ตอนที่แล้วตอนที่ 33 ความจริงกับครึ่งปิศาจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 35 หว่านเมล็ด

ตอนที่ 34 ตัดสินความ


ด้วยฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ทรงอำนาจที่สุดในระบบกฎหมาย ศาลสูงสุดจึงมักปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัดอันน่ายำเกรงและบรรยากาศแสนตรึงเครียด ดุจคำสอนที่สลักอยู่บนฝาผนังของชั้นศาลว่า ‘จงแต่งตัวให้เหมาะสม แล้วยึดถือและปฏิบัติตามหลักแห่งกฎหมายอย่างเคร่งครัด จงพูดให้น้อย แล้วทำงานกันอย่างระมัดระวัง’ ซึ่งความหมายของคำสอนนี้ก็คือ ให้เหล่าผู้ที่ทำงานในระบบกฎหมายทำงานด้วยความจริงจังเอาใจใส่ ใช้ภาษาคำพูดที่กระชับได้ใจความเพื่อจะได้ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าบุคลากรในระบบกฎหมายจึงได้เป็นที่ชื่นชมนับหน้าถือตากันของเหล่าประชาชนทั้งหลาย แต่สถานการณ์ของศาลสูงสุดในวันนี้นั้นได้แตกต่างไปจากทุกทีเล็กน้อย

โถงทางเดินที่แต่ก่อนเคยเงียบสงัดได้ถูกเติมเต็มไปด้วยเสียงต่อร้องต่อเถียงกันของผู้คนมากมาย เหล่า ‘นักโทษ’ ผู้ถูกตรวนโซ่จำนวนมากต่างเฝ้ารอให้การพิพากษาความผิดของพวกตนเริ่มต้นขึ้น และที่น่าแปลกกว่านั้น บริเวณสนามด้านนอกของชั้นศาลที่เคยว่างเปล่าเองก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนแล้วเหมือนกันในตอนนี้

ที่ตรงบริเวณมุมหนึ่งของสนามนอกชั้นศาล ได้มีอดีตหุ่นยนต์ก็อบลินยักษ์ที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นเพียงอนุสรณ์กองซากเหล็ก ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกล่ะก็ ตอนนี้บริเวณกว่าครึ่งของสนามนอกชั้นศาลนั้นได้ถูกปกคลุมไปด้วยกองเศษเหล็กจากหุ่นยักษ์ตนนี้ ถ้าจะเรียกสนามนอกชั้นศาลในตอนนี้ว่า สุสานเศษเหล็กหรือที่ทิ้งเศษเหล็ก ก็คงจะไม่ผิดไปเสียทีเดียว

ทั้งนี้ตรงบริเวณข้างๆซากหุ่นยักษ์ได้มีกลุ่มก็อบลินและคนแคระล้อมกรอบ ร่ำไห้หลั่งน้ำตาอยู่เป็นจำนวนมาก ขนาดที่มีก็อบลินบางตนเริ่มโยกย้ายส่ายเอวเต้นระบำที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ(หรือที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ระบำหน้าท้องชาวเกาะอันเลื่องชื่อ) ปฏิบัติต่อหุ่นยนต์ยักษ์ตนนี้เยี่ยงหนึ่งในครอบครัวของพวกตน ที่ต้องเต้นเพื่อส่งวิญญาณของอีกฝ่ายให้ไปสู่สุคติ

ซึ่งตรงบริเวณรอบนอกของสนามนอกชั้นศาล ได้มีเหล่าชาวเมืองที่ต้องรับเคราะห์โดนลูกหลงจากเรื่องในครั้งนี้ยืนอออยู่เป็นจำนวนมาก และ ณ ขณะนี้เหล่าประชาชนทั้งหลายก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์สุนทรีที่จะปลื้มปิติไปกับ ‘ระบำหน้าท้องอันแสนเร้าร้อน’ นี้แต่อย่างใด และด้วยขนบธรรมเนียมที่สืบต่อกันมาอย่างช้านานในนครภูผาหลิวฮวง ทำให้เหล่าชาวเมืองทั้งหลายต่างเลือกใช้มะเขือเทศและไข่เน่ามาเป็นของสัมมนาคุณต้อนรับเหล่าวิศวกรตัวป่วนทั้งหลาย ซึ่งแน่นอนว่า ตรงบริเวณด้านข้างของกลุ่มประชาชนที่เกรี้ยวกราดนั้น ได้มีเหล่าพ่อค้าแม่ค้าก็อบลินหัวใสเปิดกิจการร้านค้าจัดจำหน่าย ‘เครื่องกระสุน’ ให้กับเหล่าประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้เหล่าเจ้าหน้าที่ของศาลสูงสุดต่างมีงานติดพันล้นมือ จนมิอาจจะเจียดเวลามาจัดการเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นรอบชั้นศาลได้

แล้วด้วยการที่ห้องกักกันและสำนักงานใหญ่ของหน่วยรักษาความสงบต่างถูกทำลายจนไม่เหลือซากไปทั้งคู่ ทำให้ ณ ตอนนี้นครภูผาหลิวฮวงไม่เหลือสถานที่ที่จะเอาเหล่าผู้ต้องสงสัยจากคดีความต่างๆไปฝากขังได้เหลืออยู่อีกแล้ว ถ้าเป็นเมื่อแต่ก่อนที่เรือนจำประจำนครภูผาหลิวฮวงยังอยู่ในสภาพปกติสุขล่ะก็ ทางฝ่ายกฎหมายก็ยังคงสามารถโยกย้ายผู้ต้องสงสัยทั้งหลายไปฝากขังชั่วคราวเอาไว้ที่เรือนจำได้ แต่ด้วยควันหลงจากเหตุการณ์ปล้นคุกที่พึ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้นักโทษสถานเบาบางส่วนในเรือนจำโดนย้ายไปขังที่ห้องกักกันแทน แล้วพอมาเกิดเรื่องในครั้งนี้ขึ้นอีก เหล่าผู้ต้องสงสัยและเหล่านักโทษต่างก็ต้องโดนโยกย้ายออกไปขังที่อื่นแทน ซึ่งสถานที่ที่พอจะรับหน้าที่เป็นเรือนจำชั่วคราวได้ ก็เหลือแต่เพียงที่ศาลสูงสุดที่เดียวเท่านั้น

และถึงแม้ทาง 4 สำนักแห่งศาลสูงสุดจะส่’กำลังเจ้าหน้าที่ออกมาเคลื่อนไหวกันหมดแล้วก็ตาม แต่กำลังพลก็ยังคงขาดแคลนอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

เสียงร้องตะโกน เสียงร่ำไห้ เสียงผู้คนโดนไล่ล่า เสียงคนถูกรุมกระทืบ รวมถึงเสียงร้องขอชีวิตที่ดังระงมไปทั่วได้แปรเปลี่ยนให้ชั้นศาลแห่งความยุติธรรมที่เงียบสงบและเคร่งขรึมแห่งนี้เป็นตลาดสดที่เต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ชวนหนวกหู

และ ณ ขณะนี้ ตัวข้าที่กำลังมุ่ยหน้าอยู่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำเป็นไม่สนใจเรื่องวุ่นวายชวนปวดประสาทที่เกิดขึ้นด้านนอกนั้น แต่ในท้ายที่สุดตัวข้าที่มิอาจทานทนต่อความอึกทึกครึกโครมที่เกินขึ้นภายนอกได้ ก็ได้แต่สั่งให้เหล่าเจ้าหน้าที่ไปปิดประตูและหน้าต่างทั่วชั้นศาลให้สนิทซะ พร้อมทั้งปิดม่านให้เรียบร้อยด้วย เพื่อจะได้ดึงให้บรรยากาศอันเงียบสงัดกลับมาสู่การว่าความในครั้งนี้อีกครั้ง

ใช่แล้ว ว่าความ

แผนการหลบหนีไปในยามค่ำคืนของข้านั้น ไม่สิ ข้าหมายถึงแผนการออกเดินทางอย่างกะทันหันของข้านั้นถูกอิลิซ่าตอบปฏิเสธกลับมาอย่างไร้เยื้อใยไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเอ่ยปากออกไปแล้ว

นครภูผาหลิวฮวงนั้นยังคงอยู่ต่อไปได้ แม้จะไร้ซึ่งลิชโรแลนด์ก็ตาม แต่ถ้าเกิดบุรุษผู้เป็นดั่งผู้นำคนที่ 4 แห่งนครภูผาหลิวฮวง องค์ราชันย์ผู้อยู่หลังม่าน ตุลาการสูงสุด วูเมี้ยนเจ้อ หายตัวไปอย่างกะทันหันล่ะก็ ข้าเกรงว่าผลกระทบที่ตามมาจะร้ายแรงเสียยิ่งกว่าแผ่นดินไหวเสียอีก

และที่สำคัญกว่านั้น เหล่าสมาชิกผู้ที่จะร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ต่างยังไม่ได้เตรียมตัวกันเลยสักนิด แม้แต่เอกสารทางการทูตก็ยังเตรียมกันไม่เสร็จเลย ถ้าข้าดื้อรั้นจะไปจริงๆล่ะก็ ข้าว่างานนี้ ข้าได้ฉายเดียวแน่นอน

แต่ถ้าข้ายังคิดจะอยู่ที่นครแห่งนี้ในฐานะลิชโรแลนด์ต่อไปล่ะก็ ข้าคงต้องเตรียมตัวเตรียมใจรอนับเลยล่ะว่าในวันพรุ่งนี้กระดูกบนตัวข้าจะเหลืออยู่สักกี่ชิ้น เพราะไงซะเหล่าหน่วยรักษาความสงบที่บ้านของพวกตนโดนถล่มไปแบบไม่เหลือซากคงไม่ใจเย็นพอจะมานั่งฟังคำอธิบายของข้าหรอก เอาความจริงเลยนะ ถ้าข้าโดนแค่กระทืบแล้วจับไปตุ๋นกินล่ะก็ ข้ายังจะถือว่าพวกนางใจดีเสียด้วยซ้ำไป

ถึงตัวข้าจะเคยทำความผิดมามากมายระดับที่ข้าจะไม่ปริปากบ่นอะไรเลย ถ้าเหยื่อผู้รับเคราะห์ทั้งหลายของข้ามาเอากระดูกของข้าไปตุ๋นกิน แต่เรื่องในครั้งนี้ข้าบริสุทธิ์จริงๆ ข้าก็แค่เผลอพูดอะไรพล่อยๆ เพราะอยากเห็นระเบิดกับดอกไม้ไฟนิดหน่อยเอง ใครจะไปคิดล่ะว่าเจ้าพวกบ้านั้นจะสร้างของเล่นแบบนั้นขึ้นมาน่ะ... ให้คิดถึงภาพคนยักษ์เหล็กขนาด 20 เมตร ร่างกายข้าก็สั่นไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว

“จะบอกว่านี่เป็นไททันโลหะแบบง่ายๆงั้นเหรอ? เครื่องจักรสังหารที่พอจะกำราบยอดฝีมือชั้นตำนานได้เนี่ยนะ? ดูท่าเจ้าพวกบ้านั้นจะเผลอสร้างของที่สุดยอดขึ้นมาเสียแล้วสิ”

ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยความที่โรแลนด์หมายเลข 2 นั้นแข็งแกร่ง ก็ทำให้การกำราบหุ่นยักษ์ตนนี้ต้องแลกมาด้วยความเสียหายที่เกิดกับนครอันมากล้น ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้ความผิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องครั้งนี้ โรแลนด์ หนักยิ่งขึ้นไปอีก

ฉะนั้น สิ่งที่ข้าพอจะทำได้ก็เหลือเพียงจัดฉากให้หน่วยรักษาความสงบเห็นภาพที่ ‘ลิชโรแลนด์’ ขี่มังกรกระดูกบินหลบหนีออกจากนครภูผาหลิวฮวงไป...เอาล่ะ และจนกว่าข้าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ที่มีได้ ลิชโรแลนด์ก็จะไม่หวนกลับมาที่นครแห่งนี้อีก

และทันทีที่ข้ากลับมาจากการจัดฉาก ข้าก็ต้องมาเผชิญเข้ากับปัญหาอย่างจัง ซึ่งปัญหานี้ก็ได้มาอยู่ต่อหน้าข้าแล้วในตอนนี้... ปัญหาคดีความที่เกินกว่าความสามารถของผู้พิพากษาคนใด ฉะนั้นในท้ายที่สุดข้าก็ต้องเป็นคนเสนอหน้ารับคดีนี้ไปจัดการเอง

ข้าที่นั่งอยู่ที่นั่งผู้พิพากษาในชั้นศาลที่ 3 ก็ชำเลืองตามองไปที่กองรายงานเกี่ยวกับคดีความในครั้งนี้ที่สุ่มกันเป็นภูเขาลูกหย่อมๆ ก่อนที่ข้าจะหันเหสายตาไปมองเหล่าจำเลยที่มีสีหน้า ‘เค้าบริสุทธิ์นะ’ ประดับอยู่เต็มใบหน้า ซึ่งทางฝั่งที่นั่งโจทก์เอง ก็มีเหล่าหน่วยรักษาความสงบที่หัวร้อนคำรามคำด่าทอออกมาสารพัด ‘ไอ้ตัวบัดซบโรแลนด์’ ‘คอยดูเถอะ สักวันข้าจะจับเจ้าไปป้อนให้สุนัขกิน’ ‘ท่านวูเมี้ยนเจ้อ โปรดมอบอำนาจให้พวกเราได้ชักดาบออกมาลงทัณฑ์ไอ้ตัวบัดซบนั้นด้วยเถอะ ข้าจะหั่นไอ้สวะนั้นเป็น 13 ท่อน แล้วพาตัวมันกลับมามอบให้ท่านเอง’ ‘โมโมะไม่สนใจหรอกนะว่าไอ้บัดซบนั้นจะทำข้อตกลงอะไรไว้กับฝ่ายกฎหมาย แต่ได้โปรดอนุญาตให้โมโมะได้นำกองกำลังเจ้าหน้าที่ไปรื้อค้นบ้านไอ้ตัวบัดซบนั้นทีเถอะ ที่นั้นต้องมีของผิดกฎหมายสุมอยู่เป็นกะตั๊กแน่นอน และหลังจากที่ไอ้บัดซบนั้นโดนจับส่งเข้าคุก โมโมะจะเป็นคนมอบความดูแลชั้นหนึ่งให้กับแกเอง ฮาฮาฮาฮา!!’ ตัวข้าที่ได้ฟังถึงเสียงหัวเราะอันคลุ้มคลั่งของเหล่าดาร์ดเอลฟ์ไร้บ้านอยู่ ก็ชักจะรู้สึกปวดหัวจิ๊ดๆ ขึ้นมาแล้วสิ

ซึ่งทางฝั่งหนึ่งของชั้นศาล อัยการคาตาริน่าก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านคำร้องเรียนของเหล่าประชาชนรวมถึงหลักฐานในคดีที่มีอยู่นับไม่หว่านไม่ไหว...

“ณ เวลา 16 นาฬิกา 20 นาที จู่ๆก็มีควันไฟลอยขึ้นจากบริเวณห้องกักกัน ซึ่งเหล่าวิศวกรที่อยู่ด้านนอกห้องกักกันต่างก็ฉวยโอกาสความชุลมุนที่เกิดขึ้นนี้เข้าไปสมทบกับเพื่อนวิศวกรที่เหลือในห้องกักกัน ทั้งนี้กลุ่มวิศวกรทั้งสองต่างมีเครื่องมือช่างอยู่ครบมือตั้งแต่ต้นจนจบ...

“ขอค้าน! ในเมื่อมีควันไฟปกคลุมอยู่ทั่วอาณาบริเวณ เช่นนี้ เจ้าจะมีหลักฐานอันใดมายืนยันว่าลูกความของข้าต่างมีเครื่องมือช่างอยู่ครบมือกันน่ะ!! บางที ลูกความข้าอาจจะแค่จุดไฟขึ้นเพื่อทำอาหารกินกันก็ได้”

อัยการก็อบลินลอเรนได้พูดขัดเพื่อนร่วมอาชีพของตน พร้อมกับเสนอความคิดที่แสนจะน่าขันออกมา

“ใช่แล้ว พวกเราก็แค่จะย่างมันหวาน/รมควันปลากันเท่านั้นเอง” ทางเหล่าจำเลยเองก็เริ่มโวยวายพูดจาไร้สาระออกมาเช่นกัน เรื่องกวนบาทาชาวบ้านนี่เก่งกันจังนะ เจ้าพวกก็อบลินกับคนแคระเนี่ย

“จะมีก็แต่ปลากินคนเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำรอบนครภูผาหลิวฮวงน่ะ เยี่ยงนี้พวกเจ้าจะหาปลาที่ไหนมาย่างกัน!!! แล้วยิ่งฝีมือการจับปลาอันน่าอเนจอนาถของพวกเจ้าอีก ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตพวกเจ้าก็ยังจับปลาไม่ได้เสียด้วยซ้ำ” คาตาริน่าที่ได้ยินคำจากอีกฝ่ายก็คำรามลั่นด้วยโทสะ ก็นะ สมแล้วที่นางเป็นพรานหญิงจากเผ่าอเมซอน ทรงผมหางม้าที่ปลิวไสวเมื่อต้องลมของนางรวมทั้งออร่าอันคมกริบดุจมีดที่แผ่ออกมาจากตัวนางนั้น ทำให้นางเหมือนกับเทพธิดาสงครามที่กำลังออกล่าเหยื่อไม่มีผิด แต่ดูท่านางจะสะกิดใจ ผิดเรื่องไปนิดนะ...

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ตราบใดที่ใช้วิธีที่ถูกต้องล่ะก็แม้แต่ปลากินคนเองก็ยังถูกจับได้เช่นกัน พวกเรานั้นมีเบ็ดตกปลาปาร์กเกอร์อัน...”

ในที่สุดข้าก็เข้าใจเสียทีว่าทำไมก็อบลินลอเรนที่มีความสามารถในการว่าความอันเหนือชั้น ถึงตัดสินใจลงมาว่าความช่วยเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของตน เจ้าหมอนี่ตั้งใจจะมาป่วนการว่าความครั้งนี้ชัดๆ ด้วยความที่เจ้าหมอนี่เจนสนามในเรื่องการว่าความ แถมยังรู้ดีอีกต่างหากว่าอัยการคาตารีน่านั้นเป็นคนตรงๆ ง่ายต่อการชักจูงให้หลงไปสู่ทางตัน พอเรื่องเป็นเช่นนั้น เจ้าก็อบลินนี่ก็จะเปลี่ยนให้การว่าความครั้งนี้กลายเป็นฉากตลกอันน่าขบขัน จนมิอาจจะหาบทสรุปของคดีความได้ในที่สุด...

ถ้าเป็นเมื่อแต่ก่อน ข้าคงยอมปล่อยให้การว่าความกลายสภาพเป็นฉากตลกชวนหัวให้ชาวบ้านดูคนเถียงกันแล้วก็ปล่อยให้มันจบไปทั้งๆอย่างนั้นอยู่หรอก แต่ ณ สถานการณ์ตอนนี้ ด้วยเหตุผลอันแสนจะจำเพาะเจาะจง ข้าคงยอมปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด!

“ข้าจะยอมปล่อยให้เรื่องในครั้งนี้จบลงไปทั้งๆแบบนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าเกิดเจ้าพวกก็อบลินถูกตัดสินว่าบริสุทธิ์จริงล่ะก็ ลิชโรแลนด์ก็ต้องเป็นคนรับผิดไปเต็มๆ น่ะสิ”

ตัวข้าที่หันไปเห็นเหล่าคุณเอลฟ์ทั้งหลายจากหน่วยรักษาความสงบที่หัวร้อนกันจนแทบจะแทะโต๊ะกันอยู่แล้ว ก็ตัดสินใจให้ผู้กระทำผิดต้องรับผิดชอบในเรื่องที่ก่อ... ข้าขอให้โต๊ะเหล็กที่โดนกัดกระจุยเป็นพยานเลยว่า กระดูกของข้าไม่แข็งเท่าโต๊ะเหล็กหรอก

“ลอเรน จินบี ข้าขอถามเจ้าสักหน่อยว่าเมื่อเวลา 16 นาฬิกา 20 นาทีของเมื่อวาน เจ้าไปอยู่ ณ แห่งหนใดกัน? ไม่ต้องลำบากคิดคำโกหกออกมาล่ะ เจ้าเองก็รู้นิว่า ถ้าโกหกในชั้นศาลของข้าแล้วเรื่องมันจะเป็นเช่นไร”

ดั่งคาด ในวินาทีที่ข้าเอ่ยคำถามนี้ออกไป ทนายความชั่วคราวฝั่งจำเลยผู้กำลังเปิดปากเถียงอย่างเร้าร้อนก็กลายสภาพเป็นคนพูดไม่ออกไปในทันทีทันใด

ข้าที่เอามือกุมขมับของตนด้วยความอ่อนล้า ราวกับกำลังแสดงภาพว่าเรื่องในครั้งนี้ ข้าเองก็จนใจเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายใต้หน้ากากของข้าได้มีรอยยิ้มอันแสนเจิดจ้าเบ่งบานอยู่

“หึ ข้ารู้น่ะว่า ตัวสร้างเรื่องเยี่ยงเจ้าย่อมไม่ยอมสงบเสงี่ยมนอนอยู่บ้านเฉยๆแน่ เอาล่ะ ถึงคราวที่เจ้าต้องรับเผือกร้อนแทนข้าแล้ว”

“ลอเรน จินบี ตัวเจ้าที่เป็นถึงส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายกลับฝ่าฝืนกฎหมายเสียเองเช่นนี้ เจ้าช่างนำความเสื่อมเสียมาสู่ศาลสูงสุดยิ่งนัก ในตอนนี้ เจ้าจงสงบปากสงบคำ ทำตัวว่าง่ายไปนั่งตรงที่นั่งฝั่งจำเลยซะ และก่อนอื่นเลย เจ้าจงหันไปขอขมาเหล่าสุภาพสตรีชาวดาร์ดเอลฟ์ที่อยู่ทางด้านนี้ซะ เจ้าลองดูความเดือดร้อนที่ตัวเจ้าสร้างให้กับพวกนางสิ”

เมื่อได้ยินคำของข้า ลอเรนก็จัดการปลดหน้ากากของตนลง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนว่าตนนั้นได้ปลดตนเองออกจากการเป็นสมาชิกของระบบกฎหมายแล้ว หลังจากหันไปก้มหัวขอโทษเหล่าดาร์ดเอลฟ์ ลอเรนก็ยอมไปนั่งร่วมกับเหล่าสหายของตนตรงที่นั่งฝั่งจำเลยอย่างว่าง่ายราวกับเด็กเล็กๆคนหนึ่ง

“จริงสิ ใครก็ได้ ช่วยไปตามซูไซด์สตรอมมาให้ข้าที ข้าขอฟันธงเลยว่าเจ้าหมอนี่ต้องมีเอี่ยวในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ถ้าไม่ล่ะก็ข้ายอมคุกเข่าขอขมาเลย อะไรนะเจ้าไม่รู้จักคนชื่อนี้งั้นเหรอ? ซูไซด์สตรอมจากสำนักนิติบัญญัติไง คนที่ตัวเตี้ยๆ...”

“เมจิคสตรอมต่างหากโว้ย!!” น้ำเสียงแหลมเล็กคล้ายเด็กอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเหล่าคนแคระได้ดังก้องขึ้นจากที่นั่งฝั่งสักขีพยาน พร้อมกับตัวมิฮีเออร์ เมจิคสตรอมที่กระโดดข้ามแผงกั้นลงมา ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินจ้ำอ้าวมาที่ที่นั่งของเหล่าจำเลยด้วยตัวเอง

ข้าที่เห็นภาพเช่นนี้ก็แอบชื่นชมในความกล้าหาญของชายผู้นี้อยู่ลึกๆ แต่หลังจากที่เดินมาได้ครึ่งทาง คนแคระนายนี้หันหลังกลับไปพูดอะไรบางอย่าง

“ในเมื่อพวกเราทำผิดจริง พวกเราก็สมควรถูกลงโทษ เช่นนี้พวกเจ้าทุกคนจะมัวรีรออะไรอยู่กัน”

หลังสิ้นคำของคนแคระนายนี้... ก็มีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งเดินลงมาจากที่นั่งฝั่งสักขีพยาน... ในหมู่นี้นั้นมีทั้งก็อบลิน คนแคระ มนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นๆประสมโรงกันไป ซึ่งรวมกันเบ็ดเสร็จแล้วมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 30 ถึง 40 คน บางที วิศวกรทุกคนในนครภูผาหลิวฮวงอาจจะมารวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้วก็เป็นได้

ดูท่าจะไม่มีวิศวกรคนใดคิดงั้นสินะว่าเรื่องในครั้งนี้จะลุกลามจนใหญ่โตเช่นนี้น่ะ เจ้าพวกนี้ทุกคนถึงได้ยอมรับผิดกันแต่โดยดีเยี่ยงนี้น่ะ

ข้าที่เห็นแท่นยืนทนายฝ่ายจำเลยที่ว่างเปล่า ก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนใจ

“ข้าไม่คิดว่าการหาทนายความฝั่งจำเลยคนใหม่ในเวลาอันสั้นเช่นนี้จะเป็นไปได้หรอกนะ ฉะนั้นพวกเจ้าก็ลองพยายามว่าความแก้ต่างกันเองละกัน อีเกอร์สตรอม ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิว่า ทำไมตัวเจ้าที่ไม่ควรจะมีส่วนได้ส่วนเสียอันใดกับเรื่องในครั้งนี้เลย กลับไปปรากฏตัวอยู่ในที่เกิดเหตุกัน”

“เจ้าพวกวิศวกรแสนโสมมอริแห่งพงไพร จิ๊บ จิ๊บ เจ้าสิ่งผิดธรรมชาติผู้กำเนิดจากวัตถุทมิฬต้องสาป (หุ่นยนต์ยักษ์โลหะ) ไอ้ตัวตนแสนบิดเบี้ยวที่คอยส่งเสียงคำรามลั่นและไอ้สิ่งหมุนๆที่คอยสร้างมลทินให้กับพงไพร (ไอ้นี่มันเครื่องจักรทำลายป่าไม้ มันต้องเป็นศัตรูแห่งพงไพรอย่างแน่นอน) วูฟ วูฟ ด้วยฐานะบุตรแห่งพงไพร พวกเราจักต้องชำระล้างดินแดนต้องสาปผืนนี้ (ฉะนั้น พวกเราเลยอยากจะกำจัดเจ้าสิ่งนี้ซะ)...

ข้าที่ได้ยินถึงสำเนียงภาษาคนอันแปลกประหลาด รวมถึงเรียกร้องแปลกๆของสัตว์นานาชนิดที่โผล่เข้ามาในประโยคเป็นช่วงๆของเจ้าดรูอิดนี่ ก็พยายามอดกลั้นไม่ให้ด่าออกไปอย่างสุดขีด ทั้งนี้ในตอนแรกๆ ข้าก็พยายามแปลสิ่งที่เจ้าดรูอิดนี่พูดเป็นภาษาคนอยู่หรอก แต่เมื่อข้าชำเลืองไปเห็นเหล่าผู้เข้าชมการพิพากษาที่งงเป็นไก่ตาแตกพอๆกับข้า ความอดทนของข้าก็ขาดสะบั้นลง

“พูดออกมาเป็นภาษาที่คนปกติเค้าพูดกันซะ! ไม่เช่นนั้น ข้าจะจับเจ้าไปขังไว้กับ ปี่เฟิง เฮรอท์!!”

งานอดิเรกของแดร๊กก้อนปี่เฟิงนั้นได้เลื่องลือไปทั่วนครภูผาหลิวฮวงแล้วในตอนนี้ และด้วยพฤติกรรมอันแสนหยาบช้าในการจับดรูอิดมาปฏิบัติเยี่ยงสัตว์เลี้ยงนั้นได้ทำเหล่าประชาชนผู้รับฟังต้องอึ้งหนักขึ้นไปอีก สำหรับตัวผู้เสียหายและเหล่าสหายดรูอิดแล้ว ชายผู้นี้ก็มิได้แตกต่างไปจากตัวตนแห่งความหวาดกลัวที่หยั่งรากลึกเลย

“สหายผู้นี้หลงลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นคน คิดว่าตนเองเป็นสุนัขจริงๆไปแล้ว! วันๆเอาแต่วิ่งไล่งับหางตัวเอง! นี่เจ้าแดร๊กก้อนนั้นทำอะไรลงไปกันแน่!”

‘อภิมหามังกรแห่งความชั่วร้าย’ ‘ฝันร้ายของดรูอิด’ ปี่เฟิง เฮรอท์ นี่คือสมญานามที่เหล่าดรูอิดจากทั่วทั้งนครภูผาหลิวฮวงเรียกขานชายผู้นี้... แม้แต่ดรูอิดชั้นตำนานอย่างอีเกอร์สตรอมยังต้องสั่นเทิ้มไปทั้งร่างเมื่อได้ยินชื่อของชายผู้นี้

“ก็ข้ากับเหล่าพี่น้องได้เห็นยักษ์โลหะที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมา ซึ่งเป็นตัวตนที่ละเมิดต่อคำสอนของพวกเรายิ่งนัก เหล่าพี่น้องข้าจึงเสนอต่อข้าว่าพวกเราควรจะไปสอยมันให้ร่วงซะ ซึ่งเมื่อข้าลองมาคิดทบทวนดูแล้ว ถ้าว่ากันตามบัญญัติที่ปู่ของข้าเหลือทิ้งไว้ให้ล่ะก็ พวกเราก็สมควรไปจัดเจ้ายักษ์โลหะนี่สักดอกสองดอกจริงๆนั้นแหละ ฉะนั้นพวกเราก็เลยไปเล่นมันซะเลย เหเห

เมื่อข้าได้เห็นภาพที่ดรูอิดระดับชั้นตำนานหัวเราะระรื่นอย่างไม่คิดมากใดๆ ตัวข้า...ตัวข้าเองก็อับจนคำพูดใดๆเหมือนกัน ถึงครั้งนี้เจ้าหมอนี่จะพูดสั้นๆตรงๆได้ใจความก็เถอะ แต่ทำไมเมื่อข้าได้เห็นถึงใบหน้าโง่ๆของเจ้าดรูอิดนี่แล้ว ข้ากลับรู้สึกอยากจะตั้นหน้าคนสักทีสองทีขึ้นมาก็ไม่รู้

“เย็นไว้ เย็นไว้ เพื่อชื่อเสียงสั่งสมมา เพื่อชื่อเสียงที่สั่งสมมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่เจ้าพวกดรูอิดบ้านี่ทำตัวน่าถีบแบบนี้น่ะ ฉะนั้น ข้าก็ไม่ควรไปถือโทษโกรธเคืองพวกมันสิ... แค่ก เอาล่ะ เรื่องต่อไป กองทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่จู่ๆก็เข้ามาร่วมวงในการปะทะด้วย ทิม ถึงข้าจะพอเดาเรื่องทั้งหมดได้คราวๆแล้วก็เถอะ แต่ไหนเจ้าลองว่ามาซิ”

“ท่านผู้พิพากษา ท่านโปรดพิจารณาด้วย พวกเราเพียงแต่ทำตามหน้าที่อันพึ่งสมควรของอัศวินศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นเอง”

“อืม เมื่อพวกเจ้าเห็นจักรกลยักษ์กำลังพังกำแพงเมืองอยู่ พวกเจ้าทุกคนก็เลยร้องตะโกนว่า ‘โอ๋ แสงศักดิ์สิทธิ์ นี่แหละวายร้ายที่ท่านคู่ควร’ ‘แด่แสงศักดิ์สิทธิ์ บุก’ จากนั้นพวกเจ้าก็ร่วมกันบุกเข้าไปจัดการวายร้ายตนนี้เลยงั้นสินะ? แล้วหลังจากนั้นพวกเจ้าก็ดันเผลอพลาดไปทำลายกำแพงเมือง 2 ส่วน บ้านเรือนอีก 30 หลังคาเรือนโดยที่ไม่ได้ตั้งใจงั้นสินะ?”

ก็นะ ข้าก็พอเข้าใจอยู่หรอก ว่าทำไมเจ้าอัศวินศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ถึงได้ห่อเหี่ยวกันแบบนี้ ก็โอกาสที่พวกตนจะได้เล่น ‘บทพระเอก’ ถูกเจ้าหน้าที่จากฝ่ายกฎหมายแย่งไปเสียดื้อๆนินะ แถมนี่ยังเป็นโอกาสที่นานปีจะมีสักหนที่พวกตนจะได้ออกมาปฏิบัติหน้าที่อีกต่างหาก ฉะนั้นเจ้าอัศวินศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ถึงได้แต่งองค์มาซะเต็มยศ แต่แล้ว...

“ข้ายังพูดไม่จบ ทำไมเจ้าไม่ลองอธิบายมาล่ะว่าไอ้ความตั้งใจที่จะไปปราบจักรกลยักษ์ของพวกเจ้าถึงไปจบลงที่การเข้าปะทะกับเหล่าดรูอิดได้ล่ะ? นี่เจ้าคิดว่า ข้าไม่รู้รึไงว่าตัวเจ้านั้นแอบมีเรื่องหมาดหมางกับอีเกอร์สตรอมจากเหตุการณ์วิ่งเปลื้องผ้าครั้งก่อนน่ะ? เอาล่ะ หลังจบเรื่อง เจ้าอย่าลืมเอาใบแจ้งค่าปรับกับค่าเสียหายไปส่งให้เจ้าเฒ่าบิลล่ะ ข้าหวังว่าสภาพท้องไส้ของเจ้าเฒ่าบิลจะดีขึ้นแล้วนะ ตัวข้าค่อนข้างจะเสียขวัญเลยล่ะเมื่อได้ยินข่าวเรื่องที่เจ้าเฒ่าบิลกระอักเลือดออกมาเมื่อคราก่อนน่ะ อืม ครั้งนี้ข้าจะเพิ่มค่าปรับขึ้นเป็นสามเท่าละกัน เผื่อพวกเจ้าทุกคนจะได้รู้จักหลาบจำกันเสียบ้าง”

ตัวข้าที่ทำเป็นไม่สนใจทิมที่ทำหน้าราวกับท้องฟ้ากำลังถล่มลงมาตรงหน้า ก็หันเหสายตาไปหาชายหนุ่มผู้ซึ่งแสดงหน้าหวาดวิตกอยู่ตอนนี้

“ลูคัส ทำไมตัวเจ้าที่พึ่งจะเปลี่ยนอาชีพจากอัศวินศักดิ์สิทธิ์เป็นอัศวินแห่งความยุติธรรม ถึงได้พาเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆจากหน่านเซี่ยงออกไปก่อเรื่องก่อราวเช่นนี้ล่ะ? แถมเจ้ายังเลือกไปมีเรื่องกับอดีตสหายร่วมอาชีพของเจ้าอีกต่างหาก นี่เจ้าไม่รู้รึไงว่า ถ้าผู้บังคับใช้กฎหมายที่ร่ำเรียนกฎหมายมาดันไปทำผิดกฎหมายเสียเอง โทษที่ได้รับจะยิ่งทวีคูณน่ะ?”

ข้านั้นตั้งความหวังเอาไว้กับชายหนุ่มผู้นี้มากนัก เยี่ยงนี้ข้าถึงได้สงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้เหล่านักเรียนจากหน่านเซี่ยงที่ตั้งใจจะไปช่วยเหลือเหล่าประชาชน กลับไปท้าตีท้าต่อยกับเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์แทนได้ ซึ่งถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ลูคัสกับทิมนั้นเป็นสหายที่ค่อนข้างจะสนิทกันเลยนิ

“ข้า...ข้าไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพี่ทิม พี่นั้นคอยดูแลเอาใจใส่พวกเราเสมอมา แต่นอกเหนือจากกองภาคีอัศวินที่สามของพี่ทิมแล้ว กองภาคีอัศวินที่หนึ่งแห่งโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เองก็มาด้วยเหมือนกัน เจ้าพวกนี้มันตั้งใจจะมาเล่นบทฮีโร่เพื่อล่อลวงเหล่าหญิงสาว ข้าเลย...เลยคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่...

เมื่อได้ยินคำของชายหนุ่มผู้นี้ ความงุนงงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนส่วนใหญ่ แต่สำหรับข้าแล้ว ข้านั้นสามารถเข้าใจได้ในทันทีเลยว่าลูคัสนั้นต้องการจะพูดอะไร

ในทุกภูมิภาค กองภาคีอัศวินที่หนึ่งแห่งโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างเป็นที่รู้จักกันในฐานะกองอัศวินพิธีการ แทนที่จะบอกว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกฝึกขึ้นมาเพื่อรบราฆ่าฟัน ควรจะบอกว่าพวกเขาเหล่านี้คือหนุ่มหล่อที่เอาไว้ใช้ในงานสังคมหรือพิธีการต่างๆจะตรงกว่า

ซึ่งภารกิจเพียงหนึ่งเดียวของกองภาคีอัศวินที่หนึ่งก็คือ การไปเยี่ยมเยือนเหล่าพ่อค้าและเหล่าชนชั้นสูงตามแต่ละท้องถิ่น ทั้งนี้เหล่าคุณหญิงคุณนายมักจะใจปล้ำเรื่องสินทรัพย์เป็นพิเศษ...

ด้วยประการฉะนี้เอง ทำให้สมาชิกแต่ละคนในกองภาคีอัศวินที่หนึ่งต้องผ่านการคัดสรรมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน อืม คุณสมบัติที่เจ้าต้องมีในการเข้าร่วมกองอัศวินนี้งั้นเหรอ หนึ่งเจ้าจะต้องมีหนังหน้าที่ดูดี สองเจ้าจะต้องมีวาทศิลป์ที่เป็นเลิศ เพื่อว่าเจ้าจะได้เอาไว้ใช้พูดชมเหล่าคุณหญิงคุณนายชนชั้นสูงให้มีความสุข ถ้าเหล่าคุณหญิงคุณนายมีความสุข เงินบริจาคที่เจ้าจะได้รับก็จะอู้ฟู่ขึ้นตามไปด้วย

ในขณะที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์กองอื่นๆต่างวิ่งวุ่นไปกับการกำราบเหล่าร้าย กองภาคีอัศวินที่หนึ่งเองก็วิ่งวุ่นอยู่กับงานเลี้ยงเต้นรำและการเสวนาพบปะกับเหล่าสาวๆรวยๆเช่นกัน ในระหว่างที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์กองอื่นๆต่างฝึกฝนอย่างหนักหน่วงภายใต้ดวงตะวันที่ร้อนระอุ กองภาคีอัศวินที่หนึ่งเองก็เข้าคอร์สบำรุงผิวพรรณในห้องลับเช่นกัน... ยิ่งกว่านั้น เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของกองภาคีอัศวินที่หนึ่ง ค่าดูแลรักษาม้าและชุดเกราะของสมาชิกในกองภาคีอัศวินที่หนึ่งต่างได้รับการอุดหนุนจากทางโบสถ์ การเลือกปฏิบัติที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของกองภาคีอัศวินที่หนึ่งในสายตาอัศวินศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆเลวร้ายเป็นธรรมดา แต่ ข้าต้องขอพูดไว้เลยว่า...

“เจ้ารู้ไหมว่า ค่าใช้จ่ายในการบำรุงผิวพรรณมันแพงแค่ไหน แล้วเงินส่วนนี้พวกข้าก็ต้องเป็นคนออกกันเองด้วย แล้วเจ้ารู้อีกไหมว่า ความรู้สึกตอนที่เจ้าจะต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ในงานเลี้ยง ทั้งที่ตัวเจ้าดื่มเข้าไปจนอยากอ้วกออกมาอยู่แล้ว มันเลวร้ายเพียงใด! แล้วเจ้าพวกบ้าทั้งหลาย พวกเจ้าคิดว่าพวกผู้หญิงรวยๆจะสวยหยาดเยิ้มเป็นบุปผางามกันหมดรึไง? ถึงส่วนน้อยจะใช่แบบนั้นก็เถอะ แต่ส่วนใหญ่มันก็หมูดีๆเนี่ยแหละ! แล้วถึงแม้เจ้าพวกถังเก็บไขมันเหล่านี้จะน่าสะอิดสะเอียนสักเพียงใด พวกข้าก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ ถ้าเกิดพวกข้าเผลอสติหลุดชักดาบออกมาฟันถังไขมันพวกนี้ไปล่ะก็ ได้เกิดเป็นปัญหาทางการทูตขึ้นมาแน่ๆ พวกเจ้ารู้ไหมห่ะ!”

“และที่สำคัญกว่านั้น... อย่ามองแต่ด้านที่สมาชิกกองภาคีอัศวินที่หนึ่งมีแต่ผู้หญิงรุมล้อมล่ะ เอาความจริงเลยนะ กองภาคีอัศวินที่หนึ่งนั้นมีไว้เพื่อเอาอกเอาใจเหล่าผู้หญิงรวยๆเพื่อให้ได้เงินบริจาคที่มากขึ้น ฉะนั้นพวกเขาเหล่านี้ย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้มีความรักได้ แถมอัศวินกองนี้ยังต้องถูกบังคับให้ท่องจำบทพูดเอาใจสาวๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รวมทั้งยังต้องฝึกวิชาทำยังไงให้ดูดี ทำอย่างไรให้ตนเหมือนนักรักที่สุด แล้วถ้าเกิดสมาชิกในอัศวินกองนี้ดันไปพบเข้ากับผู้หญิงดีๆที่ยากจะมาถึงสักคนล่ะก็ ผู้โชคดีรายนั้นก็ทำได้แต่เฝ้ามองเธอเท่านั้นมิอาจจะกลืนกินเธอเข้าไปได้!! ความรู้สึกเช่นนี้มันเลวร้ายเสียกว่าการที่เจ้าจีบหญิงไม่ติดอีกนะ รู้ไหม!!”

ข้าขอออกตัวก่อนเลยนะว่า คำบ่นด้านบนนี้ข้าไม่ได้เป็นคนพูดเองแต่อย่างใด... อุ้ย ดูท่าข้าจะเผลอหลุดเล่าอดีตอันดำมืดของตัวเองไปนิดหน่อยเสียแล้ว... แค่ก ก็นะ เมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นอัศวินฝึกหัดอยู่ ข้าเคยโดนส่งไปฝึกอยู่ที่กองภาคีอัศวินที่หนึ่ง และถึงแม้ข้าจะย้ายไปอยู่หน่วยรบอัศวินศักดิ์สิทธิ์หน่วยอื่นแล้วก็ตาม แต่กว่าข้าจะสลัดพฤติกรรมแปลกๆที่ติดมาจากกองภาคีอัศวินที่หนึ่งได้ก็ยังต้องใช้เวลาตั้งเกือบปี

“อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองน้องชายท่านนี้เลย พวกเราทุกคนเข้าใจ พวกเราทุกคนเข้าใจเจ้าดี” หัวหน้ากองภาคีอัศวินที่หนึ่ง มุนล์ ผู้ซึ่งกำลังถูมือของตัวเองเข้าด้วยกันอยู่ตอนนี้เป็นชายรูปหล่อผมสีบลอนด์ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หัวหน้ากองนายนี้สะบัดผมพร้อมกับส่งสายตาเย้ายวนไปทั่วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ในขณะเหล่าชายชาตรีต่างรู้สึกสะอิดสะเอียน อิสตรีบางนางก็ร้องตะโกนออกมาว่า ‘หล่อมว๊ากค๊า’ ข้าที่เห็นภาพเช่นนี้ก็ได้แต่ส่งสายตาสังเวชไปให้หัวหน้ากองนายนี้

“นี่มันวิชาทำยังไงให้ดูดีลำดับที่ 59 ท่าสะบัดผมยังไงให้ดูดี ลำดับที่ 63 สายตาเย้ายวนชวนให้หลง ดูท่าทางทางโบสถ์เองก็แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยจากเมื่อสมัยก่อนงั้นสินะ ดูจากความช่ำชองในการใช้วิชาของเจ้าหัวหน้ากองนายนี้แล้ว นี่น่าจะสายตาเย้ายวนระดับหลอมละลายเลยนะเนี่ย เพื่อจะรักษาระดับวิชานี้เอาไว้ ในหนึ่งวันเจ้าหมอนี่คงต้องฝึกฝนใช้วิชานี้ไม่ต่ำกว่า 300 ครั้งเป็นแน่... บางทีเจ้าหมอนี่อาจพูดคุยกับผู้อื่นเป็นภาษาคนปกติไม่ได้แล้วก็ได้ แถมดูทรงแล้วเจ้าหมอนี่คงส่งสายตาเย้ายวนให้แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเองโดยที่ไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัวด้วยแน่ๆ เจ้านี่ช่างเป็นผู้ชายที่น่าสงสารแบบที่สุดแห่งความน่าสงสารจริงๆ”

ฉะนั้น ข้าจึงหันไปพูดกับลูคัสด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“เจ้าจงขอโทษหัวหน้ากองมุนล์ซะ ตอนนี้เลย เร็วๆเข้า”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร ไงซะน้องชายท่านนี้ กับพวกเราก็เป็นสหายในขุมกำลังฝ่ายกฎระเบียบเหมือนๆกัน!” ในระหว่างที่พูดอยู่นี้ สายตาของมุนล์ก็สอดส่องไปทั่ว ราวกับกำลังควานหาเหยื่อในที่นั่งฝั่งสักขีพยาน แถมเจ้าตัวยังส่งสายตาเย้ายวนไปทั่วอย่างไม่รู้ตัวเป็นระยะๆอีกต่างหาก

ด้วยฐานะรุ่นพี่และผู้ที่เคยผ่านอะไรเหมือนๆกันมา ทำให้ข้ารู้ดีว่านี่คือสัญชาตญาณในการ ‘หาเหยื่อ’ ที่สมาชิกกองภาคีอัศวินที่หนึ่งทุกคนต้องถูกบังคับฝึกฝนให้เฉียบคม แต่ในสายตาของพ่อหนุ่มลูคัสแล้ว การกระทำเช่นนี้ของมุนล์ก็มิได้ต่างจากการที่อีกฝ่ายไม่เห็นหัวตนอยู่ในสายตาเลย

“ข้า...ยังไง ข้าก็ไม่ขอโทษ!! ถ้าข้าไม่ได้เป็นอัศวินแห่งความยุติธรรมต่อ ข้า...ข้าก็ไม่ขอเป็นมนุษย์อีกต่อไป! ข้าขอยอมไปเป็นอัศวินดำที่เขตอันเดดเสียดีกว่า!!”

ทั้งๆที่ตนได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ด้วยการนับถือศรัทธาใหม่แล้วแท้ๆ แต่ตนยังจะต้องก้มหัวให้กับศัตรูคู่อาฆาตในอดีตอีกงั้นเหรอ ชายหนุ่ม(?)ผู้ที่มิอาจจะกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับความจริงอันแสนโหดร้ายนี้เอาไว้ได้ ก็หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง... แต่เจ้ากำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่นะ ที่เขตอันเดดน่ะไม่มีอัศวินดำอยู่หรอกนะ จะมีก็แต่เดธไนท์เท่านั้นแหละ...

แค่ก เอาเถอะ เรากลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า ณ จุดๆนี้ เรื่องราวทั้งหมดก็ได้รับการไขกระจ่างแล้ว

เรื่องทุกอย่างเริ่มต้นด้วย การที่เหล่าวิศวกรสร้างหุ่นยนต์ยักษ์ขึ้นมา จากนั้น หน่วยรักษาความสงบที่เห็นสิ่งที่เจ้าวิศวกรพวกนี้สร้างขึ้นมา ก็รีบพุ่งตรงเข้ามาจับกุมเหล่าวิศวกรทั้งหลาย แต่ด้วยขนาดร่างกายอันใหญ่โตของหุ่นยักษ์ ทำให้พวกนางเป็นฝ่ายที่ต้องโดนปราบเสียเอง แล้วต่อจากนั้น เหล่าดรูอิดที่เห็นตัวตนที่ผิดต่อคำสอนของพวกตนก็เข้ามาร่วมแจมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย ตามต่อด้วยเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่มาเพื่อจะกำจัดเหล่าวายร้าย ซึ่งในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนได้ที่ ทิมก็ได้อาศัยจังหวะจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาชำระหนี้แค้นที่มีต่ออีเกอร์สตรอม จนเป็นเหตุให้เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์กับเหล่าดรูอิดหันมาตีกันเอง

แล้วเรื่องก็มีต่อว่า เหล่าอัศวินแห่งความยุติธรรมฝึกหัดจากหน่านเซี่ยงที่มาถึงที่เกิดเหตุก็ได้พบเข้ากับ เหล่าหนุ่มหล่อจากกองภาคีอัศวินที่หนึ่ง ผู้ซึ่งมาทำหน้าที่เป็นหน่วยสนับสนุน จนเกิดความคิดว่าเจ้าพวกหล่อลากดินนี่จะมาฉวยโอกาสเล่นบทพระเอกเพื่อล่อลวงเหล่าหญิงสาว เมื่อคิดได้เช่นนั้น เหล่านักเรียนจากหน่านซี่ยงก็อาศัยจังหวะจากความชุลมุนเข้าไปโจมตีเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์จากกองภาคีอัศวินที่หนึ่ง... ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้เรื่องมันวุ่นวายหนักขึ้นไปอีก และในท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครหันไปสนใจเจ้าหุ่นยักษ์ตัวต้นเรื่องอีกเลย ต่างฝ่ายต่างสู้กันเอง เอาง่ายๆ เจ้าพวกนี้ทุกคนต่างอาศัยเหตุการณ์ความวุ่นวายเพื่อคิดบัญชีหนี้แค้นเก่ากันทั้งนั้น

ถ้าข้าตัดสินลงโทษเจ้าพวกนี้ทุกคนจริงๆล่ะก็ ได้มีคนติดคุกหลายพันในคราเดียวแน่นอน... แล้วดูจากสภาพเรือนจำและห้องกักกันที่เหลือเพียงแต่ซากในตอนนี้ และเห็นแก่ข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีชีวิตใดต้องเสียไปในเรื่องครั้งนี้... แถมเรื่องในครั้งนี้ก็เป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดจริงๆนั้นแหละ

ปัง!”

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ข้าก็จัดการฟาดค้อนพิพากษาในมือ พร้อมกับเอ่ยคำตัดสินออกมา

“ศาลขอสั่งให้ยุติการพิพากษาเอาไว้เป็นการชั่วคราว เหล่าผู้ต้องหาทุกคนในคดีจะได้รับการปล่อยตัวเป็นการชั่วคราว ซึ่งตัวผู้ต้องหาจะมิสามารถเดินทางออกจากนครภูผาหลิวฮวงได้ หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากศาลสูงสุด ส่วนค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะถูกแบ่งกันรับผิดชอบอย่างเท่าๆกันในหมู่ผู้ที่เข้าร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์การปะทะกันครั้งนี้ และในขณะเดียวกันทางฝ่ายกฎหมายจะรีบเร่งลัดการซ่อมแซมเรือนจำและห้องกักกันประจำนครภูผาหลิวฮวงให้แล้วเสร็จในเร็ววัน และเมื่อครั้งที่พบตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด โรแลนด์ ศาลจะทำการพิพากษาอีกครั้ง”

ก็ได้ ให้ทุกอย่างเป็นความผิดของโรแลนด์ก็ได้... แต่เมื่อข้าหันไปเห็นเหล่าหน่วยรักษาความสงบที่แสดงสีหน้าไม่พอใจราวกับว่าพวกนางกำลังจะคิดสั้นแอบทำอะไรโดยพลการ ดูท่าพวกนางคงคิดจะไปตามจับโรแลนด์กันเองอย่างพลการแน่ๆ

“ดูท่าโรแลนด์จะกลับมาเหยียบที่นี่ไม่ได้แล้วสิ... นี่ อิลิซ่า เจ้าคิดว่าชื่อโรซี่กับโรเบิร์ตอันไหนฟังดูดีกว่ากันเหรอ?”

“…” อ่านะ หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานมา นางก็เอาแต่ทำเป็นไม่สนใจข้าตลอดเลย...

แต่การตัดสินความในครั้งนี้ ก็ทำให้ข้าได้ตัดสินใจอะไรอย่างหนึ่ง

“ถ้าเกิดข้าไม่อยู่คุมล่ะก็ เจ้าพวกบ้านี่ได้ออกมาป่วนสร้างความวอดวายไปทั่วแน่! เอาล่ะ ข้าตัดสินใจได้แล้ว! ว่าข้าจะเอาเจ้าขุมทรัพย์เดินได้(ตัวก่อปัญหา)พวกนี้ไปกับคณะทูตด้วย และก็จัดการซ่อมโรแลนด์หมายเลข 2 ให้เรียบร้อย พวกเราจะได้ไปป่วนพันธมิตรโลกใต้พิภพให้ต้องกลับตาลปัตรอย่างทั่วถึงกันไปเลย!!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด