ตอนที่แล้วตอนที่ 35 หว่านเมล็ด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 37 จักรวรรดิซีหลัวและจตุรเทพทั้งสี่

ตอนที่ 36 ประดาบ


เมื่อแรกเริ่ม ยังเป็นเพียงหน่อต้นอ่อนอันเยาว์วัย

เมื่อหยาดวารีเริ่มหลั่งริน เหล่าต้นอ่อนสีหยาดเงินก็ค่อยๆเติบใหญ่ขึ้น กิ่งก้านพันธุ์แผ่ขยาย ก้านดอกใบสีเงินรองเริ่มเผยโฉมต้องนภา...

เมื่อเวลาพัดผ่าน เหล่าบุปผาก็เริ่มลืมตาตื่น บุปผาทั้งหลาย ไม่สิ สตรีนางหนึ่งได้ยึดตัวของนางขึ้น พร้อมกับม่านบางๆที่เริ่มก่อตัวขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกลีบบุปผาดอกแล้วดอกเล่า

วัฎจักรการเติบโตของบุปผาอันยาวนานได้เสร็จสิ้นบริบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบในเวลาแสนสั้นเพียงไม่กี่วินาที แต่ช่างน่าเสียดายที่เหล่าบุปผาที่กำลังเบ่งบานนั้นมิใช่ดอกกุหลาบของจริงแต่อย่างใด แต่เป็นกุหลาบน้ำแข็งที่เกิดขึ้นจากฝีมือของสาวน้อยนางหนึ่ง

“เหมันต์สรรค์สร้าง โรสการ์เด้น”

เพียงสัมผัสเล็กๆ บนก้านกุหลาบ เหล่ากลีบดอกใบต่างก็ร่วงโรยล่องไปตามลม ภายใต้น้ำเสียงอันสงบเยือกเย็นนั้นได้แฝงไว้ด้วยจิตสังหารที่แทบจะเออล้น เบื้องหลังของอิลิซ่าในตอนนี้นั้นได้มีสวนกุหลาบสีเงินที่กำลังบานสะพรั่ง ซึ่งถ้าได้ลองย้อนเวลากลับไปชั่วครู่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ แผ่นดินผืนนี้ยังเป็นเพียงที่ดินรกร้างว่างเปล่าไร้ซึ่งสรรพชีวิตใดๆ

ดอกกุหลาบทั่วทุกดอกต่างงามหยดเยี่ยงงานศิลป์ชั้นเลิศ ลวดลายที่สลักไปทั่วทุกกิ่งก้านใบชวนหลอกตาให้เชื่อว่า เหล่าบุปผากำลังสั่นไหวหายใจ ราวกับว่าเหล่าบุปผาทั้งหลายต่างมีชีวิตเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อเหม่อมองไปที่ไอเย็นสีเงินที่กำลังแผ่อยู่ ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ดอกไม้ที่เห็นนี้เป็นสิ่งที่เกิดจากเวทมนต์

ด้วยสายลมที่พัดผ่าน... ไม่สิ สายลมยังสงบอยู่ เพียงแต่ว่า เหล่าดอกกุหลาบต่างรับเล่นบทละครว่าตนนั้นโดนพัดพาไปตามแรงลม กลีบดอกกุหลาบจำนวนนับไม่ถ้วนต่างล่องลอยไปทั่วอากาศ กลายเป็นมีดอันคมกริบที่ลอยล่องไปตามกระแสลม

“ศาสตร์จิตสังหาร: ร่วมเริงระบำคู่บุปผานวาระ”

ถึงแม้นี่จะแลดูเป็นภาพที่งดงามชวนสงบจิตสงบใจ แต่แท้จริงแล้ว นี่คือกับดักมรณะแสนอันตรายที่มีไว้พรากชีวิตผู้คน ตั้งแต่เริ่มแล้ว ที่แห่งนี้ไม่มีลมพัดผ่านเลย และเหล่ากลีบดอกกุหลาบที่กำลังล่องลอยอยู่นั้น แท้จริงแล้ว คือมีดน้ำแข็งที่ถูกควบคุมโดยจอมเวทย์

ถึงแม้กลีบดอกกุหลาบน้ำแข็งแต่ละกลีบจะแลดูอ่อนแอและเปราะบาง แต่กลีบดอกเหล่านี้เองก็คมกริบยากหาสิ่งใดเทียบ ขนาดเกราะเหล็กยังโดนตัดขาดมาแล้วเลย

ซึ่งใบมีดน้ำแข็งที่กำลังล่องลอยอยู่ทุกเล่มนั้นต่างมีเป้าหมายไปที่สิ่งๆเดียวกัน...นั้นคือ ไข่ยักษ์สีแดงเพลิง

กลีบบุปผาอันเย็นยะเยือกจำนวนนับไม่ถ้วนต่างพุ่งเข้าโจมตีไข่ยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้า แต่ในวินาทีที่เหล่ากลีบดอกไม้เข้าไปใกล้เปลือกของไข่ยักษ์ เหล่ากลีบทั้งหลายต่างก็ระเหยกลายเป็นไอไปในทันที

แต่ตัวอิลิซ่าก็ยังไม่ยอมถอดใจ ด้วยเสียงดีดนิ้วของนาง กุหลาบอีก 3 ดอกก็เบ่งบานขึ้นท่ามกลางอากาศ ก่อนที่ดอกไม้ทั้ง 3 จะรีบเร่งสูบมาน่าน้ำแข็งเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง จนลวดลายกิ่งก้านน้ำแข็งที่สลักบนกลีบดอกทั้งหลายเริ่มแผ่ขยายขึ้น... ดูท่าทางตัวอิลิซ่าจะรวบรวมพลังเวทย์เพื่อปล่อยท่าใหญ่แล้วสินะ

“ไอหย๊า ถึงขนาดบังคับให้แอนนี่ต้องใช้ครรภ์ลองฟินิกซ์เร็วถึงขนาดนี้ อิลิซ่าของทางเจ้าเนี่ยไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เมื่อเทียบกับแอนนี่ที่เยาว์วัยแล้ว อิลิซ่าเล่นจัดการนางซะอยู่หมัดเลยนะ ว่าแต่เจ้าเป็นคนสอนเวทมนต์นั้นให้กับนางเหรอ? เป็นเวทมนต์ที่งามมากเลยล่ะ ข้าคาดไม่ถึงเลยนะเนี่ย ว่าเจ้าเองจะมีเวทมนต์ที่สวยงามแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่ ถ้าข้าสัมผัสไม่ผิด จิตสังหารของอิลิซ่าเป็นของจริงใช่ไหม? คงไม่ใช่ว่านางคิดจะเชือดแอนนี่ทิ้งจริงๆหรอกนะ?”

ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ตาของเสี่ยวหงส์จะมองพลาด แต่ที่นางพูดออกมาแบบนี้ ก็เพื่อให้ข้าต้องอายเท่านั้นเอง

ข้าที่ส่ายศีรษะกลับไปแทนคำตอบ ข้าเข้าใจดีว่านางต้องการจะสื่ออะไร มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่เวทมนต์สายเหมันต์(น้ำแข็ง)ของข้าจะงดงามขนาดนั้น...

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เจ้าเองก็รู้นิว่า ความเข้าใจที่ข้ามีต่อเวทมนต์นั้นเรียบง่ายและป่าเถื่อนเพียงไร...”

“รวบรวมพลังเวทย์แล้วบึ้มมันซะ ถ้ามันยังไม่ตาย ก็รวบรวมพลังเวทย์ให้มากกว่าเดิม แล้วบึ้มมันไปอีกรอบ ถ้ามันยังไม่เดี้ยงอีก ก็บึ้มใส่เกราะป้องกันของมันต่อไปอีกสักสองสามรอบ แล้วค่อยจัดการรวบรวมพลังอัดเข้าจุดอ่อนมันไปเลยทีเดียว เอาความจริงเลยนะ คำอธิบายของเจ้าเมื่อครั้งนั้น เล่นเอาข้ากับมากาเร็ตไปไม่เป็นกันเลย ความเข้าใจที่มีต่อเวทมนต์ของเจ้านั้นหยุดอยู่ที่ขั้นว่าเวทมนต์นั้นคือปืนใหญ่เท่านั้นเอง แถมความเข้าใจเกี่ยวกับเวทมนต์ธาตุของเจ้าเองก็หยุดอยู่ที่ขั้นผิวเผินเท่านั้นเหมือนกัน แล้วยิ่งความสามารถในการควบคุมพลังธาตุของเจ้าที่อนาถาสิ้นดี แถมเจ้ายังไม่คิดจะสนใจเรื่องคุณสมบัติของพลังธาตุเลยสักนิด ข้าล่ะนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าไปทำอีท่าไหน ถึงได้กลายเป็นจอมเวทย์อันเดดชั้นกึ่งเทวะไปได้น่ะ?”

“ย่อมแน่อยู่แล้ว ก็ต้องอาศัยนิ้วทองคำ(ความโกง)จากระบบน่ะสิ ตราบใดที่ข้ามีพลัง(ระบบ)นี้อยู่ เรื่องระดับชั้นอะไรนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว!” ก็นะ ข้าคงไม่บ้าพอจะพูดออกไปแบบนั้นหรอก ถึงนั้นจะเป็นความจริงก็เถอะ

โดยปกติพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะโอนเอียงไปทางด้านฝั่งกฎระเบียบ และด้วยพรสวรรค์ที่มีต่อพลังแห่งกฎระเบียบ (แสงศักดิ์สิทธิ์ และกฎหมายถือเป็นพลังลูกของพลังแห่งกฎระเบียบ) อันเหนือชั้น รวมทั้งพรสวรรค์เชิงเพลงดาบก็ทำให้ข้ากลายเป็นเอสในหมู่อัศวินได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อครั้งที่ข้าหันไปเข้าหาเวทมนต์ความมืด ตัวข้ากลับทำความเข้าใจเวทมนต์ความมืดได้อย่างยากลำบาก แต่กับศาสตร์เนโครแมนเซอร์ที่เป็นพลังลูกของพลังแห่งความโกลาหลนั้นข้ากลับสามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้อย่างง่ายดาย นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์ที่มีต่อพลังแห่งความโกลาหลของข้าเองก็ไม่ได้แย่เช่นกัน ซึ่งนี่ถือเป็นกรณีที่หาได้อย่างยากยิ่ง

การควบคุมเวทมนต์ธาตุอย่างประณีตนั้นถือเป็นสิ่งที่ถูก แล้วการระเบิดพลังเวทย์ออกไปอย่างโง่ๆนั้นถือเป็นสิ่งที่ผิดอย่างงั้นเหรอ? เวทมนต์น่ะ ยิ่งเรียบง่ายและเถรตรงมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น เมื่อสมัยนั้น เมื่อครั้งที่ข้าคิดค้น ‘เหมันต์นิรันกาล’ เวทมนต์ที่ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นเวทมนต์ต้องห้ามที่ทรงแสนยานุภาพอย่างมากมายมหาศาลขึ้นนั้น ทฤษฎีรากเหง้าที่อยู่เบื้องหลังเวทมนต์บทนี้เองก็ยังคงเป็นระเบิดพลังเวทย์ใส่ศัตรูอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าปริมาณมาน่าที่ต้องใช้ในการร่ายเวทมนต์บทนี้นั้นถือว่ามากมายมหาศาลเท่านั้นเอง...

(TL: คำว่า เถรตรง ทางอิ้งจะใช้คำว่า Basic ซึ่งตามท้องเรื่องแล้วจะแปลได้ประมาณว่า ไม่สลับซับซ้อน ถ้าเวทมนต์ยิ่งไม่สลับซับซ้อนเท่าใด เวทมนต์นั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถ้าใครคิดคำที่ดีกว่า เถรตรง ออกก็แจ้งมาได้นะครับ)

ซึ่งถ้าว่ากันตามหลักเหตุและผลแล้ว เวทมนต์ธาตุที่เป็นเวทมนต์ที่มีต้นตอมาจากเทพอสูรธาตุนั้น ก็สมควรจะไปจัดอยู่เป็นเวทมนต์ของทางฝ่ายความโกลาหล แต่ด้วยสาเหตุที่ว่าเวทมนต์ธาตุนั้นมีพลังทำลายล้างอันเหลือล้น แถมเงื่อนไขในการเรียนรู้ก็แสนจะน้อยนิด ได้ทำให้ เวทมนต์ธาตุ กลายเป็นเวทมนต์สายหลักของทั้งสองฟากฝั่ง(ฝั่งกฎระเบียบและฝั่งความโกลาหล)ไป

“ฮึ่ม เป็นความเข้าใจที่มีต่อเวทมนต์ธาตุของทุกคนต่างหากล่ะที่ผิด... ก็ได้ๆ อย่ามองข้าอย่างงั้นสิ ข้ารู้ ข้ามันห่วยในด้านนี้ เจ้าเองก็เป็นถึงจ้าวแห่งวายุและเปลวเพลิง ยอดฝีมือผู้ใช้ไฟอันเลื่องลือ ก็อย่ารังแกนักเวทย์น้ำแข็งมือใหม่ผู้นี้อย่างงิ้สิ”

“ไม่หรอก เจ้าเองก็อย่าดูถูกตัวเองไปหน่อยเลย ถึงแม้ความสามารถด้านเวทมนต์ของเจ้าจะห่วยแตกสิ้นดี แต่ด้วยมาน่าอันบริสุทธิ์และความจุอันมหาศาลนั้น ก็ทำให้เจ้าผู้ไม่ได้เรื่องในด้านเวทมนต์ กลายตัวตนแสนน่ากลัวไปเลย เมื่อถึงยามปล่อยเวทมนต์ต้องห้ามน่ะ แต่ตัวลูกศิษย์ของเจ้ากลับเลือกเดินในเส้นทางที่ต่างจากเจ้าโดยสิ้นเชิง ความสามารถในการควบคุมเวทมนต์ของนางนั้นละเอียดซะจนนางสามารถสลักลวดลายลงไปบนใบไม้เล็กๆได้ ถึงแม้มีดกุหลาบพวกนี้จะดูสร้างสรรค์ดีก็เถอะ แต่ด้วยความงดงามและประณีตที่มากเกินไป ก็ทำให้มีดกลีบดอกไม้เหล่านี้อ่อนแอและเปราะบาง ดูท่านางจะสร้างดอกกุหลาบพวกนี้ออกมาดีเกินไปหน่อยนะ”

“ก็นะ ยังไงซะ อิลิซ่าก็เป็นปิศาจธาตุไฟ ถึงแม้นางจะเรียนเวทมนต์น้ำแข็งมาเกือบร้อยปีแล้วก็เถอะ แต่ปริมาณมาน่าน้ำแข็งที่นางเรียกใช้ได้นั้นก็ยังจำกัดอยู่ เจ้าเองก็รู้นิ ว่าเวทมนต์น้ำแข็งที่ข้าใช้เป็นนั้นมันมีแต่เวทมนต์บทใหญ่ทั้งนั้น ถึงเวทมนต์พวกนี้จะเรียนรู้ไม่ยาก แต่ปริมาณมาน่าที่ต้องใช้ในการร่ายก็มากมายมหาศาล เพราะแบบนี้ อิลิซ่าที่ไม่สามารถร่ายเวทมนต์ชั้นสูงหรือเวทมนต์ต้องห้ามได้ ก็เลยหันไปลงแรงลงเวลากับเวทมนต์เหมันต์สรรค์สร้างและเวทมนต์อื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเวทมนต์ที่ข้าไม่ถนัด แต่ดูแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดีไม่เลวเลยนิ”

เสี่ยวหงส์กับข้านั้นกำลังพูดคุยกันไป เฝ้าระวังกันไป เผื่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้น พวกเราจะได้เข้าไปหยุดทั้งคู่ได้อย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งสองคนต้องได้รับบาดเจ็บจากการประลองในครั้งนี้

แรกเริ่มเดิมที ที่แอนนี่ร่วมออกเดินทางมาด้วยในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะออกเก็บเกี่ยวประสบการณ์การต่อสู้จริงอยู่แล้ว เช่นนี้เมื่อครั้งที่นางได้ยินว่าอิลิซ่านั้นเป็นจอมเวทย์ระดับชั้นจุดสูงสุดของทองคำเช่นเดียวกับตน นางก็ไม่รอช้ารีบท้าอิลิซ่าประลอง ซึ่งภาพที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าข้าในตอนนี้ ก็เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ไม่ผิด

ถึงแม้ทั้งคู่จะอยู่ในระดับชั้นจุดสูงสุดของทองคำเหมือนๆกัน แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่าร้อยปี ก็สร้างข้อได้เปรียบให้กับอิลิซ่าอย่างเหลือล้น เพียงไม่นาน นางก็จัดการต้อนแอนนี่ให้ใช้ครรภ์ลองฟินิกซ์ได้แล้ว

“ป้อก” ด้วยเสียงดีดนิ้วของอิลิซ่า กุหลาบทั้งสามที่รวบรวมพลังเวทย์จนพอแล้ว ก็ระเบิดออกอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมกับปล่อยสะเก็ดน้ำแข็งคมดุจมีดที่กำลังหมุนควงสว่าน ให้ลอยพุ่งไปทางไข่ยักษ์

“อ๊าาาาาก!!!”

ซึ่งก่อนที่สะเก็ดน้ำแข็งจะพุ่งเข้าชนกับเปลือกไข่ เสียงร้องเล็กแหลมก็ดังขึ้น ก่อนที่ไข่เพลิงยักษ์จะปริแตกพร้อมกับเปลวเพลิงที่แผ่ออกไปทั่วทิศทาง ซึ่งในคณะเดียวกัน นกฟินิกซ์ขนาด 3 เมตรก็โผบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไป

“ครรภ์ลองฟินิกซ์จะค่อยซึมซับและสะสมพลังงานไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงจุดลิมิต ครรภ์ฟินิกซ์ก็จะระเบิดออกพร้อมกับปล่อยท่าฟินิกซ์จู่โจมออกมาด้วย เนี่ยแหละน๊า กลยุทธ์สุดหน้าไม่อายประจำตัวของเจ้าอดัม ด้วยร่างฟินิกซ์เพลิงแล้ว อุณหภูมิรอบตัวแอนนี่ก็สูงเสียจนละลายน้ำแข็งได้แทบทุกชนิด ธาตุที่ทั้งสองคนเลือกใช้มันได้เปรียบเสียเปรียบกันเกินไป ดูท่างานนี้จะเป็นทางอิลิซ่าลูกศิษย์ของเจ้านะที่จะแพ้น่ะ”

ข้าที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มให้นางพร้อมกับกล่าวว่า “นางไม่แพ้หรอก ทำไมพวกเราไม่ลองมาเดิมพันกันดูสักยกล่ะ ด้วยสมบัติที่พวกเรามีกันน่ะ อย่างเช่น เครื่องประดับอัญมณีสีชาดที่อยู่ในคลังสมบัติเจ้านั้นน่ะ”

เสี่ยวหงส์เองก็ยิ้มตอบเช่นกัน พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าไม่เดิมพันด้วยหรอก หลายปีดีดักที่พวกเรารู้จักกันมามีครั้งไหนบ้างไหมที่เจ้าแพ้เดิมพันน่ะ?”

เมื่อลองมานึกๆดูแล้ว ข้าก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่นางพูดมานั้นเป็นความจริง ข้าไม่เคยแพ้เดิมพันเลย... ถ้าไม่มั่นใจว่าชนะแน่ 100% ข้าก็ไม่ยอมเดิมพันด้วยหรอก และถึงแม้ข้าจะโดนบังคับฝืนใจให้ร่วมเดิมพัน ข้าก็จะงัดกลโกงสารพัดอย่างออกมาใช้ให้ตนชนะ แล้วถ้าเกิดข้าดันแพ้ขึ้นมาจริงๆ ข้าก็เบี้ยวไม่จ่ายอยู่ดี

เสี่ยวหงส์นั้นตัดสินใจที่จะไม่ร่วมเดิมพันด้วย แต่ภาพการประลองที่ดำเนินไปจนใกล้ถึงจุดตัดสิน ก็ทำให้มังกรสาวรู้สึกเสียดายกับการตัดสินใจเมื่อครู่ของตนอยู่นิดๆ

นกฟินิกซ์ที่ทะยานขึ้นฟ้าไปจุดสูงสุด ก็คำรามลั่นด้วยเสียงเล็กแหลม ก่อนที่จะถลาโฉบลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง ซึ่งในคณะเดียวกัน อิลิซ่าก็ยังคงโจมตีต่อไปอย่างไม่มีหยุดพัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านกฟินิกซ์ที่กำลังลุกไหม้แล้ว หอกน้ำแข็งที่บิดเป็นเกรียวสว่านและหมุดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนของสาวน้อยครึ่งปิศาจต่างก็ระเหยกลายเป็นไอก่อนที่จะสัมผัสตัวนกเพลิง

ถึงแม้ภัยอันตรายจะเดินทางมาถึงเบื้องหน้าแล้ว ตัวอิลิซ่าก็ยังสงบเยือกเย็นดั่งเดิม มือทั้งสองข้างของสาวใช้ครึ่งปิศาจกวัดแกว่งไปมา พร้อมกับไอน้ำจำนวนมากที่ควบแน่นกลายเป็นด้ายน้ำแข็งจำนวนมหาศาลที่รัดตรึงหยุดการเคลื่อนไหวของนกฟินิกซ์เอาไว้

“แค่นี้ หยุด แอนนี่ ไม่ได้หรอก!!”

สิ้นเสียงตะโกนของแอนนี่ ตัวนางก็ระเบิดพลังออกมา จนด้ายน้ำแข็งทั้งหลายต่างหลอมละลายไปเรื่อยๆเส้นแล้วเส้นเล่า ทางฝั่งอิลิซ่าเองก็เร่งมือสร้างด้ายน้ำแข็งขึ้นมาทดแทนเช่นกัน และแล้ววินาทีชี้ขาดผู้แพ้ผู้ชนะในการประลองของทั้งคู่ก็มาถึง น้ำแข็งกับเปลวเพลิงต่างผสมผสานกลมกลืน สาวน้อยทั้งสองต่างร่วมเริงระบำเข้าหากัน

และเมื่อครั้งที่อิลิซ่าถักทอตาข่ายน้ำแข็งของนางเสร็จสิ้น จนกักขังแอนนี่เอาไว้ภายในได้อย่างสำเร็จ เสียงคำรามของฟินิกซ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเปลวเพลิงที่พุ่งออกไปทั่วทุกทิศ ก่อนที่เปลวไฟทั้งหลายจะกลับมารวมตัวกันเป็นนกฟินิกซ์เพลิงที่เตรียมพร้อมจะบินพุ่งเข้าหาอิลิซ่าอีกครั้ง

“ครรภ์ที่สอง? หนูแอนนี่นี่เรียนรู้เร็วจริงๆ”

แต่ครานี้ หลังจากที่ตาข่ายน้ำแข็งระเหยกลายเป็นไอ อิลิซ่าก็ไม่เหลือกลเม็ดใดมาหยุดยั้งแอนนี่ได้อีก

เมื่อเวทมนต์ใช้หยุดอีกฝ่ายไม่ได้ แล้วต้องมาเผชิญกับแอนนี่ที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง อิลิซ่าก็ไม่เหลือหนทางให้ถอยอีก

“นักรบเข้าใกล้นักเวทย์ได้แบบนี้ อิลิซ่าเป็นฝ่ายแพ้แล้วล่ะ อ้ากกกก ให้ตายสิ ข้าว่าแล้ว ว่าข้าควรจะรับเดิมพันเจ้า ว่าแต่เมื่อกี้เจ้าแสร้งทำงั้นเหรอ ที่มั่นใจน่ะ?”

“ไม่หรอก ถ้าครั้งนี้ เจ้ารับเดิมพันข้าจริงๆล่ะก็ ข้ารับรองเลยว่า เป็นทางเจ้าต่างหากที่ต้องแพ้!”

เสี่ยวหงส์ที่กำลังจะอ้าปากถามอะไรบางอย่าง ก็ต้องหยุดลง เพราะภาพลำดับต่อไปที่นางได้เห็นนั้นทำให้นางต้องอึ้ง

เมื่อเห็นนกฟินิกซ์ที่พุ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อิลิซ่าที่ไม่ถอย กลับสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะอ้าแขนทั้งสองข้างของนาง เพื่อเตรียมพร้อมจะจับตัวแอนนี่

“ร่างแปลงฟินิกซ์เพลิงนั้นเป็นถึงพรดาบเทพเจ้าแห่งฟินิกซ์เลยนะ! นี่นางคิดจะหาเรื่องตายรึไง!” เสี่ยวหงส์ที่ตั้งใจจะเข้าไปหยุดการประลอง ก็ถูกข้ายั้งตัวเอาไว้ “อย่าดูถูกอิลิซ่าสิ”

“ซี้-----------!” เสียงที่คล้ายคลึงกับเสียงเนื้อสดโดนย่างบนกระทะได้ดังก้องขึ้น เห็นที มือทั้งสองข้างของอิลิซ่าคงโดนย่างจนสุกไปแล้ว แต่สาวน้อยครึ่งปิศาจนางนี้กลับทำตัวราวกับว่าไม่รู้สึกเจ็บใดๆ ก่อนที่นางจะเขวี้ยงไม้เท้าในมือทิ้ง แล้วทำการโก่งตัวไปทางด้านหลังจนหน้าอกของนางผายชัดขึ้น พร้อมกันนั้นอิลิซ่าก็ง้างหมัดขวาของนางไปทางด้านหลัง แล้วจัดการชกออกไป!

“ตัง!” หมัดนี้ของอิลิซ่าให้เสียงราวกับพลองเหล็กทุบระฆัง

ซึ่งในระหว่างที่ทุกสิ่งกำลังสั่นไหว ม่านพลังธาตุของนกฟินิกซ์ก็ค่อยๆสลายไป พร้อมกับสาวน้อยเรือนผมสีแดงที่กำลังมึนงงศีรษะส่ายไปส่ายมาปรากฏตัวออกมาจากภายใน...

ซึ่งเรื่องราวต่อจากนั้นก็เป็นเพียงเรื่องราวที่ฝ่ายหนึ่งกระทืบ แล้วอีกฝ่ายเป็นคนโดนกระทืบ

“ท่าล็อคแขน ท่าทุ่ม ท่าจับมือของศัตรูพร้อมกับล็อคขาอีกฝ่ายไว้ แล้วส่งหมัดฮุบเข้าเบ้าหน้า ท่าแผ่นเหล็กอัดกระแทก ท่ากระชากคอหอย ท่านรกหมุนวน... ท่าพวกนี้นี่มันวรยุทธ์แปลกๆของเจ้างั้นเหรอ?”

(TL note: อย่าถามว่าท่าพวกนี้เป็นยังไง เพราะไม่รู้จ้า แปลมาตรงๆเลย)

“เสียมารยาทน๊า กรุณาช่วยเรียกวิชานี้ว่า กระบวนท่าป้องกันตัวสำหรับจอมเวทย์ ด้วย นี่เป็นวรยุทธ์แสนล่ำค่าที่มาจากต่างโลกเลยนะ”

อืม แต่จะเรียกว่าท่ามวยปล้ำก็ไม่ผิดไปซะทีเดียว...

ณ ตอนนี้ แขนข้างนึงของแอนนี่นั้นโดนจับล็อคอยู่ในสภาพตัว十 จนสาวน้อยผมแดงทำได้แต่เอามืออีกข้างที่เหลือตบพื้นยอมแพ้ และแล้วการประลองครั้งนี้ก็รู้ผล ซึ่งผลที่ออกมาก็คือ ชัยชนะอันขาดลอยของอิลิซ่า

“เนี่ยน่ะเหรอ ครึ่งปิศาจ? ช่างเป็นพลังกายที่น่ากลัวนัก”

“ใช่แล้ว พลังกายของครึ่งปิศาจนั้นมากพอจะเอาไปเปรียบกับเหล่าครึ่งมังกรได้เลยล่ะ เจ้ายังไม่เคยเห็นนางตอนกวาดพื้น เพียงแค่กวาดเบาๆ นางยังส่งโซฟาให้ลอยไปทั้งหลังได้เลย แล้วจากนั้น นางก็แอบหยิบเงินเก็บที่ข้าแอบซุกไว้ไป แล้วถือว่านี่น่ะเป็นเงินค่าจ้างที่ข้าติดค้างนาง...”

ก็นะ ดูท่าข้าจะเผลอพูดเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควรออกไปอีกแล้ว แต่ว่านะ ณ ขณะนี้น่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะไปใส่ใจหรอก

“แล้วนี่นางยังไม่ได้แสดงความสามารถในการต่อสู้ระยะใกล้กับระยะกลางด้วยการปะปนด้ายโลหะเข้าไปในหมู่ด้ายน้ำแข็งของนางเลย แล้วอีกอย่าง นี่เจ้าลืมไปแล้วรึไง ว่าอิลิซ่าน่ะเป็นครึ่งปิศาจธาตุไฟนะ? เช่นนี้ ความสามารถในการต้านทานเปลวไฟของนางย่อมไม่ธรรมดา แถมด้วย เวทมนต์น้ำแข็งที่เป็นคู่ปรับกับเวทมนต์ไฟ แล้วยังความในการต่อสู้ระยะประชิดอันเหนือล้ำนั้นอีก เยี่ยงนี้ อิลิซ่าย่อมเป็นฝันร้ายของแอนนี่เลยล่ะ”

“นี่เจ้าแลดูจะดีใจเป็นพิเศษนะ?”

“ก็แน่สิที่ข้าจะดีใจ ลูกศิษย์ของข้าพึ่งล้มลูกศิษย์ของเจ้าอดัมไปได้เลยนะ ถึงแม้ตัวอิลิซ่าจะมีข้อได้เปรียบเหนือแอนนี่หลายๆอย่างก็เถอะ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความสามารถในการสอนลูกศิษย์ของข้าเหนือกว่าเจ้าอดัมหรอกเหรอ?”

“เฮอะ นางเป็นลูกศิษย์ร่วมระหว่างเจ้ากับมากาเร็ตต่างหาก”

และแล้วในที่สุด หลังจากที่เฝ้าดูการประลองมาตั้งแต่ต้นยันจบ ลิลลี่ก็มิอาจทนรอได้อีกต่อไป จนนางต้องเอ่ยปากขัดขึ้นมา

“คณะทูตจากมาดามลอร์สซี่ได้เฝ้ารอมากว่าสองวันแล้วนะค่ะ ข้าขอเสียมารยาท ถามท่านได้ไหมค่ะ ว่าท่านจะพอหาเวลาว่างไปพบกับนางได้เมื่อไหร่กันน่ะคะ?”

“ไม่ต้องรีบร้อนไป ดาร์ดเอลฟ์น่ะเป็นพวกน่าชังกันทั้งนั้น ถ้าเจ้าพูดกับพวกนางดีๆล่ะก็ ก็อย่าหวังเลยว่า พวกนางจะยอมฟังเจ้า ปล่อยให้นางรอไปอีกซัก 2 วันนั่นแหละ นางจะได้เข้าใจสถานภาพของตัวเองเสียที”

ถึงแม้จะได้ยินข้าว่าร้ายเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของพวกนาง แต่ตัวไดอาน่าและหยาเหวินที่ยืนอยู่ข้างลิลลี่ต่างกลับพยักหน้าเห็นด้วยกับคำข้าอย่างแข็งขัน

“ข้าได้ยินมาว่า ทูตครั้งนี้เป็นหัวหน้าตระกูลจากตระกูลชั้นกลาง ซึ่งดูทรงแล้ว นางคงไม่ยอมคุยกับพวกเราดีๆแน่ ในความเห็นของข้า ข้าว่าพวกเราควรจะปล่อยให้นางรอไปสักครึ่งเดือนเป็นอย่างน้อยถึงจะดี”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าต้องติดต่อสื่อสารกับชนชั้นสูงเผ่าดาร์ดเอลฟ์ ฉะนั้นข้าจึงค่อนข้างมีประสบการณ์ในการรับมือกับพวกนาง ซึ่งถ้าสตรีชนชั้นสูงนางนั้นเป็นนักบวชหญิงลอร์สซี่ล่ะก็ นี่จะยิ่งทำให้สตรีนางนั้นรับมือด้วยยากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ในสายตาของนักบวชหญิงลอร์สซี่และเหล่าหัวหน้าตระกูลเผ่าดาร์ดเอลฟ์ทั้งหลายแล้ว ผู้ชายบนโลกนี้น่ะ มีอยู่ 2 ประเภท ทาสที่มีเจ้าของแล้ว กับ ทาสป่าที่ยังไม่มีเจ้าของเป็นการชั่วคราว...

ข้าไม่จำเป็นแม้แต่จะต้องไปเห็นหน้าอีกฝ่าย ข้าก็ตรัสรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ในวินาทีที่ข้าพบกับทูตนางนี้นั้น นางจะเปิดฉากพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงที่ราวกับว่าตัวเองนั้นกำลังทำบุญทำทานให้กับข้าอยู่ น้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังอยากกระอักเลือดตายไปในทันทีที่ได้ฟัง

“เจ้าผู้ชาย ขอให้แสงสว่างส่องประกายเหนือศีรษะเจ้า (หนึ่งในคำสาปแช่งที่เราะร้ายที่สุดของดาร์ดเอลฟ์) ท่านเทพธิดาหญิงของพวกเรามีบัญชาลงมาให้เจ้า....”

โดยปกติแล้ว การสานสัมพันธ์กับเหล่าดาร์ดเอลฟ์นั้นถือเป็นการเจรจาฝ่ายเดียวที่ฝั่งดาร์ดเอลฟ์เป็นผู้ออกคำสั่ง ถ้าเจ้ายอมรับเรื่องก็จบ แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธก็เกิดสงคราม ด้วยวิธีการสานสัมพันธ์แบบแปลกประหลาดนี้เองที่ทำให้การเจรจากับเหล่าดาร์ดเอลฟ์นั้นมีสิทธิ์ที่จะล้มเหลวสูงมาก... แต่ว่านะ โดยปกติ พวกดาร์ดเอลฟ์ก็ไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ พวกนางเลือกที่จะสู้กันในสงครามเสียมากกว่า แล้วการที่เหล่าดาร์ดเอลฟ์เลือกที่จะสานสัมพันธ์ก็หมายความว่าพวกนางนั้นยอมรับในพลังของเจ้า ว่าอย่างน้อย สู้ไปก็ไม่คุ้ม

ข้าขอรับประกันเลยว่า พวกดาร์ดเอลฟ์น่ะกำลังคิดว่า นครภูผาหลิวฮวงกำลังติดหนี้พวกนางอยู่... ทำไมน่ะเหรอ? ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ 2 จ้าวแห่งโลกใต้พิภพบุกโจมตีนครภูผาหลิวฮวง แล้วฝ่ายดาร์ดเอลฟ์ไม่ร่วมประสมโรง เข้ามาแทงหลังนครภูผมหลิวฮวงนั้น ด้วยหลักจรรยาอันพิลึกพิลั่นของเหล่าดาร์ดเอลฟ์แล้ว แค่การไม่ก่อความวอดวายเพิ่มเติมให้ชาวบ้านชาวช่องเค้านั้น ก็ถือเป็นการกระทำอันประเสริฐที่มากด้วยเมตตาแล้ว

ซึ่งสถานการณ์ที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้นั้นก็เหมือนกับบททดสอบนั้นแหละ ถ้าเกิดท่านทูตผู้หยิ่งยโสได้รับการปฏิบัติเยี่ยงแขก VIP ล่ะก็นั้นย่อมหมายความว่า ทางเจ้ามีเรื่องจะข้อร้องพวกนาง เช่นนี้ พวกนางย่อมยื่นข้อเสนอขูดรีดขูดเนื้อกลับมาแน่

ฉะนั้น การจะเจรจากับเหล่าดาร์ดเอลฟ์นั้น เวลาและความอดทนถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ฝ่ายใดที่เข้าไปขอเจรจาก่อนย่อมถือเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ

แต่ว่านะ ถ้าพวกเราจะแข่งกันเรื่องความอดทนล่ะก็... เหเห ข้าขอบอกเลยว่าข้านั้นเป็นคนที่มีความอดสูงแบบสุดๆ ฉะนั้น คงจะเป็นการดีที่สุด ถ้าเรารอให้ทูตจากจ้าวแห่งโลกใต้พิภพคนสุดท้ายเดินทางมาถึงเสียก่อน พวกเราสามฝ่ายจะได้ร่วมเถียงกันอย่างสนุกสนานพร้อมหน้าพร้อมตากัน

ในตอนนั้นเอง จากอีกฟากฝั่งของสนาม กลุ่มอัศวินแห่งความยุติธรรมสาวชาวดาร์ดเอลฟ์ได้วิ่งผ่านมาทางนี้ พวกนางทุกคนนั้นต่างสวมเสื้อบางๆ แถมยังวิ่งกันมาเท้าเปล่า แค่นั้นยังไม่พอ พวกนางยังแบกเกราะหนักไว้ทางด้านหลัง พร้อมกับประสานเสียงร้องตะโกนบทพูดอันแสนน่าหวาดกลัวไปด้วย ขณะที่วิ่งผ่านพวกเราไป...

ว่าแต่พวกเจ้าคิดว่าฉากนี้มันคุ้นๆไหม? ก็นี่มันเป็นวิธีที่ข้าใช้ลงโทษไดอาน่ายังไงล่ะ

เมื่อได้เห็นสายตาคำถามของข้า ไดอาน่าก็ตอบกลับมาอย่างอายๆ

“ถึงบทลงโทษนี้จะหนัก แต่หลังจากที่ข้าได้วิ่งฝืนเกินขีดจำกัดของตัวเองไป ข้าก็รู้สึกว่าพลังของข้านั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อน การวิ่งเท้าเปล่าแบกของหนักเช่นนี้ถือเป็นการฝึกพลังใจที่ดีเยี่ยมเลยล่ะค่ะ แถมยังเป็นฝืนบังคับใช้ร่างกายให้ถึงขีดจำกัดอีกต่างหาก ฉะนั้น ข้าก็เลยลองเอาการฝึกนี้มาให้คนในหน่วยฝึกดูนะค่ะ แล้วจากนั้น สหาย 2 คนในหน่วยของข้าที่ติดแหง็กอยู่ที่ชั้นจุดสูงสุดของเงินก็ทะลุลิมิตขึ้นเป็นชั้นทองคำได้เลยค่ะ หลังจากลองการฝึกนี้ไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

ความรู้สึกขอบคุณนั้นสามารถเห็นได้ในดวงตาคู่งามของนาง แต่ตัวข้านั้นกลับไม่รู้สึกมีความสุขด้วยเลยสักนิด ในทางตรงข้าม ข้ากลับถามนางออกไปด้วยความหวาดหวั่น

“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ข้าหมายถึงบทพูด...”

“อ่อ นั้นน่ะเหรอค่ะ ‘หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง ฝึกให้หนัก สาม สี่ สาม สี่ จับเจ้าโรแลนด์ ห้า หก ห้า หก ตุ๋นซุปโรแลนด์ เจ็ด แปด เจ็ด แปด ปกป้องสินสอดของพวกเรา’ นี่เป็นบทประสานเสียงที่ยัยโมโมะคิดขึ้นน่ะค่ะ เพื่อจะได้เตือนสติพวกเราให้ไม่ลืมถึงเป้าหมายที่พวกเรามีกันน่ะค่ะ”

“ถึงท่อนอื่นจะโอเคดีก็เถอะ แต่ตรงท่อนสินสอดนี่มัน? นี่พวกเจ้าทุกคนอยากรีบแต่งงานกันขนาดนั้นเลย? ถ้าเช่นนั้น ทำไมพวกเจ้าทุกคนถึงได้ตอบปฏิเสธเหล่าอัศวินในนครที่เข้ามาจีบพวกเจ้ากันล่ะ?”

“โอ้ ดูเหมือนท่านจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะค่ะ คำว่า สินสอด เป็นศัพท์แสลงที่พวกเราพูดกันจนติดปากน่ะค่ะ ท่านเองก็รู้สินะค่ะ ว่าพวกเราชาวดาร์ดเอลฟ์น่ะมีมุมมองความคิดเรื่องการแต่งงานที่ผิดแปลกกว่าเผ่าพันธุ์อื่นเค้า ถึงพวกเราจะหาคู่ครองแต่งงานด้วยเหมือนกัน เช่นนี้ท่านคงสงสัยล่ะสิ ว่านี่มันแตกต่างกับการแต่งงานกับผู้ชายตามปกติตรงไหนกัน? แต่ว่านะค่ะ สำหรับพวกเราแล้ว คำแสลง ‘สินสอด’ นั้นหมายถึง ‘การแต่งงานกับเงินของผู้ชาย’ น่ะค่ะ ก็คงเหมือนกับคำที่ว่า รักเมียเพราะเงิน นั้นแหละค่ะ”

พูดไม่ออก บอกตรงๆ ข้าพูดไม่ออกเลย

“ข้าเป็นคนที่เคารพในวัฒนธรรมของทุกเผ่าพันธุ์ ฉะนั้น ข้าจะยอมรับในวัฒนธรรมของพวกเจ้าเช่นกัน แต่ว่า ตรงโรแลนด์นี่มัน...”

ยังไม่ทันที่ข้าจะพูดจบ ใบหน้าของหัวหน้าและรองหัวหน้าหน่วยชาวดาร์ดเอลฟ์ทั้งสอง ก็แข็งทื่อไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ เย็นเชียบจนน้ำแข็งเกาะ...

“กว่าสองครั้ง สองคราว บ้านของพวกเรา เงินเก็บของพวกเรา ทรัพย์สมบัติที่พวกเราต้องลำบากลำบนแทบตายกว่าจะเก็บสะสมมาได้ ท่าน มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ที่ข้าจะไม่ยอม ข้าต้องเอาคืนให้พี่น้องข้า!!”

ก็ได้ ไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ความผิดนี้ข้าจะเป็นคนแบกรับไว้เอง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด