ตอนที่แล้วChapter 7: สำรวจ (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 9: กิจวัตรประจำวันรูปแบบใหม่ (1)

Chapter 8: สำรวจ (3)


“พวกเขาน่าจะพาคนงานของตัวเองเข้ามา, เพราะกลัวว่าความลับของพวกเขาจะถูกเปิดเผยแน่ๆ...และถ้าขืนพวกชาวบ้านรู้เข้า, พวกเขาอาจจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรมาขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวก็ได้”

เทรย์พูด

“ก็เป็นไปได้นะ แถมตั้งแต่มาที่ภูมิภาคนี้, พวกเราก็ไม่ค่อยเจอคนเลย....ผู้คนที่นี่เชื่อว่าดินแดนแห่งนี้แห้งแล้ง, พวกเขาก็เลยไม่ค่อยมาที่นี่ และต่อให้พวกเขามา, ระยะทางตั้งแต่แปลงเกษตรของพวกเขาไปจนถึงเหมืองก็ไม่ได้ใกล้ๆเลย”

ลูเซียสพูด

“นอกจากนี้ทางเข้าทางออกเมืองของเบย์มาร์ดก็ตั้งอยู่ที่ภูมิภาคตอนกลาง, ดังนั้นก็เลยไม่ค่อยมีใครคิดที่จะมาแถวนี้”

แกรี่พูดเสริม

ทุกคนเห็นด้วย

“ข้าคิดว่า, พวกขุนนางน่าจะฆ่าและเผาศพพวกคนงานในตอนที่รู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญอยู่”

แลนดอนพูด

“ถ้าคิดแบบนั้นก็จะอธิบายต้นตอของคราบเลือดกับกองขี้เถ้าที่พวกเราเจอในที่ดินทั้งสามได้สินะครับ...เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าพวกคนงานจะเก็บความลับของพวกเขาไปตลอดชีวิต วิธีเดียวที่จะปกปิดความลับก็คือการทำให้พวกคนงานปิดปากเงียบอย่างถาวร”

เทรย์พูดเสริม

พวกเขามีแต่ต้องยอมทำ, เจ้าเมืองกับพวกบารอนนั้นทุ่มเทให้กับแผนการของพวกเขาอย่างมาก พวกเขาคงไม่คิดหรอกว่าจะมีวันที่พวกเขาต้องออกไปจากเบย์มาร์ดด้วยเหตุผลเช่นนี้

พวกเขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ

“ในเมื่อพวกเราเสร็จธุระที่นี่แล้ว, ถ้างั้นก็ไปที่ชายหาดกันต่อเถอะ” แลนดอนพูด

ถ้าเปรียบภูมิภาคตอนกลางเป็นจุดกึ่งกลางของเข็มทิศ, การมุ่งหน้าไปทางตะวันออกจากภูมิภาคตอนกลางก็จะไปถึงภูมิภาคตอนบนของเบย์มาร์ด และทางตะวันตกก็จะไปถึงภูมิภาคตอนล่าง

ในทำนองเดียวกัน, การมุ่งหน้าไปทางเหนือจากภูมิภาคตอนกลางก็จะไปถึงทางเข้าออกของเบย์มาร์ด และในทางใต้ก็จะเป็นทางเข้าชายฝั่งทะเล

ในตอนที่พวกเขามาถึงชายฝั่ง, แลนดอนกับคนของเขาก็เห็นชาวบ้านจำนวนมากกำลังตกปลาอยู่, ในขณะที่มีบางส่วนกำลังแบกตะกล้าปลาเอาไว้บนศรีษะของพวกเขา

พวกเขาเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้าน, ให้ความช่วยเหลือพวกเขาและออกเดินทางไปตรวจสอบกำแพงเมืองและป่าที่บริเวณทางเข้าออกของเบย์มาร์ด

ในตอนที่พวกเขาออกมานอกเบย์มาร์ด, แลนดอนก็สังเกตดูกำแพงเมืองอย่างละเอียด เขาต้องยอมรับเลยว่ากำแพงเมืองของที่นี่ค่อนข้างทนทานและยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์

ในตอนที่มุ่งหน้าต่อไปยังป่าใกล้ๆ, พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนและเสียงดาบกำลังปะทะกับอะไรบางอย่าง

“ย้ากกก”

เกร๊ง...แกร๊ง...

มีหนุ่มน้อยคนนึงที่อายุน่าจะไม่เกิน 8 ปี, พยายามฆ่าหมูป่ายักษ์อยู่ หนุ่มน้อยคนนี้มีดวงตาที่เป็นประกายสดใสและมีผมสีแดงเข้ม

ในขณะที่หมูป่ากำลังจะจัดการเขา, หนุ่มน้อยคนนี้ก็หลับตาปี๋, ราวกับว่ากำลังยอมรับความตาย

แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ...เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย...

พอลืมตาออกมาดู, เขาก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นกลุ่มอัศวินและหมูป่าที่นอนตายอยู่บนพื้น

“ขอบคุณครับท่าน”

หนุ่มน้อยพูด

“เจ้าชื่ออะไร?”

แลนดอนถามด้วยรอยยิ้ม

ในตอนที่หนุ่มน้อยเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของแลนดอน, เขาก็รู้สึกได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นมิตร

“ข้าชือโมโม่ ไลย์ครับ...ว่าแต่พวกท่านเป็นใคร?” โมโม่ถามอย่างสงสัย

“ข้าชื่อแลนดอนเป็นราชาและลอร์ดคนใหม่ของเบย์มาร์ด”

พอได้ยินหนุ่มน้อยก็ทั้งตกใจและหวั่นเกรง

“ฝ่าบาท, ขออภัยด้วยครับที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้”

“ไม่เป็นหรอก, แต่เจ้านั่นแหล่ะที่น่าเป็นห่วงกว่านะ”

เด็กหนุ่มตกใจ

“นี่ฝ่าบาทเป็นห่วงคนอย่างข้าด้วยหรอ?...”

เขาคิด

“โมโม่, ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวหล่ะ? เจ้าไม่รู้หรอว่ามันอันตรายแค่ไหน?”

แลนดอนถาม

“ฝ่าบาท, ข้าอาศัยอยู่กับพี่สาวของข้าครับ...พ่อแม่ของเราตายไปในตอนที่ข้าอายุได้ 4 ขวบ พี่สาวบอกว่าพวกท่านตายเพราะความหนาว...และตอนนี้พี่สาวของข้าก็ล้มป่วยไปอีกคน ข้าได้ยินมาว่าถ้าอยากให้พี่อาการดีขึ้นก็ต้องให้กินเนื้อเยอะๆ, ดังนั้นข้าก็เลยออกมาล่าสัตว์ครับ”

แลนดอนกับพวกอัศวินรู้สึกเห็นใจในตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ แม้ว่าพวกเขาบางคนจะถูกรังแกในตอนที่อยู่ในเมืองหลวง, แต่ก็ไม่มีพวกเขาคนไหนที่เคยอดตายหรือเคยเห็นคนตายเพราะความหนาว

พวกเขาต่างก็สาบานกับตัวเองว่าพวกเขาจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องประชาชนที่นี่

อันที่จริงแลนดอนรู้สึกสงสารพี่น้องคู่นี้เป็นพิเศษ ในชีวิตก่อนนั้นเขาเป็นเด็กกำพร้า, ดังนั้นพอเห็นความพยายามของโมโม่, เขาจึงรู้สึกอยากให้ความช่วยเหลือ

“นับจากนี้ไป, ข้าจะรับพวกเจ้าเป็นพี่น้องบุญธรรมของข้าและข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องโมโม่ ข้าจะให้เจ้ากับพี่สาวคนใหม่ของข้าย้ายเข้ามาในปราสาทเดี๋ยวนี้เลย นับจากนี้ไป, ที่นั่นจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเจ้า” แลนดอนพูด

โมโม่แทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง...นี่เขาเป็นพระราชานะ ถึงแม้ว่าโมโม่จะมีอายุแค่ 8 ขวบ, แต่เขาก็รู้ได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะได้รับโอกาสแบบนี้ เขารู้สึกได้ว่าแลนดอนเป็นคนที่นิสัยดีมากๆคนนึง

แลนดอนแนะนำโมโม่ให้ลูเซียสกับพวกอัศวินคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนต่างก็เอ็นดูโมโม่, จนทำให้เขารู้สึกเขินขึ้นมา

“น้องโมโม่, ไปรับพี่สาวคนใหม่ของข้าที่บ้านเก่าของเจ้ากันเถอะ”

พวกเขาแบกหมู่ป่าและออกจากป่าไป

จากนั้นแลนดอน, โมโม่และเหล่าอัศวินก็มาถึงบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง พวกเขาได้ยินเสียงไอเบาๆดังมาจากข้างในบ้าน แลนดอนได้เข้าไปในบ้านหลังนั้นพร้อมกับโมโม่, จอร์ชและลูเซียส

“พี่ครับ, พี่ครับ ข้าเอาอาหารมาให้”

โม่โม่ตะโกนเรียกในขณะที่วิ่งเข้าไปในบ้าน ส่วนแลนดอนกับกลุ่มอัศวินนั้นได้รออยู่ที่บริเวณห้องนั่งเล่น

ในตอนที่โมโม่ก้าวเข้าไปในห้องนอน, เขาก็เห็นหญิงสาวที่อ่อนแอแต่งดงามมากๆกำลังนอนอยู่บนเตียงที่ทำจากฟาง เธอมีผมสีแดงเพลิง, และดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพร้อมกับโครงหน้าที่กระชับเข้ารูป

“พี่สาว, วันนี้มีพระราชามาหาพี่ด้วยครับ”

เกรซตกใจจนแทบจะตกเตียงในตอนที่ได้ยินสิ่งที่โมโม่พูด

“โมโม่, นี่เจ้าไปก่อเรื่องอะไรอีกเนี่ย? ทำไมจู่ๆพระราชาถึงอยากเจอข้าหล่ะ?” เกรซถามด้วยความสงสัย

จากนั้นโมโม่ก็เล่าเรื่องราวต่างๆให้เกรซฟัง

“ถ้าเป็นเช่นนั้นช่วยพาข้าไปขอบคุณฝ่าบาทหน่อยสิ” เธอพูดในขณะที่พยายามลุกขึ้น

“คือพี่ครับ, ฝ่าบาทบอกว่าถ้าพี่พร้อมเมื่อไหร่เขาจะเข้ามาเยี่ยมเองนะครับ”

เธอพยักหน้าเป็นการบอกให้พาเข้ามาแล้วโมโม่ก็รีบออกไป ไม่กี่วินาทีต่อมา, โมโม่, แลนดอน, ลูเซียสและจอร์ชก็เดินเข้ามา

“ขอบคุณที่ช่วยเหลือน้องชายของข้านะคะฝ่าบาท” เธอพูดในขณะที่ก้มศรีษะให้อย่างเต็มที่

พอได้เห็นหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขา แลนดอนก็มั่นใจเลยว่าเธอน่าจะอายุประมาณ 19 ปี อันที่จริงเธอดูเหมือนกับเวอร์ชั่นย่อยของ ‘เอลซ่า สการ์เล็ต’ จากแฟรี่เทลเลย

“ทำตัวตามสบายเธอ, เพราะจากนี้ไปเจ้าก็จะเป็นพี่สาวของข้าแล้วนะ” เขาพูดอย่างอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มบนหน้า

เกรซตกตะลึงกับคำพูดของเขา, หลังจากที่ตั้งสติได้ เธอก็เข้าใจได้ว่าสิ่งที่โมโม่พูดมานั้นเป็นความจริง

            เขาก็ดูน่ารักอยู่นะ, พอเห็นดวงตากลมโตของเขาแล้วชวนให้นึกถึงน้องกระต่ายขึ้นมาเลย

เธอคิด

“ข้าชื่อแลนดอน ส่วนนี่แม่ทัพลูเซียสแล้วนี่ก็พันเอกจอร์ช ขอข้าทราบชื่อพี่สาวคนใหม่ของข้าหน่อยได้ไหม?”

ในขณะที่จอร์ชมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า, เขาก็เกือบจะลืมหายใจ แม้ว่าเธอจะป่วยอยู่, แต่เธอก็น่ารักอย่างเหลือเชื่อ ผมสีแดงและใบหน้าที่กระชับได้รูปของเธอนั้นทำให้เธอดูเหมือนภูตเลย ยิ่งเขามองเธอนานเท่าไหร่, เขาก็ยิ่งหน้าแดงขึ้นเท่านั้น

ซึ่งอาการเดียวกันนี้ก็สามารถพูดได้กับเกรซ, เธอเองก็รู้สึกเขินในตอนที่สบตากับจอร์ช

เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เธอหน้าแดงมากจนใบหน้าขาวใสของเธอแดงเป็นลูกมะเขือเทศไปแล้ว

ซึ่งก็แน่นอนว่าลูเซียสกับแลนดอนสังเกตุเห็นเรื่องทั้งหมดนี้แล้วอดหัวเราะคิกคักอยู่ในใจไม่ได้

“ข้าชื่อเกรซ ไลย์ค่ะ”

“พี่เกรซ, ในเมื่อข้านับถือพี่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวแล้ว ข้าก็ไม่สามารถทนเห็นพี่กับโมโม่อาศัยอยู่ในที่แบบนี้ได้อีก เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองคน, ช่วยย้ายไปอยู่ที่วังกับข้าเถอะ”

แลนดอนขอร้อง

“ฝ่าบาทคะ...”

“เรียกข้าว่าแลนดอนเฉยๆเถอะ”

แลนดอนพูดด้วยรอยยิ้ม

“ก็ได้ค่ะ แลนดอน, ข้าจะยอมตามไปด้วย”

โมโม่ดีใจมากจนเขากระโดดขึ้นเตียงแล้วโผเข้ากอดพี่สาวของเขา

“พันเอกจอร์ช, ช่วยพี่เกรซเก็บของที่นี่นะ ส่วนข้า, แม่ทัพลูเซียส, แล้วก็น้องโมโม่จะไปเก็บของที่บริเวณห้องรับประทานอาหาร”

ไอ้เจ้าพวกนี้นี่, ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ..555 โชคดีนะที่ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัว...ไม่อย่างนั้นข้าเขินตายเลย

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด