าง ๆ ถ้ำ เด็กหญิงคนหนึ่งเมื่อได้เห็นเฟิงกลับมา เธอร้องตะโกน “พี่เฟิง… พี่เฟิงกลับมาแล้ว…” พร้อมปรี่มาหาเขาอย่างกระตือรือร้น

อากาศเริ่มหนาวเย็นตามลำดับ ฤดูร้อนใกล้จะหมดลง เด็กหญิงสวมใส่เสื้อผ้าขนสัตว์เพื่อเพิ่มความอบอุ่น ขนนุ่มยาวพลิ้วไหวขณะที่เธอก้าวขาทำให้ร่างกายของเธอคล้ายกับลูกบอลเล็ก ๆ กำลังกลิ้งไปมา เฟิงหัวเราะอย่างขบขันพร้อมกล่าว “ไม่ต้องวิ่ง… ระวัง เดี๋ยวล้ม ช้า ๆ ก็ได้…” เขาย่อตัวลงแต่มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยอาหาร เช่นนี้จึงไม่สามารถโอบกอดเธอไว้ได้

เด็กหญิงหัวเราะคิกคักพร้อมกับพุ่งเข้ากอดลำคอของเฟิงอย่างมีความสุข แขนของเธอกอดเขาไว้แน่น เฟิงยืนขึ้นพร้อมกับหญิงสาวที่ห้อยคออยู่เช่นนั้น สาวน้อยหัวเราะชอบใจพร้อมถาม “พี่เฟิง~ วันนี้เราจะกินเนื้ออะไรกันหรอ~”

เฟิงใช้หน้าผากของเขาแตะแก้มของสาวน้อยเบา ๆ พร้อมกับหัวเราะอย่างเอ็นดู “วันนี้ลุงเก๋อแบ่งเหยื่อให้เราด้วยนะ ฮ่าฮ่า แล้วปู่อยู่ไหนล่ะ?”

เด็กหญิงหัวเราะ “ปู่ออกไปต้มเกลือ เพิ่งกลับมาเมื่อครู่”

ปราสาทผาพยัคฆ์แห่งนี้มีความพิเศษที่ไม่เหมือนใครอื่น มันมีเหมืองเกลือขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน ซึ่งชาวบ้านสามารถขุดมันขึ้นมาสำหรับต้มน้ำเกลือสะอาดเอาไว้ใช้ดื่มกินได้ หลังจากที่น้ำเกลือเดือดจัด มันจะสามารถเก็บไว้ได้นาน นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมชาวบ้านที่นี่จึงอาศัยอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนมากนักในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเช่นนี้ การต้มเกลือเป็นเรื่องปกติที่คนแก่และหญิงสาวในหมู่บ้านต้องทำ

การติดต่อกับโลกภายนอกนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับปราสาทผาพยัคฆ์ พวกเขาจำเป็นจะต้องแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยตนเอง เฟิงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้อย่างมาก เขาทุกข์ทรมานอยู่นานเกือบปี แต่ท้ายที่สุดเขาก็สามารถอาศัยอยู่ได้โดยกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านแห่งนี้ไปโดยปริยาย

เด็กหญิงยังคงแขวนอยู่บนคอของเฟิง ทั้งสองหัวเราะคิกคักอย่างอบอุ่นในขณะที่กำลังเดินไปยังบ้านหลังน้อยของตน ขาหยุดเคลื่อนไหวลงที่ประตู เฟิงตะโกนออกมา “ปู่ครับ ผมกลับมาแล้ว ดูนี่สิ! ลุงเก๋อให้ขาหน้าของหมูป่ามาด้วยนะ น้ำหนักกว่าสิบห้ากิโลกรัมเชียว เราคงจะกินมันได้สองถึงสามวัน!”

เด็กหญิงปล่อยมือจากลำคอของเฟิงพร้อมกับวิ่งไปหาชายชราและกอดแขนของเขาเอาไว้ในขณะที่เขากำลังย่อตัวลง เด็กหญิงกล่าวออกมาอย่างเจื้อยแจ้ว “คุณปู่ ป้าฉิงให้หนังมาชิ้นหนึ่ง หนูเก็บมันไว้ในถ้ำ ชิ้นใหญ่มากเลยแหละ ต้องรอสองถึงสามวันเกราะหนังถึงจะแห้ง จากนั้นค่อยให้พี่ชายสวมใส่มัน! ฮี่ฮี่ หนูเก่งที่สุดเลยใช่ไหมล่ะ!” เธอโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสอย่างไร้เดียงสา เช่นนี้ทำให้เฟิงอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะตามด้วยเช่นกัน

“ฮ่าฮ่า น้องสาวตัวน้อยของพี่นี่สุดยอดจริง ๆ เลย!”

เฟิงเอ่ยปากชมเธอ

ชายชราลูบศีรษะของเธอเบา ๆ พร้อมพยักหน้าและกล่าว “ใช่แล้ว เหยาเหยาเก่งที่สุดในบ้านเลย!”

เด็กหญิงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

เกราะหนังเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับนักล่า มันถูกสร้างมาจากหนังสัตว์ต่าง ๆ ที่ถูกเรียงซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น ส่วนใหญ่แล้วจะถูกสร้างมาจากหนังของวัว

เกราะหนังเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างมาก ผู้ที่สร้างมันได้มีประมานสิบคนเท่านั้น ประมาณสองปีที่แล้ว ปู่เริ่มทำมันและมีเด็กหญิงคอยช่วยเหลือ การทำงานอย่างหนักของคนทั้งสองรุ่นได้สำเร็จในที่สุด ก่อนหน้านี้ที่มันยังไม่เสร็จเสียทีนั่นเป็นเพราะขาดชิ้นส่วนของหนังวัว ซึ่งในตอนนี้วัสดุครบถ้วนแล้ว

ชุดเกราะนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ มันจะถูกใช้งานเมื่อเฟิงได้ออกไปล่าสัตว์นอกหมู่บ้าน สำหรับนักล่าแล้วชุดเกราะนี้จำเป็นอย่างมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่ครอบครัวสามารถมอบชุดเกราะให้เด็กรุ่นใหม่ได้แล้ว นับตั้งแต่วันนั้นเด็กคนนั้นจะเป็นที่รู้จักในนามของนักล่าทันที

เกราะหนังนี้จำเป็นจะต้องใช้หนังของสัตว์สามชนิด ชั้นแรกประกอบไปด้วยหนังลูกนิ่ม มันมีรูขนาดเท่ากับเมล็ดถั่ววางเรียงเป็นเกล็ด ซึ่งอ่อนนุ่มและสามารถป้องกันความหนาวเย็นได้ ชั้นกลางคือหนังวัวและชั้นนอกคือหนังของหมี ระหว่างการผลิตจะต้องสร้างลวดลายบนแผ่นหนังอย่างปราณีตและใช้น้ำมันสัตว์ชนิดหนึ่งทาให้ทั่ว เช่นนี้มันจะกลายเป็นเกราะหนังที่ป้องกันความหนาวได้และมีพลังป้องกันที่สูงมากอีกด้วย

••••••••••••••••••••

สวัสดีค่ะทุกท่าน กดติดตามนิยายไว้ด้วยน้า

ไม่หนีไปไหนแน่นอน เจอกันได้ที่เพจค่ะ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด