ตอนที่แล้วตอนที่ 28 ให้ข้าได้สอนเจ้าถึงวิธีการทำของเก๊อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 30 ฝากฝั่ง

ตอนที่ 29 เฝ้ารอ


“นี่สหาย เจ้าไม่รู้สึกว่าสายตาที่ชาวเมืองใช้มองเราเดี่ยวนี้มันแปลกๆไปบ้างเหรอ?”

ทิมนั้นเป็นหัวหน้ากองอัศวินของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์สาขาย่อยที่มาประจำการอยู่ที่นครภูผาหลิวฮวง แม้ที่นครใต้พิภพแห่งนี้จะเต็มไปด้วยเหล่าผู้อาศัยแสน ‘ชั่วร้าย’ ทิมก็ยังคงทำตามนิสัยอันดีของตนในการออกมาลาดตระเวนตรวจสอบความสงบเรียบร้อยของนครอย่างเป็นประจำ แม้นั้นจะไม่ใช่เวลาที่ตนต้องเข้ากะก็ตาม

ข้าต้องขอบอกไว้เลย ไม่ว่าเบื้องบนของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์จะเน่าเปื่อยฟอนเฟะขนาดไหน เหล่านักบวชและอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ชั้นรากหญ้าต่างก็ขยันหมั่นเพียรทำตามคำสอนของแสงศักดิ์สิทธิ์ ในการอภิบาลคนดี ขจัดความ ‘ชั่วร้าย’ ทั้งปวง ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ชาวบ้านทั่วไปยังคงยอมรับคำสอนของแสงศักดิ์สิทธิ์อยู่ และก็ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้อิทธิพลของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แทรกซึมเข้าไปในประเทศของเหล่ามนุษย์นานับประเทศด้วย

บนพื้นทวีปนั้น ภาพที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์ออกมาเดินตรวจตราเช่นนี้นั้นถือเป็นภาพที่หาดูได้ทั่วไป เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์จะคอยมอบความช่วยเหลือแก่เหล่าประชาชนที่ต้องการ และเมื่อครั้งใดที่เจอะเจอเข้ากับเหล่าวายร้าย เหล่าอัศวินทั้งหลายก็จะชักดาบของตนออกมาขจัดเหล่าวายร้ายให้สิ้นไป และแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ...

แต่สำหรับเมืองอันมีเอกลักษณ์แห่งนี้นั้น การออกเดินตรวจตราของทิมและเหล่าสหายได้สร้างปัญหาขึ้นมามากมายตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มเดิน ฉะนั้นทิมและพรรคพวกจึงไม่เป็นที่ต้อนรับของที่นี่นัก

แม้ผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีอย่างที่คิด แต่ทิมก็รู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ตนได้ทำไป เพราะไงซะ ถ้าเกิดพวกตนเอาเรื่องการผจญภัยที่ประสบพบเจอมาไปเล่าล่ะก็ คงต้องเป็นตำนานสุดอหังการในร้านเหล้าแน่

ถ้าให้ยกตัวอย่างวีรกรรมของทิมและสหายก็คงจะได้ประมาณนี้ พวกทิมได้เข้าจู่โจมดาร์ดเอลฟ์ที่กำลังล่อลวงหญิงชราอยู่ (ที่จริง เจ้าหน้าที่จากหน่วยรักษาความสงบกำลังพาหญิงชราไปส่งบ้าน) ได้บุกเข้าทำลายพิธีกรรมปริศนาของพวกอันเดด (ที่จริง เป็นการแสดงระบำโครงกระดูกอันโด่งดัง) ได้ไปถล่มหอคอยกระดูกขนาดยักษ์ของลิชผู้ชั่วร้ายให้พินาศย่อยยับ (ซึ่งที่จริง นั้นคือชิงช้าสวรรค์ในสวนสนุกอันเดด ที่ข้าต้องลงแรงไปมากมายกว่าจะสร้างเสร็จ แน่นอนว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ข้าได้ส่งใบแจ้งค่าปรับจำนวนมหาศาลไปให้ไอ้แก่บิล และว่ากันว่าตอนนี้เจ้าพวกปัญญานิ่ม(ทิมและพ้องเพื่อน)นี่กำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ขัดส้วมให้กับสมาชิกทั้งหน่วยอยู่)

