ตอนที่ 3
เคล็ดสามภพเร้นลับ
จ้าวชิงเหยาที่เริ่มกรุยคุณสมบัติกลับไม่ถือว่ามีปัญหาอะไร แต่กลับเป็นว่าจะให้จ้าวชิงเหยาฝึกปรือเคล็ดวิชาอะไรนั้นกลับกลายเป็นคำถามที่เฉินหมิงต้องครุ่นคิดอยู่ในตอนนี้ นี่เป็นถึงตัวละครเอกเชียวนะ ยังไงก็ไม่สามารถปล่อยให้นางฝึกปรือตามสินค้าจากแผ่นดินใหญ่มิใช่หรือไง ?
แต่จะใช่สินค้าแผ่นดินใหญ่หรือเปล่านั้น เคล็ดวิชาระดับเทพอะไร ก็อย่าได้เอ่ยถึงแล้ว แม้แต่เทพก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วยังเคล็ดวิชาระดับเทพอีก
จะทำยังไงดีล่ะ ?
ใช่แล้ว ในแผ่นดินใหญ่ไม่ใช่ว่ามีวิชาประหลาดพิสดารอยู่หรอกหรือ นอกจากตัวละครเอกแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจสำเร็จวิชาได้ทั้งชีวิต ผู้ใดฝึกผู้นั้นย่อมตายไม่ใช่หรือ ?
เมื่อได้หัวเราะให้กับจ้าวชิงเหยา เฉินหมิงก็ได้กล่าวว่า : “ชิงเหยาเอ่ย มาเถอะ พวกเราไปหอคัมภีร์หาเคล็ดวิชาบางส่วนให้กับเจ้ากันเถอะ”
เมื่อได้พาจ้าวชิงเหยาไปถึงหอคัมภีร์ ก็ได้พบกับหลี่ฉางเกิงที่พาบรรดาลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งมาเพื่อเสาะหาเคล็ดวิชา ผู้มีกายากระบี่อาญาสิทธิ์เองก็ได้ติดตามอยู่ทางด้านหลังหลี่ฉางเกิง คาดว่าหลี่ฉางเกิงเองคงจะทำให้เจ้าสำนักได้รับผลประโยชน์อยู่ไม่น้อย จึงสามารถที่จะได้ผู้มีกายากระบี่อาญาสิทธิ์ผู้นี้มาไว้ในมือ
หลี่ฉางเกิงเมื่อพบว่าเฉินหมิงมายังที่แห่งนี้ ก็ได้ครุ่นคิดในใจ คนอย่างเฉินหมิงผู้มีชาติกำเนิดที่โดดเด่น ทั้งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า อีกทั้งยังมีรูปงามหน้ามล เหตุใดจึงรับศิษย์คนแรกที่อยู่ในอันดับรั้งท้ายไปกัน หรือจะเป็นว่า เฉินหมิงบังเกิดความละโมบต่อความงดงามของเด็กสาวกัน ? แต่ว่าจ้าวชิงเหยาพึ่งจะอายุเท่าไหร่เอง อีกทั้งสรีระเองก็ยังไม่ได้เติบโตเต็มที่ ช้าก่อน ในเมื่อข้ามีความกล้าบังอาจที่จะคิดเช่นนี้ เฉินหมิงคงจะไม่ได้ชมชอบทารกหญิงเข้าหรอกนะ……
ไม่สมควร ไม่สมควร หรือว่าเฉินหมิงได้พบจุดที่เป็นข้อดีของจ้าวชิงเหยาขึ้นแล้ว แต่ว่าหลี่ฉางเกิงไม่ว่าจะมองอย่างไร พรสวรรค์ของเด็กสาวผู้นี้ก็ถือได้ว่าย่ำแย่จนทำให้ผู้คนขนหัวลุกได้อยู่ดี
หรือเป็นเพราะเฉินหมิงมีปัญหาในการฝึกปรือตบะ จนสายตามีปัญหาแล้วอย่างงั้นหรือ ?
หลี่ฉางเกิงเดินมาจนถึงเบื้องหน้าของเฉินหมิง พร้อมกับยกมือขึ้นคารวะ : “ผู้อาวุโสเฉิน มาเพื่อเสาะหาเคล็ดวิชาให้แก่ศิษย์ของท่านอย่างงั้นหรือ ? ”
เฉินหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า : “เป็นเช่นนั้น”
หลี่ฉางเกิงถึงอย่างไรก็ยังคงหวาดเกรงสถานะของเฉินหมิงอยู่ ด้วยชาติตระกูลที่สูงล้ำอย่างเห็นได้ชัด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสเฉินก็เลือกก่อนเถอะ เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงการที่พวกเราจะต้องตาเคล็ดวิชาชุดเดียวกัน คงจะต้องเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอยู่ไม่น้อย”
เฉินหมิงจึงหัวเราะแล้วกล่าว : “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าย่อมไม่เกรงใจ”
ทันใดนั้นหวังเทียนได้เดินเข้ามา ประจวบมาพร้อมกับผู้มีกายากระบี่อาญาสิทธิ์ผู้นั้นด้วย พร้อมทั้งหันไปกล่าวต่อเฉินหมิงว่า : “ผู้อาวุโสเฉิน ข้าอยากที่จะทราบว่า เหตุใดท่านถึงได้ไม่รับข้าไว้เป็นศิษย์ ท่านเองก็มีกายากระบี่โบราณ ข้าเองก็มีกายากระบี่อาญาสิทธิ์ ล้วนแต่มีคุณสมบัติของวิถีกระบี่ มิใช่มีความเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง แต่ท่านกลับรับสวะที่ไม่ทราบหัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่งมาเช่นนี้ ! ”
เฉินหมิงบังเกิดความลิงโลดขึ้นในใจ มาเถอะมาเถอะ มาเช่นนี้ก็ใช่แล้ว หากไม่ถูกเรียกว่าเป็นสวะสักหลายคำ นั่นยังเรียกว่าตัวละครเอกได้งั้นหรือ? ในช่วงเวลานี้ เฉินหมิงได้ทอดมองไปที่แววตาของจ้าวชิงเหยาที่ยิ่งทวีความเร่าร้อนขึ้น ช่างสมกับเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง !
บนใบหน้าเฉินหมิงกลับหาได้บังเกิดความเคลื่อนไหวไม่ เพียงแต่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกล่าวด้วยท่าทางที่ลึกล้ำ : “ภายใต้สำนักเรา มีวิธีการอบรมสอนสั่งอยู่มากมาย หากว่ารับเจ้ามา เอาชนะศิษย์จำนวนมากที่เข้าสำนักจนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างง่ายดาย นั่นก็ไม่มีความท้าทายมิใช่หรือ หากเป็นเช่นนั้นจะสามารถแสดงความสามารถของข้าพเจ้าให้โดดเด่นขึ้นมาได้อย่างไร? ”
หวังเทียนถึงกับหางคิ้วกระตุก เขารับนางเป็นศิษย์ก็เพื่อทำให้ความสามารถของตัวเองโดดเด่น ดังนั้นจึงไม่ได้รับข้าไว้เพื่อเป็นศิษย์ ? ท่านหาเหตุผลที่น่าทึ่งให้ได้ยิ่งกว่านี้ไม่ได้หรือไง ?
หวังเทียนกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ : “เหอะ ! รอดูไปเถอะ ภายในสามเดือนให้หลังศิษย์ทุกคนที่พึ่งเข้าสำนักจะต้องเข้าสู่การประลองทดสอบฝีมือ ผู้อาวุโสเฉินคงต้องให้สมบัติป้องกันตัวกับสวะผู้นี้มากหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นหากถูกข้าฆ่าไปโดยที่ไม่ทันระวังขึ้นมาแล้ว ก็คงจะไม่น่าดูกัน ! ”
เฉินหมิงได้ไว้อาลัยให้กับหวังเทียนสามวินาที เด็กหนุ่มผู้โง่งมเอ่ย เจ้ารังควานใครไม่รังควาน กลับไปรังควานตัวละครเอก ช่างสมกับเป็นอาจมอย่างแท้จริง !
หนึ่ง
สอง
สาม
เอาล่ะ ไว้อาลัยเสร็จสิ้น
เฉินหมิงก็ได้เดินมาจนถึงเบื้องหน้าผู้อาวุโสของหอคัมภีร์ เอ่ยปากถามขึ้น : “ใช่แล้ว เจ้าพอจะมีเคล็ดวิชาที่น้อยคนนักจะฝึกปรือแบบนั้นหรือไม่ หรือถ้าหากยิ่งเป็นวิชาที่ไม่มีใครเคยฝึกสำเร็จได้ หรือวิชาที่ทำให้ผู้ฝึกตายลงกันไม่น้อยบ้างหรือเปล่า ? ”
ผู้อาวุโสหอคัมภีร์ถึงกับกระตุกหางคิ้วขึ้นมา กล่าว : “มีนั้นมีอยู่ มีชุดหนึ่งที่เป็นเคล็ดสามภพเร้นลับ ที่ยังไม่เคยมีคนฝึกปรือ จากที่เคยได้ยินมาจากบันทึกที่ผ่านมา เคล็ดวิชาเล่มนี้ ถือได้ว่ามีความแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตกลิ่นอายวิถี แต่ว่าผู้ใดฝึกคนผู้นั้นย่อมตาย ไม่ก็คงต้องถูกธาตุไฟเข้าแทรก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะฝึกปรือแล้ว อือ ผู้อาวุโสเฉิน ท่านถามข้าเช่นนี้ไปทำไม ? ท่านคงไม่ได้คิดที่จะ……”
เฉินหมิงหัวเราะหึหึดังขึ้นมา พร้อมกล่าว : “เคล็ดสามภพเร้นลับสินะ หยิบมาให้ข้าได้เลย” เฉินหมิงยังได้หันหน้าส่งรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นให้กับจ้าวชิงเหยา แล้วกล่าว : “ชิงเหยาเอ่ย เจ้าก็ฝึกเคล็ดสามภพเร้นลับนี้เถอะ”
จ้าวชิงเหยาถึงกับตัวแข็งทื่อ : ท่านอาจารย์ ท่านเป็นบ้าจริงอย่างงั้นสินะ…..
หลี่ฉางเกิงถึงกับตัวแข็งทื่อ : จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว ดูเหมือนว่าความคิดที่บังอาจของข้าเองก็คงจะไม่ถูกต้องแล้ว เฉินหมิงผู้นี้คงเป็นบ้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยังไงข้าก็ต้องรีบไปแจ้งเตือนต่อท่านเจ้าสำนัก…..
หวังเทียนเองก็ถึงกับตัวแข็งทื่อ : ยังดีที่เฉินหมิงไม่ได้รับตัวเองไว้ ช่างอันตรายยิ่งนัก ช่างอันตรายยิ่งนัก…….
ศิษย์อีกมากมายก็ล้วนแต่ตัวแข็งทื่อ : นี้ยังเป็นเฉินหมิง ที่เปรียบเสมือนตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้นั้นจริงงั้นหรือ เหตุใดถึงได้ไม่เหมือนกับตามที่ตำนานเล่าขานกันเอาไว้เลยเล่า…….
เฉินหมิงเองก็คร้านที่จะไปสนใจอะไรให้มากความถึงเพียงนั้น จึงได้พาตัว จ้าวชิงเหยาไปในทันที รอคอยจนกลับมาถึงยังภูผาราชันย์พิสุทธิ์แล้ว จ้าวชิงเหยาจึงถามขึ้นด้วยความระมัดระวัง : “ท่านอาจารย์ ศิษย์จะต้องฝึกเคล็ดสามภพเร้นลับอะไรนั้นจริงอย่างงั้นหรือ ? ”
เฉินหมิงจึงยื่นเคล็ดสามภพเร้นลับให้กับจ้าวชิงเหยา จากนั้นก็กล่าวว่า : “เจ้าลองดูก่อน”
จ้าวชิงเหยารับมา ลังเลอยู่ชั่วครู่ ท้ายสุดก็ยอมเปิดดู ในตอนแรกเริ่มยังมีความเกรงกลัวอยู่บ้าง แต่ว่าเมื่อได้อ่านบางส่วนของคัมภีร์ไปก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นงมงายขึ้นมา พร้อมกับมองไปยังส่วนที่เป็นด้านบนของคัมภีร์ ลมปราณระหว่างฟ้าดินก็ถึงกับรวมตัวกันอยู่ที่ข้างกายของนาง
จากนั้นเฉินหมิงก็ได้ยินเสียงปุ้งดังขึ้น จ้าวชิงเหยาที่อยู่เบื้องหน้าสายตาเขาได้เข้าสู่ขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่สองแล้ว ! ! ! ! ! !
อย่างนี้ก็ได้เหรอ! พวกคุณบอกกับผมที จะมีโอกาสที่จะเอาชนะตัวเอกได้จริงอย่างงั้นหรือ ? เพียงแค่เปิดดูยังไม่ทันที่จะเริ่มฝึกฝนก็ทะลวงพลังได้แล้ว นี้มันไม่ใช่การโกงกันซึ่งๆ หน้ากันหรือไง !
เสียงของระบบพี่สาวแสนสวยดังขึ้นมา “ติ่ง จ้าวชิงเหยาทะลวงเข้าถึงขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่สอง ได้รางวัลเป็นคะแนนจริยธรรมยี่สิบแต้ม ! ”
ที่แท้ศิษย์ที่ทะลวงพลังได้จะสามารถเพิ่มคะแนนจริยธรรม หลังจากที่กลับไปถึงภูผาราชันย์พิสุทธิ์เมื่อถึงเวลาแล้วคอยมาดูกันว่าคะแนนจริยธรรมจะบรรลุเคล็ดวิชาเหนือธรรมชาติได้ร้ายกาจมากแค่ไหนกันอีกที
จ้าวชิงเหยาก็ได้พบว่าตัวเองทะลวงพลังได้แล้ว จึงได้ลืมตามองไปที่เฉินหมิง ฉีกยิ้มกว้าง “อาจารย์ ข้าคล้ายกับสามารถจะฝึกปรือเคล็ดสามภพเร้นลับนี้ได้ อาจารย์สมกับเป็นยอดคนอย่างแท้จริง ข้าไม่ควรที่จะไปสงสัยท่านอาจารย์เลย”
เฉินหมิง : “แค๊ก แค๊ก แค๊ก นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ด้วยขอบเขตของอาจารย์ในตอนนี้ ย่อมสามารถที่จะมองทุกสรรพสิ่งที่อยู่บนโลกหล้าได้อย่างแตกฉาน กับเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องตกใจไป ในเมื่อเจ้าเองก็สามารถที่จะเป็น ผู้ฝึกฝนได้ ก็จงฝึกฝนสะสมประสบการณ์ไปเถอะ”
เมื่อจ้าวชิงเหยาไปฝึกวิชาด้วยความรื่นรมย์ เฉินหมิงบังเกิดความสงบเงียบขึ้นมาได้ชั่วขณะ ต้มชากวนอิมหยกที่แม้แต่จักรพรรดิก็ยังไม่อาจดื่มด่ำได้ไปจอกหนึ่ง ระหว่างที่กลิ่นหอมของชาก่อตัวเป็นคลื่น ก็ได้พิงอยู่บนเก้าอี้อาบแสงแดด อย่างสบายอารมณ์
คุณอาจจะถามเฉินหมิงว่า เหตุใดเขาถึงได้ว่างถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่ไปฝึกปรือบำเพ็ญตบะ เหอะ ในโลกของการฝึกปรือบำเพ็ญตบะ การฝึกปรือบำเพ็ญตบะย่อมถือเป็นภารกิจสายหลักไม่ใช่กันหรือไง ? เห้อ เห้อ ขึ้นชื่อว่าเป็นNPC[1] ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ของตัวละครเอก ขอเพียงเดินตามทางของตัวละครเอกย่อมได้แล้ว หากไม่มีอะไรทำก็คอยดูตัวละครเอกเล่นละคร ตบหน้าทุบตีคน ตะโกนร้องขานว่า ตัวละครเอกนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงสุดในโลกหล้าก็เพียงพอแล้ว คิดที่จะไปแย่งซีนตัวละครเอก ไม่กลัวว่าจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างร้อนใจกันหรือไง สิ่งที่เรียกกันว่าการฝึกปรือ เมื่อถึงเวลาให้เลเวลอัพก็จะเลเวลอัพเอง ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว หากในเรื่องไม่ต้องการให้คุณเลเวลอัพ ต่อให้พยายามที่จะฝึกปรือบำเพ็ญตบะไปก็ไม่มีประโยชน์ หากในเรื่องคิดที่จะให้คุณเลเวลอัพ ก็ย่อมสามารถที่จะทะลวงพลังได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว
ต้องขออภัยด้วย ที่เฉินหมิงได้มองออกจนทะลุปรุโปร่งมาแต่แรกแล้ว
หลี่ฉางเกิงซึ่งติดตามอยู่ทางด้านหลังของเจ้าสำนัก ที่ด้านหลังยังมีแพทย์นับร้อยติดตามมาด้วย เดินเข้ามาจนถึงเรือนของเฉินหมิงกันอย่างเร่งรีบ ความสัมพันธ์ของเจ้าสำนักและท่านปู่เองก็ถือว่าไม่เลว เป็นความสัมพันธ์ที่ผ่านชีวิตร่วมกันมา อีกทั้งยังคาดหวังที่จะให้เฉินหมิงรับช่วงการเป็นเจ้าสำนักหมื่นกระบี่ต่ออีกด้วย ย่อมไม่ต้องการที่จะให้เฉินหมิงกลายเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟอย่างแน่แท้
เจ้าสำนักเองก็อายุมากแล้ว ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องการที่จะให้เฉินหมิงเกิดเรื่อง จึงได้หยุดการพรรณนาของหลี่ฉางเกิง พลันรีบจับตัวแพทย์นับร้อยขึ้นสู่เขา
เจ้าสำนักหนวดเคราผมเผ้าสีขาวโพลน สวมใส่เสื้อคลุมที่เป็นสีขาวคลุมไปทั้งร่าง เมื่อพบเห็นเฉินหมิงกำลังดื่มชาอย่างเอ้อระเหย ก็พลันรีบกล่าวขึ้นมาว่า :“ผู้อาวุโสเฉิน เจ้าไม่ได้เป็นอะไรไปหรอกนะ ? ”
เฉินหมิงพึ่งจะรับศิษย์ที่คล้ายกับว่าเป็นตัวละครเอกมาคน จิตใจย่อมต้องเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง มีหรือที่จะเกิดเรื่องขึ้นได้ “ไม่มีอะไรอยู่แล้วท่านเจ้าสำนัก เหตุใดท่านถึงได้ถามเยี่ยงนี้ ? ”
เจ้าสำนักกล่าวอย่างจริงจัง : “เฉินหมิงเอ่ย หลังจากนี้เจ้าจะต้องขึ้นเป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไป จำต้องรักและดูแลศิษย์ในสำนัก ถึงแม้เรื่องเมื่อวานจะไม่ทันระวังจนไปเลือกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ต่ำต้อยเป็นอย่างยิ่งมาเป็นลูกศิษย์ แต่ว่าเจ้าเองก็ไม่สามารถที่จะปล่อยให้นางฝึกปรือเคล็ดวิชาที่ทำให้ตายได้หรอกนะ! หากว่าข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ชื่อเสียงของเจ้าย่อมหม่นหมองแน่แท้ ”
เฉินหมิงถึงกับหางคิ้วเต้นไปมา ที่แท้ก็พูดถึงเรื่องนี้เองสินะ “เจ้าสำนัก ข้าหาได้คิดร้ายต่อชิงเหยาไม่”
หลี่ฉางเกิงพูดโน้มน้าว : “ผู้อาวุโสเฉิน การอบรมสั่งสอนลูกศิษย์กลับมิใช่เรื่องเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เส้นทางการฝึกปรือเองก็ยังจำเป็นที่จะต้องก้าวไปทีละก้าวกันอยู่ดี”
เจ้าสำนักยื่นมือเข้ามาในทันทีแล้วกล่าว : “พวกเจ้า ไปตรวจดูอาการของผู้อาวุโสเฉินว่าบาดเจ็บตรงไหน ใช่เป็นเพราะธาตุไฟเข้าแทรกเพราะรีบฝึกปรือเร็วเกินไปหรือไม่”
แพทย์นับร้อยก็ได้หยิบอุปกรณ์ครบมือเดินเข้ามา จนทำให้เฉินหมิงตกใจจนพลันรีบลุกขึ้นยืน : “ท่านเจ้าสำนัก ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”
เจ้าสำนักกล่าว : “หากว่าเจ้าเกิดเรื่องขึ้น จะให้ข้าไปบอกต่อปู่เจ้าได้อย่างไร ? ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้มากมายแล้ว ยอมให้ข้าตรวจสอบสักรอบเถอะ ! ”
ประจวบกับที่ในเวลานี้ จ้าวชิงเหยาที่พลางกระโดดโรดเต้นสลับเดินเข้ามายังภายในลานบ้านของเรือนที่พัก พร้อมตะโกนขึ้นมาด้วยความเบิกบานแล้วกล่าว : “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ข้าทะลวงจนเข้าถึงขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่สามแล้ว ! ”
เจ้าสำนัก : ……
หลี่ฉางเกิง : …….
“ติ่ง จ้าวชิงเหยาได้ทะลวงพลังถึงขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่สาม ได้รับคะแนนจริยธรรมสามสิบแต้ม ! ”
.
.
.
.
[1] NPC คือตัวละครที่ผู้เล่นไม่ได้ควบคุม ย่อมาจาก non-person character
ติดตามเพจได้ที่>>https://bit.ly/2U7XmLR
ติดตามอ่านรายตอนได้ก่อนใคร >> https://novelrealm.com/detail/185