แถมพวกตนยังได้ช่วยสาวน้อยผู้บริสุทธิ์นางนึงที่โดนเมดูซ่าสาปให้เป็นหินอีกต่างหาก (โอ่ ช่างแกะสลักชาวเมดูซ่าผู้น่าสงสารนั้นหวาดกลัวแทบตาย ที่จู่ๆก็โดนกลุ่มคนเสียสติที่คอยแต่สรรเสริญแสงศักดิ์สิทธิ์มากล่าวหาว่าไปลักพาตัวเด็กสาวมา แถมยังโดนข่มขู่ให้เปลี่ยนรูปแกะสลักหินให้กลับเป็นมนุษย์อีก) นอกจากนี้ ยังไปท้าประลองกับมังกรแดงโบราณที่คิดจะโจมตีเหล่าเด็กๆ โอ้ องค์แสงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องบน นี่เจ้ามังกรร้าย นี่เจ้าคิดจะกินเหล่าเด็กๆ เข้าไปรึนี่...

ข้าให้ฟ้าเป็นพยานเลย ในวันนั้นเสี่ยวหงส์ นางแค่พ่ายแพ้ต่อสัญชาตญาณความเป็นแม่ในตัว เลยยอมลงไปเล่น ‘ผู้กล้า VS มังกรชั่วร้าย’ กับพวกเด็กๆในสวนสาธารณะเท่านั้นเอง จากนั้น เจ้าพวก ‘เลยวัยเด็ก’ ที่ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์พวกนี้ก็ทะเลอทะล่าบุกเข้ามา... แต่โชคยังดี ที่วันนั้นเสี่ยวหงส์ยังอารมณ์ดีอยู่ ไอ้แก่บิลถึงยังมาขุดเอาเจ้าพวกกระป่องเศษเหล็กพวกนี้ไปจากบ่อทรายในสวนสาธารณะได้ โดยที่ไม่ต้องกลับไปประกอบพิธีสวดส่งวิญญาณ...

และแน่นอน เจ้าพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์บ้านี่ก็ต้องรับผลจากสิ่งที่ตนทำไปเช่นกัน เพราะจะอย่างไรซะ เหล่าพ่อแม่ของเด็กๆที่หวาดกลัวก็ไม่ระงับโทสะลงง่ายๆ แล้วด้วยการที่มีแต่ศีรษะเท่านั้นที่โผล่มาจากบ่อทราย ทำให้หลังจากที่ผ่านพ้น ‘การโจมตี’ หลากหลายระลอกไป เจ้าพวกบ้านี่ก็ต้องใช้เวลาไปอีกหลายวันกว่าจะขจัดกลิ่นเหม็นจากไข่เน่าและมะเขือเทศบนหัวพวกตนไปได้

และแล้ว พวกบ้านี่ก็เข้าใจเสียทีว่าพวกตนไม่ได้อยู่ในประเทศของมนุษย์บนพื้นทวีปอีกแล้ว เข้าใจเสียทีว่าสภาพแวดล้อมที่พวกตนมาอยู่นั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และการกระทำที่พวกตนได้ทำไปนั้นมิใช่การขจัดเหล่าร้าย แต่เป็นการสร้างความเดือดร้อนและความหวาดวิตกให้แก่ผู้อื่น อืม แล้วที่สำคัญกว่านั้น ด้วยใบแจ้งค่าปรับจำนวนมากผสมเข้ากับหมายกักตัว เจ้าพวกบ้านี่ก็คงรู้จักทำตัวให้ดีๆกว่านี้แล้วล่ะ

อย่างน้อย พวกบ้านี่ก็รู้แล้วล่ะว่า นครแห่งนี้ได้เคารพและปฏิบัติตามกฎแห่งกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในฝ่ายกฎระเบียบเช่นกัน ฉะนั้นที่นครแห่งนี้จึงไม่จำเป็นที่จะให้พวกมัน(อัศวินศักดิ์สิทธิ์)มาคอยกำจัดเหล่าวายร้ายให้ จนในที่สุด เจ้าพวกบ้านี่ก็เลิกพฤติกรรมตระโกนว่า ‘โอ้ แสงศักดิ์สิทธิ์ นี่แหละวายร้ายที่เจ้าคู่ควร’ หลังจากที่เห็นเผ่าพันธุ์จากฝ่ายความโกลาหล ก่อนจะเดินหน้าบุกเข้าไปโจมตีอีกฝ่าย

อืม ทิมได้จดจำแล้วล่ะว่าที่นครแห่งนี้นั้น สิ่งที่พวกตนทำไม่ได้เรียกว่า การขจัดเหล่าร้าย แต่เป็นสิ่งเรียกว่า ‘เจตนาประทุษร้ายผู้อื่น’ ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำแล้วจะได้ไปนอนเล่นในคุก และส่วนที่น่าขันที่สุดเกี่ยวกับนครแห่งนี้ก็คือ ที่นครแห่งนี้ได้สั่งห้ามการประลองที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของนักรบอันสูงส่ง แถมยังตีตราการประลองว่าเป็น ‘การฆาตกรรมผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน’ ซึ่งถือเป็นความผิดที่หนักหนา ที่ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษสถานหนัก

และแน่นอนว่า พวกคลั่งศาสนาที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเองต้องมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ด้วยคำประท้วงจากนครภูผาหลิวฮวง เพียงไม่นานหนังสือเรียกตัวเจ้าพวกดังกล่าวกลับพื้นทวีปก็ถูกส่งมาถึง

ในกรณีของทิมนั้นถือว่าดีกว่านั้นมาก หลังจากทำผิดพลาดไปหลายครั้งหลายคร่า ทิมก็บ่มเพาะนิสัยในการอ่านสถานการณ์ให้ถี่ถ้วนซะก่อนจะชักดาบออกมา แถมยังคุ้นชินกับการที่ได้เห็น ‘คมเขี้ยวแห่งความโกลาหล’ เดินอยู่ทั่วท้องถนนแล้วเช่นกัน

ที่จริงแล้ว เมื่อครั้งที่หัวหน้ากองอัศวินศักดิ์สิทธิ์นายนี้รู้ว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ดาร์ดเอลฟ์ในหน่วยรักษาความสงบเองก็นับถือในแสงศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ชายหนุ่มก็ได้ตัดสินใจว่าจะตามจีบอมนุษย์มาเป็นภรรยา เพราะไงซะ แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้มีกฎห้ามไม่ให้แต่งงานกับอมนุษย์ แถมเหล่านักบวชสาวๆสวยๆในโบสถ์เองต่างก็มีแมลง(ผู้ชาย)คอยบินตามเป็นร้อย ฉะนั้นชายหนุ่มจึงรู้ตัวดีว่าตนนั้นไม่มีหวังมากนัก

แต่เพียงไม่นาน ทิมก็เลิกล้มความคิดนี้ไป ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นไปได้เพราะสตรีดาร์ดเอลฟ์เหล่านั้นได้เชื่อในแสงศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับตน แต่พวกนางกลับยังคงยึดถือขนบธรรมเนียมของเผ่าดาร์ดเอลฟ์เอาไว้ครบถ้วน อาทิเช่น สังคมดาร์ดเอลฟ์นั้นเป็นสังคมที่ผู้หญิงเป็นใหญ่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามธรรมเนียมของดาร์ดเอลฟ์แล้ว สามี(ชายรับใช้)นั้นเป็นคำที่มีความหมายพ้องกับคำว่าทาส...

แต่ช่างน่าแปลกใจยิ่งที่ทั้งๆที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว กลับมีสหายผู้มากความสามารถบางคนที่ปกติไม่แม้แต่จะเหลียวมองผู้หญิงธรรมดากลับพยายามอย่างสุดตัวในการตามจีบเหล่าดาร์ดเอลฟ์หญิง โดยเฉพาะสตรีดาร์ดเอลฟ์ โมโมะ ที่ใช้แส้เป็นอาวุธนั้นน่ะยิ่งได้รับความนิยมเป็นพิเศษ...

เอาล่ะ ทิมที่จะคาดเดาอะไรบางอย่างได้รางๆ ก็เริ่มตีตัวออกห่างจากเหล่าสหายของตนที่นับวันจะยิ่งแปลกไป

แต่หลังจากศึกความวุ่นวายที่พึ่งผ่านไป ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อไม่กี่วันก่อน เหล่าประชาชนยังคงระแวงพวกตนอยู่เลย แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ยังเป็นมิตร แต่ปัจจุบันนี้ ความระแวงในสายตาของเหล่าประชาชนได้จางหายไปแล้ว ซึ่งสิ่งที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นความสงสาร และวิธีเรียกพวกตนที่แปลกไป

“อัศวินไม่มีใครเอา!? หรือว่าคุณป้าเผ่ามนุษย์สัตว์ที่ไม่ค่อยรู้จักคำศัพท์ จะออกเสียงผิดกัน เช่นนั้น ข้าจะได้ทำเป็นไม่ถือสาไป แต่ทำไมเจ้าของร้านขายดอกไม้กับเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารถึงออกเสียงผิดเหมือนกันล่ะ แถมช่วงนี้ จู่ๆข้าก็ได้ส่วนลดกับของแถมเวลาออกไปกินข้าวอีก ยิ่งกว่านั้นตอนออกไปเดินบนถนน ก็จะมีคนคอยตระโกนไล่หลังข้ามาอีกว่า ‘อย่ายอมแพ้ล่ะ ยังไงพรุ่งนี้ก็ดีกว่าวันนี้เสมอ!’”

“หืม ก็แค่ถูกเรียกว่าอัศวินไม่มีใครเอาไม่กี่ครั้งเอง นี่ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนเลย ไงพวกเราก็เป็น ‘อัศวินผู้ถูกทิ้ง’ อยู่แล้วนิ ชื่อเรียกเช่นนี้ก็ไม่เห็นจะผิดอะไรตรงไหน”

ลูคัสนั้นถูกส่งมาที่นครแห่งนี้พร้อมกับทิม โดยปกติ ลูคัสนั้นเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี มักจะช่วยเหลือชาวเมืองซ้อมท่อประปาหรือช่วยตักน้ำให้อยู่เสมอ จนทำให้หมอนี่ได้รับสมญานามว่า ‘คนดี ลูคัส’ จนเมื่อ 2 วันก่อน จู่ๆ ลูคัสก็กลับมานั่งหมดอาลัยตายอยากเป็นประติมากรรมน้ำแข็งอยู่ที่หอพัก และที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ ทิมที่ตัดสินใจลากตัวลูคัสออกมาเดินตรวจตรา เพื่อที่ทั้งคู่จะได้พูดคุยกันถึงเรื่องที่กวนใจลูคัสอยู่

แต่ตลอดทางที่เดินมานี้ ไม่ว่าทิมจะพูดอะไรไป ลูคัสก็เงียบไม่พูดไม่จาใดๆ เอาแต่จ้องไปที่ดอกลิลลี่เหี่ยวเฉาในมือตนด้วยสายอันเลื่อนลอยเท่านั้น แต่ในที่สุด ลูคัสก็ยอมเปิดปากพูดออกมา ช่างดีจริงๆ!

“ลูคัส เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่? สองวันมานี้ เจ้าถึงได้ทำตัวแปลกไปเช่นนี้ ทุกคนกำลังเป็นห่วงเจ้าอยู่นะ”

ความห่วงใยของเหล่าสหายได้ทำให้หัวใจที่ถูกแช่แข็งของลูคัสรู้สึกถึงไออุ่นอีกครั้ง หลังจากที่เงียบกันอีกครู่หนึ่ง ลูคัสก็ถอดถอนหายใจยาวเหยียดออกมา ก่อนที่จะเริ่มเล่าถึงเรื่องที่ตนประสบพบเจอมาเมื่อ 2 วันก่อน

“เมื่อ 2 วันก่อน มีผู้หญิงมาบอกว่าอยากแต่งงานกับข้า”

“อ้าวววว นี่ก็เรื่องดีไม่ใช่เหรอ! ถ้างั้น ทำไมเจ้าถึงแลดูหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ล่ะ”

แต่เพียงไม่นาน เหล่าชะตากรรมอันน่าเศร้าของเหล่าสหายในอดีตก็ได้แว๊บเข้ามาในหัวทิม จนเรื่องร้ายต่างๆเกือบจะหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของชายผู้นี้...

เมื่อได้เห็นทิมที่จู่ๆก็เงียบไป ลูคัสก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ก็ส่ายศีรษะบอกกับทิมว่าไม่ใช่อย่างที่อีกฝ่ายคิด

“อีกฝ่ายไม่ใช่นางฟ้าตกสวรรค์หรือปิศาจที่คิดจะมาหลอกให้ข้าหลงผิดหรอก ตำแหน่งของข้าในหน่วยนั้นอยู่กลางๆไม่ได้ดีเด่อะไร ข้าไม่มีค่าพอให้มาหลอกหรอก”

“ถ้างั้น?”

“แล้วข้าก็ไม่ได้โชคไม่ดีเหมือนกับเฟนค์และเวรอนด้วย ที่ข้าเจอน่ะไม่ใช่คุณป้าเผ่ามนุษย์สัตว์ที่อายุเลยวัย 40 หรือหนุ่มน้อยน่ารัก นางนั้นเป็นสตรีที่น่ารักมาก นางมีใบหน้ารูปไข่อันใสซื่อไร้เดียงสา รอยยิ้มของนางนั้นช่างงดงาม ผิวของนางก็เนียนสวยเหมือนหยกขาว นางนั้นเป็นคนร่าเริงสดใส คอยมอบความมีชีวิตชีวาให้กับทุกคน”

“ถ้าเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึง...?” ในเมื่อฝ่ายหญิงดีซะขนาดนี้ แล้วทำไมลูคัสถึงมาหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้อีกล่ะ? ทิมนั้นมิอาจเข้าใจเรื่องนี้ได้เลยจริงๆ

ในวินาทีนี้เอง ใบหน้าของลูคัสนั้นเต็มไปด้วยความโหยหาในอดีต พร้อมกับเจ้าตัวที่พูดออกมาอย่างแผ่วเบา

“นางถือดอกไม้ดอกนี้มามอบให้กับข้า แล้วก็กล่าวต่อข้าว่า พี่อัศวิน อย่าเศร้าไปเลยนะ เสี่ยวซินจะเป็นภรรยาของพี่เอง รอยยิ้มที่นางมอบให้ข้านั้นเหมือนดั่งแสงตะวันอันอบอุ่น เสียงหวานๆที่นางพูดต่อข้านั้นช่างหอมหวานดุจน้ำผึ้ง แต่ว่า...”

ในทันควัน ดวงตาอันกระจ่างใจของลูคัสก็ขุ่นมัวไปในทันที พร้อมกับเจ้าตัวที่เริ่มร้องไห้ออกมา

“...นางพึ่งจะ 9 ขวบ! 9 ขวบเท่านั้น!! นางยังเยาว์วัยนัก แล้วข้าเองก็ไม่ใช่หมีด้วย!!”

เมื่อรู้ถึงที่มาของปัญหา ทิมก็ได้แต่ตบไหล่ลูคัสด้วยความสังเวช แต่เมื่อครั้งที่ชายหนุ่มจะพูดอะไรออกไป ใบหน้าของลูคัสก็แสยะเป็นรอยยิ้มออกมา

“แต่ นางบอกว่านางจะแต่งงานกับข้าเมื่อนางโตขึ้น ฮาฮา แถมนางยังบอกอีกว่าเมื่อถึงยามที่นางโตเป็นผู้ใหญ่ แม้ข้าจะเป็นอัศวินไม่มีใครเอาในแผ่นพับโฆษณา ปานนั้นข้าก็คงมีเงินเก็บพอซื้อบ้านและม้าแล้ว”

ตอนนี้เอง ที่ทิมพบว่าตัวเองพูดไม่ออกเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่เงียบไปสักพักใหญ่ๆ ชายหนุ่มก็รีดเร้นคำพูดออกมาจากปากได้

“เอ่อ... แสดงความยินดีด้วยนะ”

“แงงงงงงงง!” พอทิมพูดเสร็จ รอยยิ้มบนในหน้าลูคัสก็หายไปในทันตาพร้อมกับเจ้าตัวที่ก้มหน้าลงร้องไห้ ขณะที่โอบกอดดอกลิลลี่สีม่วงในมือไปด้วย

“ลูคัส หยุดร้องไห้เถอะ เวลา 10 ปีไม่นานนักหรอก ดูข้าสิ ปีนี้ข้าก็จะอายุ 35 แล้วเนี่ย แต่ข้ายังโสดซิงอยู่เลย แม้เจ้าจะรอไปอีก 10 ปี ตอนนั้นเจ้าก็พึ่งจะอายุ 37 เอง เช่นนี้ ชีวิตเจ้าก็ดีกว่าพี่น้องในหน่วยเราหลายๆคนแล้วล่ะ”

“แงงง ไม่... ไม่ใช่ 10 ปี!!”

“ห่ะ? แม้เจ้าจะต้องรอนานกว่านั้นอีกนิด แต่สำหรับพวกเราอัศวินไม่มีใครเอาย่อมรอได้อยู่แล้ว!” เมื่อมาถึงจุดๆนี้ ทิมก็เข้าใจแล้วล่ะว่าคำว่าอัศวินไม่มีใครหมายถึงอะไร และเริ่มที่จะตรัสรู้แล้วด้วยถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลังสายตาสงสารแบบแปลกๆที่มองมาทางตนช่วงนี้

แต่หลังจากที่ได้ยินคำปลอบใจของทิม ลูคัสก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า

“ข้า...ก็ข้าไม่สามารถรอถึงวันนั้นได้น่ะสิ! แงงงงง!! ที่ให้รอน่ะไม่ใช่ 10 ปี แต่เป็น...เป็น 200 ปี!! นางเป็นเอลฟ์ ต้องใช้เวลา 200 ปี นางถึงจะโตเป็นผู้ใหญ่!! แล้วดูที่นางพูดเข้าสิ นางคิดว่าข้าต้องใช้เวลาถึง 200 ปี ถึงจะมีเงินพอซื้อบ้าน!! เวลา 200 ปี เมื่อครั้งที่นางโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าก็กลายเป็นเศษธุลีดินไปเรียบร้อยแล้ว!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น นอกเสียจากการโอบกอดสหายผู้ที่ต้องเจ็บช้ำจากความรักที่ยากจะมาถึงแล้ว ทิมจะทำอะไรได้อีกเล่า...

“ทำไมพวกเราไม่ไปที่หน่านเซี่ยง แล้วลองดูสักตั้งล่ะ จากที่ข้ารู้ มีอยู่หลายหัวเมืองนครเลยล่ะที่กำลังเปิดรับสมัครเจ้าหน้าที่รักษาความสงบบ้านเมืองอยู่”

การเปิดรับสมัครนักเรียนของหน่านเซี่ยงนั้นประสบผลสำเร็จระดับที่แทบไม่น่าเชื่อ เพียงแค่ 3 วัน หน่านเซี่ยงก็สามารถดึงบุคคลากร 3 ส่วนจากบุคคลากรทั้งหมดของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ประจำนครภูผาหลิวฮวงมาได้ แถมหลังจากนั้น ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ตบเท้าเข้ามาสมัครเรียน...

ระบบกฎหมายในนครโครมเองก็กำลังอยู่ในระหว่างก่อตั้งเช่นกัน และอีก 2 เดือนหลังจากที่นักเรียนฝึกหัดระยะสั้นรุ่นแรกจบการศึกษาไป พวกเราก็จะได้ส่งนักเรียนจบใหม่เหล่านี้ไปช่วยในส่วนบริหารและระบบกฎหมายของนครโครม

จากนั้น เพียงไม่นาน หน้ากระดาษในต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมายก็จะได้แสดงบทบาทที่มีในการเก็บรวบรวมศรัทธาของเหล่าประชาชนที่มีต่อกฎหมายและความเท่าเทียมกัน ต่อจากนั้น พวกเราก็จะได้มอบพลังแห่งกฎหมายให้กับเจ้าหน้าที่ในระบบกฎหมาย รวมทั้งมอบแสนยานุภาพให้แก่การบังคับใช้กฎหมายและการพิพากษา เมื่อครั้งที่วัฏจักรเช่นนี้เกิดขึ้น การฟื้นพลังของอุปกรณ์เทวะต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมายก็จะถูกเร่งให้เร็วขึ้น

และครั้งใดที่นครโครมเข้ามาอยู่ใต้ร่มเงาแห่งกฎหมาย และเหล่าประชาชนในนครเองก็ยอมรับให้กฎหมายเป็นหนึ่งในความเชื่อของพวกตน พลังแห่งกฎหมายที่มีอยู่ทั่วโลกก็จะแข็งแกร่งขึ้น และเหล่าผู้ยึดถือกฎหมายเองก็จะได้รับพลังแห่งกฎหมายที่มากขึ้นตามไปด้วย บางที แสงศักดิ์สิทธิ์ในอดีตเองก็อาจจะเติบโตขึ้นมาเช่นนี้เหมือนกันก็ได้

และยามใดที่ความเชื่อแห่งกฎหมายได้แพร่สะพัดออกไป ข้าก็หวังว่า มุมมองที่มนุษย์มีต่อเผ่าพันธุ์อื่นจะไม่ได้จำกัดอยู่ที่ ความโกลาหลและกฎระเบียบ อีกต่อไป บางทีการเปลี่ยนมุมมองของคนเราเช่นนี้อาจจะเป็นก้าวแรกของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติก็ได้

“ในเมื่อการทำลายล้างอีกฝ่ายไปให้สิ้นนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้างั้น ทำไมพวกเราไม่มาลองพยายามหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการพูดคุยและการประนีประนอมกันล่ะ บัดนี้ ที่นครภูผาหลิวฮวง แม้แต่เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์เองก็เริ่มเรียนรู้ที่จะตัดสินผู้อื่นจากการกระทำที่ทำมิใช่เผ่าพันธุ์ที่เป็น อย่างน้อย นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วล่ะว่าหนทางประนีประนอมนั้นมีโอกาสที่จะสำเร็จ”

แต่ สำหรับตอนนี้ ข้าว่าข้าคงยังไม่ต้องไปมองการไกลที่ไหน ก่อนอื่นข้าควรกลับมาจัดการเรื่องภารกิจประจำวันที่อยู่ตรงหน้าข้าก่อนดีกว่า

บัดนี้ แต้มชั่วช้าที่ข้าพยายามสะสมมานั้นอยู่ที่ 49888 แต้ม เช่นนี้วันแห่งการคืนชีพของข้าย่อมอยู่อีกไม่ไกล แต่แล้ว ภารกิจประจำวันที่ปรากฏออกมาช่วงนี้กลับมีแต่ ‘ฆ่ามนุษย์หนึ่งร้อยชีวิต’ ‘ไปฆ่าล้างมนุษย์สัตว์สักสองสามตระกูล โดยไม่ให้เหลือผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว’ หรืออะไรทำนองนี้ทั้งนั้น ซึ่งเป็นภารกิจที่ข้ามิอาจเอาไปกลั่นแกล้งผู้อื่นได้ ด้วยประการฉะนี้แต้มชั่วช้าที่ข้าอุตส่าห์สะสมมาจึงมลายหายไปพอสมควรเลย แล้วถ้าข้ายังเอาแต่เสียแต้มชั่วช้าต่อไปเช่นนี้อีก ข้าจะคืนชีพได้อย่างไรกัน?

“ภารกิจประจำวัน: จงจัดงานอีเว้นท์วิ่งเปลื้องผ้าที่เป็นที่สะกดสายตาประชาชีขึ้นซะ ยิ่งมีผู้ร่วมวิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งมีคนดูมากเพียงใด ยิ่งมีเสียงกริ๊ดมากเท่าใด ค่าตอบแทนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!”

เมื่อเห็นภารกิจนี้ข้าก็ตกลงสู่ห้วงความคิด เนื่องด้วยภารกิจในช่วงที่ผ่านนี้นั้นล้วนแต่โหดเหี้ยมอำมหิตเกินไป จนข้าต้องยอมแพ้ไม่ทำภารกิจเหล่านั้น ฉะนั้น ภารกิจที่เหมือนตลกร้ายนี่ย่อมเป็นเหมือนดั่งฝนยามหน้าแล้งสำหรับข้า

“ท่านค่ะ บางทีครั้งนี้พวกเราควรจะร้องขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นนะคะ”

หลังจากที่รู้ว่า ภารกิจของข้าครั้งนี้เป็นเช่นไร อิลิซ่าก็กล่าวเช่นนั้นออกมา

ข้าที่เห็นด้วยกับนาง ก็พยักหน้าตอบกลับไป ก่อนที่จะส่งค้างคาวสื่อสารของข้าออกไป...

“เจ้าวัวเฒ่า ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ชีวิตเจ้าดี๊ดีนิ ข้า ลิชโรแลนด์ มีบางสิ่งอยากให้เจ้าช่วยเหลือหน่อย ข้าได้ข่าวมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับพันธมิตรดรูอิดป่าถือว่าไม่เลวเลยนิ เอาล่ะ เรื่องมีอยู่ว่า...”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด