ตอนที่แล้วเล่มที่ 3 บทที่ 8
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 4 บทที่ 1

เล่มที่ 3 บทที่ 9


  

บทที่ 9 ทักษะปรุงยาที่สาบสูญ

“เจ้าหนูนั่นมัวทำอะไรอยู่?”

ย้อนกลับไปขณะที่หยางอี้ใช้ความคิดในการเปรียบเทียบตำรับยา ภายในโต๊ะของระดับสูงต่างพูดคุยวิจารณ์กันสนุกปาก เตียลี่ยี้ขมวดคิ้วแน่นภายในใจยิ่งมายิ่งสงสัย หรือเจ้าหนูนี่จะไม่ได้เรื่องจริงๆ แต่หากดูจากคุณภาพของยาระดับหนึ่งที่เขารับซื้อมาและหยางอี้เป็นคนปรุงขึ้นจริง ความเชี่ยวชาญในการปรุงยาของชายหนุ่มสมควรอยู่ในระดับสูง บางทีอาจจะเหนือกว่าซีเทียนเสียด้วยซ้ำ

“ท่านเตีย ทำไมหยางอี้ถึงยังไม่เริ่มล่ะ?”

ตู่ยี่หลงกล่าวถามออกมาอย่างสงสัย แต่กลับเป็นอู่จงเหยียนที่ตอบกลับมาแทน

“การปรุงยาในรอบแรกคือ ยาทลายฟ้า สิ่งที่ผู้เข้าร่วมต้องทำมี 2 อย่าง หนึ่งคือหาตำรับยาที่ถูกต้องจากกองวัตถุดิบพวกนั้น และสองคือการปรุงยาให้มีคุณภาพดีที่สุดออกมา จากที่ข้าเห็นรากโสมมังกรมีอยู่เพียง 70 ชิ้น ดังนั้นรอบนี้สมควรมีผู้ที่ปรุงยาทลายฟ้าออกมาได้เพียง 70 คน และจะถูกตัดออก 20 คนหลังจากวัดคุณภาพของยา”

อู่จงเหยียนหยุดพูดไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นผู้เยาว์คนหนึ่งเดินไปหยิบรากโสมมังกร

“ตอนนี้เหลือ 7 ชิ้นแล้ว เจ้าหนูนั่นต้องอยู่ในช่วงวิกฤตแล้ว”

จวบจนผ่านไปอีกครู่หนึ่งหยางอี้จึงเริ่มขยับตัว ทว่าผู้คนบนโต๊ะต่างส่ายหน้าถอนหายใจออกมาแล้ว

“ช้าเกินไป เด็กนั่นหมดหวังแล้ว ท่านเตีย ไหนท่านบอกว่าเขามีความสามารถ? เพียงหาตำรับยายังใช้เวลาขนาดนี้ สายตาท่านคงบกพร่องแล้ว”

ชายชราผู้นำของปราการอัคคีกล่าวออกมาเชิงเหน็บแนม แต่เตียลี่ยี้มิได้สนใจ เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับหยางอี้ มองอย่างไรเหตุผลที่เป็นเช่นนี้คงมีเพียงอย่างเดียว

“หรือว่าเขาไม่เคยปรุงยาระดับสอง?”

เตียลี่ยี้กล่าวขึ้นมากับตัวเองอย่างแผ่วเบา ทว่าก็มิอาจหลุดรอดการได้ยินของคนอื่นๆ ไปได้

“ฮ่าๆ ท่านพูดว่าอะไร ไม่เคยปรุงยาระดับสอง? แต่เมื่อครู่ไม่ใช่ท่านเพิ่งบอกว่ามีความสามารถ?”

“ฮึ่ม! พวกท่านดูด้วยตาตัวเองแล้วกัน นี่คือยาระดับหนึ่งที่เขาปรุงขึ้น”

เตียลี่ยี้ที่เริ่มรำคาญเสียงของปราการอัคคีและป้อมปฐพีจึงกล่าวขึ้นอย่างขัดใจ แล้วกวาดมือไปในอากาศ บนโต๊ะกลมจึงปรากฎขวดยาที่หยางอี้ปรุงขึ้นวางอยู่ ด้านในบรรจุไว้ด้วยยาสมานกระดูกสามเม็ด

สายตาของคนบนโต๊ะมองไปยังขวดยา คนอื่นๆมิได้สนใจกลับดูถูกขึ้นมาอีกครั้ง มีเพียงอู่จงเหยียนที่สงสัยในตัวหยางอี้จึงหยิบขวดยาขึ้นมาเปิดดู

“อะไร? ยาสมานกระดูก? ฮ่าๆ ท่านต้องล้อพวกข้าเล่นแล้ว แม้แต่ศิษย์ต่ำต้อยที่สุดของสำนักข้าก็สามารถปรุงได้กับอีแค่ยาสมานกระดูก เขาโอสถตกต่ำลงแล้วจริง....”

“หุบปาก!”

ผู้นำของปราการอัคคียังกล่าวไม่ทันจบประโยคเสียงของอู่จงเหยียนก็ตวาดออกมา ทำให้เขาเงียบปากในทันที ก่อนจะคิดได้ว่าปีนี้มีระดับสูงของสมาพันธ์มาด้วย ไม่ควรเสียมารยาท จึงรีบกล่าวออกมาอย่างสำนึกผิด

“ขออภัยท่านอู่ด้วย ข้าน้อยปากมากเกินไป”

อู่จงเหยียนหันมามองเขาอย่างเย็นชา แล้วจึงโยนขวดยาไปให้เขาก่อนจะหันกลับไปจ้องมองที่หยางอี้อย่างสนใจพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างแช่มช้า

“ข้ามิได้ตำหนิที่พวกเจ้าจะขัดแย้งกัน แต่การเป็นนักปรุงยาที่ดี เจ้าควรพินิจยาของคนอื่นให้ดีก่อนจะกล่าวอะไรออกมา เพราะมันจะเป็นการทำลายเกียรติของนักปรุงยาคนอื่นๆ มิใช่เพียงแค่ตัวเจ้าเท่านั้น”

อู่จงเหยียนไม่ได้สนใจคนอื่นๆอีกแต่จ้องมองไปยังหยางอี้แทน ตอนนี้รากของรากโสมมังกรชิ้นสุดท้ายถูกหยิบออกไปแล้ว ในสายตาของคนอื่นๆ หยางอี้หมดหนทางเข้าสู่รอบที่สองเรียบร้อยแล้ว ทว่าในสายตาของอู่จงเหยียนหยางอี้ยังพอมีหวัง เพราะยังมีอีกสองวิธีที่จะสามารถปรุงยาทลายฟ้าออกมาได้ แต่นั่นก็เป็นโอกาสหนึ่งในร้อยส่วนเท่านั้น เพราะวิธีทั้งสองนั้นกระทั่งระดับ 5 ใบหลิวเองยังไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ

ไม่รู้เมื่อใดที่ภายในหัวใจชายชรากลับคาดหวังในตัวชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นมา เดิมทีโอกาสนั้นสมควรเป็นศูนย์ทว่าหากมองจากความบริสุทธิ์ของยาสมานกระดูกแล้ว อาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะทำสำเร็จ แต่ก็ขึ้นอยู่กับไหวพริบและความสามารถของเขา

ส่วนคนอื่นๆภายในโต๊ะนอกจากอู่จงเหยียนที่เฝ้ามองหยางอี้อย่างพินิจและเตียลี่ยี้ที่เชิดคางอย่างผู้ชนะแล้ว คนอื่นๆต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ความบริสุทธิ์ของยานั้นสูงเกินไป แม้จะเป็นยาระดับหนึ่งแต่มั่นใจได้ว่าพวกเขาไม่สามารถปรุงยาที่มีความบริสุทธิ์ระดับนี้ขึ้นมาได้แน่นอน

ภายในเขตวัตถุดิบหยางอี้เริ่มสงบใจและครุ่นคิดทันที หลังจากตื่นตระหนกไปชายหนุ่มก็ได้แต่โทษตัวเองที่อ่อนประสบการณ์จนเกินไป มองวัตถุดิบในมือทั้ง 4 ชนิดแล้วจึงได้แต่ครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาวิธี เขาไม่มีทางยอมแพ้ทั้งแบบนี้แน่นอน

‘จะทำอย่างไรดี ยาทลายฟ้ามีสรรพคุณช่วยในการทะลวงระดับ สมุนไพรทั้ง 4 ในมือนั้นแบ่งเป็นหยิน 4 ส่วนและ หยาง 6 ส่วน แถมยังมีธาตุน้ำเข้มข้นเกินไป รากโสมมังกรนั้นเรียกได้ว่าเป็นหัวใจหลักของยาทลายฟ้า เพราะเป็นแกนพลังปราณและยังมีธาตุไฟอยู่ 3 ส่วนค้ำยันธาตุน้ำจากดอกกล้วยไม้วารีได้’

‘ตามที่อาจารย์ได้บันทึกไว้ดูเหมือนว่าจะมีอีกสองวิธีที่สามารถปรุงยาทลายฟ้าในตอนนี้ได้ วิธีแรกคือการเปลี่ยนตำรับยา วิธีนี้ยากเกินไป เพียงแค่มองตำรับยาให้ออกก็ทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากแล้ว จะไปเปลี่ยนตำรับยาได้อย่างไร เพราะต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้ในตัววัตถุดิบอีก ดังนั้นต้องลองใช้วิธีที่สอง นำสมุนไพรชนิดอื่นมาใช้แทน’

เมื่อคิดได้หยางอี้จึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเลือกสมุนไพรชนิดอื่นเพื่อใช้แทนรากโสมมังกรและเริ่มกวาดตามองหาอีกครั้ง หยางอี้ตัดวัตถุดิบระดับสองออกไปทั้งหมด เพราะชายหนุ่มยังไม่เชี่ยวชาญ เขาเลือกมองเพียงวัตถุดิบระดับหนึ่งเท่านั้นที่มีอยู่ในกองวัตถุดิบ

‘ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ข้าต้องการสมุนไพรอีกสองชนิดเพื่อเป็นแก่นพลังของยาทลายฟ้าและสะกดธาตุน้ำของดอกกล้วยไม้วารี’

หยางอี้กวาดตามองอีกครั้งอย่างครุ่นคิดก่อนจะมีแสงเป็นประกายในดวงตา เขาจึงเดินไปหยิบวัตถุดิบที่ต้องการ ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามนั้นผู้เข้าประชันสามารถปรุงยาขึ้นมากี่ครั้งก็ได้ และให้เลือกส่งยาเม็ดที่มีคุณภาพมากที่สุดออกมา ตอนนี้เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยาม หยางอี้มั่นใจว่าสามารถปรุงยาได้ 3 ครั้ง ชายหนุ่มจึงเดินไปหยิบสมุนไพรตามตำรับเดิมมาเพิ่มอีกสองชุด ก่อนจะเดินไปยังเตาหลอมยา

บนโต๊ะระดับสูงสายตาของเตียลี่ยี้และอู่จงเหยียนเป็นประกายทันทีเมื่อเห็นหยางอี้ขยับตัวในครั้งแรกหลังจากรับรู้ถึงความล้มเหลวในการหาตำรับยา ทว่านอกจากสองคนนี้แล้วคนอื่นต่างไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความคิดว่าชายหนุ่มจะสามารถปรุงยาทลายฟ้าออกมาได้

“เจ้าหนูนั่นคิดจะใช้วิธีนั้นจริงๆ แต่ทำไมเขาจึงเลือก หญ้าดารา กับ ดอกหงอนเพลิง แทนที่จะเป็นต้นอ่อนหน้าลิงล่ะ”

ความเป็นจริงนั้นตามที่อู่จงเหยียนกล่าวมาถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด ต้นอ่อนหน้าลิง เป็นสมุนไพรระดับสอง ใบของมันมีลักษณะคล้ายกับหน้าของลิง มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับรากโสมมังกรเพียงแต่ธาตุไฟของต้นอ่อนหน้าลิงนั้นเข้มข้นกว่าถึงสามเท่า! หากต้องการนำมาใช้แทนหยางอี้ต้องกลั่นเอาแก่นพลังงานของมันออกมาและแยกธาตุเหลวออกไปถึง 7 ส่วนจึงจะนำมาใช้ได้ ทว่าความเป็นจริงหยางอี้นั้นไม่รู้จักสมุนไพรชนิดนี้เลย หากเป็นเช่นนั้นคงง่ายมากสำหรับชายหนุ่ม

หยางอี้เลือกสมุนไพรระดับหนึ่งมาใช้เพราะเขาได้ศึกษาอย่างละเอียดจนเรียกได้ว่าเข้าใจถึง 8 ส่วนแล้ว อีกอย่าง หญ้าดาราหยางอี้เคยใช้เมื่อตอนอยู่ที่จวนเจ้าเมืองทำให้มีความคุ้นเคยอยู่บ้าง ดอกหงอนเพลิงเองก็มีเพียงธาตุไฟที่เข้มข้นเท่านั้น ที่ต้องทำเพียงกลั่นเอาธาตุเหลวออกมาบางส่วนเท่านั้น

“เจ้าเด็กนั่นจะปรุงยาอะไรกัน?”

“ท่านเตีย นั่นใช่ตำรับยาทลายฟ้าแน่รึ?”

ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างถามออกมาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน แม้จะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าพูดมากเกินไป ได้แต่หัวเราะร่ากับการกระทำของหยางอี้ แม้แต่ก่านเจินที่อยู่ข้างเตียลี่ยี้เองก็ได้แต่ส่ายหัว ผู้เยาว์คนอื่นๆยังคงทุ่มสมาธิแสดงฝีมือออกมาอย่างสุดความสามารถเพื่อหวังให้ต้องตาและเป็นที่พอใจของผู้อาวุโสระดับสูง โดยไม่รู้เลยว่าสายตาของผู้อาวุโสนั้นล้วนจับจ้องไปยังคนเพียงคนเดียวมานานแล้ว ไม่ว่าจะทั้งคาดหวัง ให้กำลังใจ อิจฉา หรือแม้แต่ดูถูกเหยียดหยัน

เมื่อเห็นว่าหยางอี้เริ่มคัดแยกส่วนผสมและนำใส่ลงในเตาหลอม ทุกคนจึงเงียบลงและรอดูผล ก่อนที่เตียลี่ยี้จะแค่นเสียงออกมาเบาๆ

“ฮึ่ม! พวกเจ้ารอดูไปเถอะ”

ภายในบริเวณเตาหลอมที่ 30 หยางอี้ยืนพินิจมองดูเตาหลอมอย่างเคร่งเครียด วัตถุดิบแต่ละชนิดถูกใส่เข้าไปภายในเตาหลอม ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะทำสมาธิ นี่เป็นครั้งแรกที่หลอมยาระดับสอง หยางอี้รู้ดีกว่ายากกว่าการหลอมยาระดับหนึ่งมาก

‘เวลามีไม่มากแล้ว หวังว่าจะไปได้ดี’

หยางอี้เริ่มถ่ายพลังปราณกระตุ้นการทำงานของเตาหลอมทันที อักขระที่ถูกสลักไว้เริ่มส่องแสงจางๆ วัตถุดิบด้านในเริ่มสั่นไหว เปลวเพลิงของชายหนุ่มถูกถ่ายเข้าไปภายในเตาหลอมอย่างรวดเร็ว

ซู่วว ซู่ว

ด้วยความรวดเร็วเปลวเพลิงเริ่มเผาไหม้สมุนไพรชนิดแรก การควบคุมเปลวเพลิงของหยางอี้นั้นอยู่ในระดับสูงจนน่าตกใจ เพียงแต่ทุกอย่างนั้นอยู่ภายในเตาหลอมผู้คนภายนอกจึงมิอาจมองเห็นได้ต่อให้เป็นอู่จงเหยียนเองก็ตาม แต่หากเป็นเพียงเสียงการเผาไหม้นั้นย่อมสามารถได้ยินได้อย่างแน่นอน

สมุนไพรชิ้นแรกถูกเปลวเพลิงของหยางอี้เผาไหม้อย่างรวดเร็วตามวิถีการปรุงยาของกู่เทียนชาง ขั้นแรกคือ การกลั่น หยางอี้มีความชำนาญในการปรุงยาระดับหนึ่งค่อนข้างสูง ดังนั้นการกลั่นสมุนไพรระดับ 2 เองก็ยังไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก ก้านและดอกของสมุนไพรถูกกลั่นอย่างรวดเร็วจนหลงเหลือเพียงของเหลวก้อนเท่าหัวแม่มือลอยอยู่ภายในเตาหลอม

หยางอี้บังคับลมปราณให้ประคองแก่นเหลวของสมุนไพรไว้ก่อนจะถ่ายเปลวเพลิงเข้าไปภายในเตาหลอมทันทีเพื่อเข้าสู่กระบวนการที่สอง การเผาไหม้ กระบวนการนี้แน่นอนว่าคือสิ่งที่ชายหนุ่มชำนาญมากที่สุด เพียงพริบตาเปลวเพลิงได้เผาทำลายสิ่งเจือปนที่ไม่บริสุทธิ์ออกไปจนหมด หลงเหลือเพียงก้อนของเหลวบริสุทธิ์ลอยอยาตรงกลางเตาหลอม

“ฟู่วว เห็ดพลังหยางเรียบร้อย ต่อไปก็เห็ดพลังหยิน”

ซู่วววว

หยางอี้ยังคงทุ่มสมาธิกับการจัดการสมุนไพรชนิดต่อไป แต่อู่จงเหยียนและเตียลี่ยี้ที่เฝ้ามองชายหนุ่มอยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ

‘เร็วมาก อย่าบอกว่าเขาจัดการสมุนไพรแรกเสร็จแล้ว?’

ทั้งสองคนต่างอุทานในใจอย่างพร้อมกัน ตั้งแต่เสียงการเผาไหม้ซึ่งเป็นขั้นตอนที่หนึ่งจนถึงเสียงเผาไหม้ครั้งที่สองนั้นผ่านไปเพียง 20 ลมหายใจ นั่นหมายถึง หยางอี้สามารถกลั่นและเผาไหม้เอาแก่นเหลวบริสุทธิ์ออกมาด้วยเวลาเพียงขั้นตอนละสิบลมหายใจเท่านั้น! ความเร็วนี้น่าตกตะลึงเกินไป ต่อให้แก่นเหลวนั้นมีความบริสุทธิ์เพียงสองหรือสามส่วนก็นับว่ามีพรสวรรค์มากแล้ว

นี่คือความคิดของทั้งสองคน แต่ถ้าหากพวกเขารับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของแก่นเหลวภายในเตาหลอมนั้นคงจะหน้ามืดจนเป็นลมไปแน่นอน เพราะแก่นเหลวภายในเตาหลอมของหยางอี้นั้นมีความบริสุทธิ์อยู่ที่ระดับ 7! และนี่เป็นเพราะมันคือครั้งแรกที่หยางอี้กลั่นเห็ดพลังหยางเป็นครั้งแรก รวมถึงความเคยชินในการใช้เพียงสิบลมหายใจเพื่อเผาไหม้แก่นเหลวตามคำสอนของเสี่ยวเฮย

ผ่านไปหนึ่งร้อยลมหายใจแล้ว หยางอี้มาถึงกระบวนการสำคัญแล้ว ตอนนี้แก่นเหลวภายในเตาหลอมที่ลอยอยู่ตรงกลางคือก้อนของเหลวสีทองที่กลั่นออกมาจากหญ้าดารา พลังงานของหญ้าดารานั้นน้อยกว่าของรากโสมมังกรอยู่หนึ่งส่วน ดังนั้นหยางอี้ต้องเผาสิ่งเจอปนออกไปให้ได้ความบริสุทธิ์ออกมาอย่างน้อย 8 ส่วน จึงจะสามารถใช้แทนกันได้

หยางอี้ตั้งสมาธิเต็มที่แล้วจึงเริ่มกระตุ้นเปลวเพลิงให้ไหลไปตามอักขระของเตาหลอมเพื่อเริ่มเผาสิ่งเจอปนออกไป ขั้นตอนนี้จะผิดพลาดไม่ได้ แม้แก่นเหลวก้อนอื่นๆ จะมีความบริสุทธิ์อย่างน้อยระดับ 7 และมีบางอันสูงถึงระดับ 8 ทว่าตอนนี้มันต่างกันมาก เพราะก้อนอื่นๆ นั้นเป็นไปตามตำรับของยาทลายฟ้า ดังนั้นความบริสุทธิ์สูงถึงระดับ 5 ก็ยอดเยี่ยมแล้ว ระดับที่หยางอี้ทำได้นั้นเกินเลยไปมาก ทว่ากับแก่นเหลวของหญ้าดารานั้นต้องทำให้ออกมาอยู่ในระดับ 8 เป็นอย่างน้อย นั่นคือข้อจำกัด!

แม้หยางอี้จะมีความชำนาญในการกลั่นสมุนไพรระดับหนึ่งทว่าด้วยการมีข้อจำกัดเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มกดดันไม่น้อย หยางอี้สูดหายใจเข้าลึกและตั้งสมาธิเต็มที่เริ่มกระบานการเผาไหม้ทันที ครั้งนี้หยางอี้ตั้งใจทำอย่างช้าๆ ค่อยๆกระตุ้นเปลวเพลิงเผาแก่นเหลวทีละส่วนๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่สนใจความเร็วสิบลมหายใจแล้ว

ขณะที่หยางอี้กำลังยุ่งอยู่กับกระบวนการเหล่านั้น ภายในโต๊ะของระดับสูงชายชราเหล่านั้นเริ่มมือไม้สั่นกันแล้ว การกระทำของหยางอี้ที่บ่งบอกออกมาผ่านเสียงการเผาไหม้ของสมุนไพรนั้นรวดเร็วมาก แถมยังสำเร็จอีกด้วย เพราะหากล้มเหลวจะต้องมีควันสีดำลอยออกมาจากเตา แม้ว่าจะไม่รู้ถึงความบริสุทธิ์ทว่าก็ยังน่าตกใจอยู่ดี บางคนนั้นตื่นเต้น บางคนนั้นสาปแช่ง ทว่าสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอคอยก็คือกระบวนการสุดท้าย หลอมรวม ถ้าหากหยางอี้ทำออกมาสำเร็จนี่จะถือว่าเป็นการกำเนิดขึ้นของยอดอัจฉริยะอย่างแน่นอน

ตอนนี้ทุกคนต่างจับจ้องไปยังชายหนุ่มอย่างไม่คลาดสายตา เสียงพูดคุยแดกดันก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนล้วนเฝ้ารอผลของการปรุงยาครั้งนี้อย่างตื่นเต้น

ผ่านไป 20 ลมหายใจ แม้จะใช้เวลามากกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัว แต่ในที่สุดหยางอี้ก็สามารถสร้างแก่นเหลวบริสุทธิ์ของหญ้าดาราออกมาได้ในระดับ 9 !

“ฟู่วว เหลืออย่างสุดท้ายแล้ว ต้นอ่อนหน้าลิง สิ่งที่ยากที่สุดในการปรุงยาครั้งนี้”

หยางอี้ค่อยๆ ใช้พลังปราณบังคับนำแก่นเหลวของหญ้าดาราออกไปไว้ด้านล่างของเตาหลอมเหมือนๆกับก้อนอื่นๆ ก่อนจะนำดอกไม้ที่มีลักษณะเหมือนใบหน้าของลิง ขึ้นมาตรงกลางเตาหลอมและเริ่มกลั่นทันที

ฟู่วววว

สมุนไพรที่เหมือนใบหน้าลิงก็เริ่มละลายสลายไปในอากาศหลงเหลือเพียงก้อนของเหลวสีแดงเพลิงลอยอยู่ตรงกลางเตาหลอม พลังความร้อนของธาตุไฟเข้มข้นเป็นอย่างมาก หยางอี้มีความกดดันเพิ่มอีกหลายส่วนเพราะขั้นตอนของแก่นเหลวต้นอ่อนหน้าลิงนั้นไม่ใช่ความบริสุทธิ์ที่คือข้อจำกัด แต่ส่วนสำคัญคือการสลายพลังธาตุเหลวของธาตุไฟให้เจือจางลงเหลือเพียงหนึ่งใน สามส่วน

เปลวเพลิงของหยางอี้ถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้งไหลเวียนผ่านอักขระที่ถูกสลักไว้ภายในเตาหลอมเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมการทำงานภายในเตาอย่างช้าๆ ก่อนจะพุ่งเข้ามาล้อมรอบก้อนของเหลวสีแดงตรงกลาง หยางอี้กระตุ้นเปลวเพลิงอีกครั้งให้ร้อนแรงกว่าเดิม เนื่องจากการทำให้ธาตุไฟระเหยออกไปนอกจากใช้พลังหยินที่ตรงกันข้ามก็ต้องใช้พลังหยางที่แรงกว่าเท่านั้น

ใบหน้าของหยางอี้เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นอย่างช้าๆ สมาธิทั้งหมดพุ่งไปยังการบังคับให้ธาตุไฟในแก่นเหลวต้นอ่อนหน้าลิงเจือจางลง ก้อนของเหลวสีแดงเพลิงเริ่มมีสีอ่อนลงอย่างช้าๆ พลังงานความร้อนแผ่ออกมาก็ค่อยลดลงเช่นกัน จนผ่านไป 30 ลมหายใจ หยางอี้จึงเจือจางธาตุไฟลงได้เหลือเพียงหนึ่งในสามและเริ่มเผาไหม้มันอีกครั้งเพื่อขจัดสิ่งเจอปนออก

“ฟู่วว เรียบร้อย น่าเสียดายที่มีความบริสุทธิ์ระดับ 6 เท่านั้น”

หากมีนักปรุงยาคนอื่นได้ยินคำพูดนี้ของหยางอี้คงอยากจะกระโจนเข้ามาทุบตีชายหนุ่มให้พิการเป็นแน่ ต้องรู้ว่าแม้แต่ผู้อาวุโส 7 ใบหลิวอย่างอู่จงเหยียนนั้นก็กลั่นได้ความบริสุทธิ์สูงสุดแค่ระดับ 7 เท่านั้น และนั่นยังเป็นสถิติสูงสุดอีกด้วยไม่ใช่เป็นมาตราฐานทั่วไปของเขา

และแล้วก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการปรุงยา หลอมรวม! การนำแก่นเหลวทุกอย่างภายในเตาหลอมยาเข้ามารวมกันและใช้พลังปราณกับเปลวเพลิงบีบอัดจนกลายเป็นเม็ดยา หยางอี้ไม่รอช้าและลงมือทันที แก่นเหลวทีละชนิดถูกพยุงด้วยลมปราณให้ลอยขึ้นมากลางเตาหลอมตามลำดับตำรับยาของกู่เทียนชาง โดยเริ่มจากการรวมแก่นเหลวหญ้าดาราและต้นอ่อนหน้าลิงเป็นอันดับแรกเพื่อใช้แทนแกนหลักของยาทลายฟ้าอย่างรากโสมมังกรที่ขาดไป

แม้จะเป็นครั้งแรกก็ตามแต่กระบวนการทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น หยางอี้เริ่มชักนำแก่นเหลวก้อนอื่นๆเข้ามาหลอมรวมกับแกนกลางอย่างช้าๆ ของเหลวภายในเตาหลอมเริ่มส่องแสงสีฟ้าจางๆออกมา ก่อนจะรวมกันอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าของหยางอี้กลายเป็นตื่นเต้นอย่างมากเช่นเดียวกับอู่จงเหยียนและเตียลี่ยี้ที่จับการเคลื่อนไหวของพลังงานภายในเตาของหยางอี้อยู่ตลอดเวลา

“ขั้นตอนสุดท้าย ไป!”

หยางอี้กระตุ้นเปลวเพลิงจนถึงขีดสุดพร้อมกับถ่ายพลังปราณเข้าไปภายในเตาหลอมเพื่อบีบอัดให้แก่นเหลวสีฟ้าควบแน่นกลายเป้นเม็ดยา ทว่าวินาทีที่หยางอี้อัดพลังปราณเข้าไปภายในเตาหลอมนั้นอยู่ๆ เตาหลอมก็เกิดสั่นขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งและดูดเอาพลังปราณของหยางอี้ที่ถ่ายเข้าไปจนหมดก่อนจะหยุดลงพร้อมกับเสียงปุ ! และควันสีดำเหม็นไหม้ที่ลอยออกมาจากเตาหลอมยาของหยางอี้

“ข้าล้มเหลว?”

ฟู่วววว

ควันดำพร้อมกับกลิ่นไหม้ลอยขึ้นเหนือเตาหลอมของหยางอี้ จนกลายเป็นจุดสนใจของผู้อื่นในทันที ชายหนุ่มยังคงจ้องมองเข้าไปภายในเตาหลอมอย่างงุนงง ก่อนจะหยิบกากยาสีดำไหม้ออกมาจ้องมองอย่างสงสัย

“เห็นได้ชัดว่าข้าควรจะปรุงยาออกมาสำเร็จ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้”

หยางอี้ยิ่งมายิ่งสงสัย ความรู้สึกและสัมผัสของเขาบ่งบอกอย่างแน่แท้แล้วว่าการปรุงยาครั้งนี้จะต้องสำเร็จแน่นอน ทว่าในตอนสุดท้ายนั่นความรู้สึกประหลาดที่อยู่ๆ พลังปราณกลับหายไปในตอนสุดท้ายนั่นคืออะไร

ภายในโต๊ะของระดับสูง คนของ 3 สำนักใหญ่ต่างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่หยางอี้ปรุงยาไม่สำเร็จ ก่อนที่แต่ละคนจะผลัดเปลี่ยนกันเอ่ยถ้อยคำวิจารณ์ออกมา หากไม่ติดว่าอู่จงเหยียนนั่งอยู่ตรงนี้ป่านนี้พวกเขาคงหัวเราะร่าตอกย้ำเตียลี่ยี้ไม่หยุดแล้ว

“เห้อ คนหนุ่มนั้นรีบร้อนเกินไป วิธีปรุงยาแบบนั้น ใช้ไม่ได้ๆ”

“ถูกแล้ว ท่านเตียควรสั่งสอนเขาให้ดี อนาคตอาจพอจะใช้ได้อยู่บ้าง”

“อย่างไรก็เถอะ ปีนี้วิหารสวรรค์ทำไมถึงส่งคนที่ปรุงยาระดับ 2 ยังไหม้ เข้าร่วมการประชัน ข้าล่ะสงสัยจริงๆ”

เตียลี่ยี้นั้นไม่ได้สนใจคำเสียดแทงพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันไปสบตากับอู่จงเหยียน ราวกับสิ่งที่พวกเขาคิดนั้นเป็นเหมือนกัน การปรุงยาของหยางอี้นั้นพวกเขาเพ่งสมาธิสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวภายในเตาหลอมตลอดเวลา กระทั่งตอนสุดท้ายนั้นหัวใจของพวกเขาเต้นถี่ไปด้วยความตื่นเต้นแล้วด้วยซ้ำ ชายชราทั้งสองต่างมั่นใจว่าการปรุงยาของหยางอี้สำเร็จอย่างแน่นอน

ทว่าจู่ๆกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในเตาหลอมและทำให้การปรุงยาล้มเหลวในที่สุด เรื่องนี้เหมือนจะมีกลิ่นตุๆ แล้ว ทว่าทั้งสองเองก็ยังไม่มั่นใจเช่นกันว่าเป็นเพราะชายหนุ่มผิดพลาดเองหรือเกิดเหตุแทรกซ้อน

หยางอี้โยนกากดำ ๆ ในมือทิ้งไปก่อนจะ เริ่มทำความสะอาดเตาหลอมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปรุงยาชุดที่สอง แม้จะสงสัยอย่างมาก แต่ตอนนี้เวลาเหลือไม่มากแล้ว หยางอี้จึงต้องโยนเรื่องนี้เอาไว้ทีหลัง อาจเป็นเพราะชายหนุ่มปรุงยาระดับสองครั้งแรกจึงพาลคิดว่าเป็นความผิดพลาดของตัวเอง ทว่าการปรุงยาครั้งที่สองชายหนุ่มก็ตั้งสมาธิสังเกตเตาหลอมไปด้วยขณะเริ่มปรุงยา

เนื่องจากการประชันโอสถนั้นเป็นเวทีแข่งขันของอัจฉริยะนักปรุงยามารวมตัวกัน แม้จะไม่ถึงกับเป็นอัจฉริยะก็เรียกได้ว่ามีทักษะและความชำนาญในระดับสูง การปรุงยาล้มเหลวนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หากให้ถูกต้องคือทุกคนล้วนเข้าใจถึงตำรับยาทลายฟ้าทั้งหมด เพียงแต่การมองออกช้าเร็วนั้นเป็นตัวตัดสิน ส่วนคนที่พลาดโอกาสเช่นหยางอี้ก็จะหันมาปรุงยาที่ตนเองถนัดแทน เพื่อเป็นการโชว์ความสามารถให้กับผู้อาวุโสระดับสูงเห็น

ดังนั้นหลายสิบปีที่ผ่านมานี้หยางอี้เป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่ปรุงยาล้มเหลวจนกลิ่นไหม้คละคลุ้งไปหมด โชคยังดีที่หยางอี้เป็นคนของสำนักใหญ่และคนรอบข้างก็ยุ่งอยู่กับการปรุงยาของตัวเองจึงมิได้มีเวลามาซ้ำเติมชายหนุ่ม ทว่าก็เป็นเพียงการเก็บไว้ในใจเท่านั้น รอให้หมดเวลาก่อนแน่นอนว่าชายหนุ่มจะต้องกลายเป็นตัวตลกของงานนี้อย่างแน่นอน

ภายในมุมมืดของซุ้มวิหารสวรรค์ เฉินซิมองดูผลงานตนเองอย่างพอใจ พร้อมกับหัวเราะออกมา และเมื่อเห็นหยางอี้เริ่มที่จะปรุงยาอีกครั้ง ปากของเขาก็พลันคลี่ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย แววตามีความปีติที่ปิดไม่มิด

“เจ้าโง่ หากเจ้าปรุงยาอีกครั้งละก็.... ฮี่ๆ ดูเหมือนสวรรค์ช่างเข้าข้างข้าเสียจริง”

เฉินซิพอใจกับแผนการเป็นอย่างมาก เดิมทีคิดว่าหยางอี้ต้องอับอายและถอนตัวออกจากการปรุงยา ทว่าหากชายหนุ่มยังปรุงยาต่ออีกครั้ง ผลที่ออกมามันก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว

หยางอี้รวบรวมสมาธิอีกครั้งก่อนจะเริ่มกลั่นสมุนไพรภายในเตาหลอม กระบวนการทุกอย่างเริ่มขึ้นอีกครั้ง จากชิ้นแรกไปชิ้นที่สอง และต่อไปจนถึงชิ้นสุดท้ายคือต้นอ่อนหน้าลิง หลังจากผ่านการกลั่นมาแล้วครั้งหนึ่งรวมกับความผิดพลาดก่อนหน้านี้ ด้วยสมาธิและความตั้งใจที่มากขึ้น ทำให้หยางอี้สามารถสร้างแก่นเหลวบริสุทธิ์ระดับ 8 ได้ทั้ง 6 ก้อน

“ครั้งนี้จะต้องสำเร็จ”

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งและเริ่มหลอมรวมก้อนเหลวทั้ง 6 เข้าด้วยกัน ทุกอย่างเป็นดั่งภาพที่ฉายซ้ำ ก้อนแก่นเหลวค่อยๆสมานเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ หยางอี้ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายอีกครั้ง พลังปราณกับเปลวไฟของชายหนุ่มถูกถ่ายเข้าไปภายในเตาหลอมอย่างช้าๆ อย่างระมัดระวัง

เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปได้สวยหยางอี้ก็เพ่งสมาธิไปยังส่วนสุดท้าย คือการอัดพลังปราณเข้าไปเพื่อให้แก่นเหลวแข็งตัวเป็นเม็ดยา

‘ต้องสำเร็จ!’

ชั่วพริบตาที่อัดพลังปราณเข้าไป เตาหลอมเริ่มสั่นอีกครั้ง นี่เป็นเหมือนกับครั้งที่แล้วไม่มีผิด พลังปราณภายในเตาอยู่ๆก็หายไปเหมือนก่อนหน้านี้ ขณะที่หยางอี้ขมวดคิ้วทอดถอนใจเสี่ยวเฮยก็ตะโกนออกมาทันทีจนชายหนุ่มสะดุ้ง

“เจ้าหนูรีบห่างจากเตาเร็วเข้า!”

หยางอี้นั้นเชื่อใจเสี่ยวเฮยอยู่แล้ว ทันทีที่ได้ยินเขาก็รีบใช้ออกด้วยท่าเท้าถอยห่างจากเตาหลอมไป 10 เมตรในทันที และพร้อมๆกับที่เท้าของหยางอี้สัมผัสพื้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้น

ปัง!

ฝุ่นควันกระจายฟุ้งไปทั่วลานกว้าง เตาหลอมของหยางอี้ระเบิดออกจนเป็นเสี่ยงๆ กระจายไปทั่วจัตุรัส 5 เมตรของลำดับที่ 30 โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ หยางอี้หน้าซีดเผือดทันที หากว่าไม่ได้เสี่ยวเฮยร้องเตือนเกรงว่าชายหนุ่มจะต้องบาดเจ็บไม่น้อย

“เกิดอะไรขึ้น! บัดซบมีคนทำเตาหลอมระเบิด?”

“ตัวบัดซบใดกันที่ทำเตาหลอมระเบิดแล้วยังกล้าเข้าร่วมงานนี้”

“เป็นคนของสำนักวิหารสวรรค์ คนเดียวกับที่ปรุงยาไหม้ก่อนหน้านี้”

“พรืดดด โอ้ยย ปีนี้วิหารสวรรค์เป็นเจ้าภาพมิใช่หรือ? ข้าคิดว่าเป็นตัวตลกเสียอีก ฮ่าๆ คิดยังไงถึงส่งสารเลวนี่เข้าร่วม”

เสียงด่าทอและเหยียดหยันดังขึ้นในทันที ผู้คนต่างหัวเราะกันสนุกปาก ส่วนพวกที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็กัดฟันกรอดแล้วก่นด่าชายหนุ่มไม่หยุด เพราะความตกใจจึงทำให้พวกเขาปรุงยาครั้งที่สองล้มเหลวไปด้วย ก่อนหน้านี้ที่หยางอี้นำกากดำออกมาจากเตาผู้คนยังคงกลั้นหัวเราะไว้ได้เพราะเป็นคนของสำนักใหญ่ ทว่าตอนนี้กระทั่งทำเตาระเบิด ไม่มีใครกลั้นอยู่แล้ว!

ผู้อาวุโสระดับสูงลุกยืนขึ้นทันทีก่อนที่อู่จงเหยียนจะกล่าวออกมาเพื่อจัดการความวุ่นวายตรงหน้าผู้คนจึงได้สงบลงและเริ่มปรุงยาต่อ ผู้นำของ 3 สำนักต่างมีสีหน้าประหลาดใจไม่ได้เยาะเย้ยออกมาตามคาด ส่วนเตียลี่ยี้ก็หายตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว

“ผู้อาวุโสอู่ เกิดอะไรขึ้น ข้ารู้สึกว่าที่เตาระเบิดไม่ได้เป็นเพราะเจ้าหนูนั่นผิดพลาดในครั้งที่สอง”

ก่านเจินกล่าวออกมาอย่างสงสัย เขาเองก็ลอบจับตาหยางอี้อยู่เช่นกัน เพราะเห็นว่าเตียลี่ยี้ให้ความสำคัญกับชายหนุ่มขนาดนั้น

“เตาหลอมของเจ้าหนูนั่นถูกติดยันต์ดูดซับเอาไว้”

“ยันต์ดูดซับ? เป็นใครกันที่กล้าบังอาจทำเช่นนี้”

“รอให้ท่านเตียกลับมาก็จะรู้เอง”

ทั้งคู่สนทนากันโดยไม่ปิดบังทำให้คนอื่นๆได้ยินด้วย ตู่หลินที่สงสัยจึงถามบิดาออกมา ตู่ยี่หลงจึงอธิบายว่า ยันต์ดูดซับคืออาวุธชนิดหนึ่งซึ่งถูกลงอักขระไว้เพื่อทำหน้าที่ดูดซับพลังปราณ และเมื่อดูดซับจนถึงขีดจำกัดของมันแล้วจะเกิดการระเบิดขึ้น แต่อาวุธประเภทยันต์นั้นไม่เป็นที่นิยมแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าหายไปจากยุคแล้วตั้งแต่มีการพัฒนาค่ายกลขึ้นมา

เฉินซิหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นสภาพของหยางอี้ แม้ว่าหยางอี้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ว่าแค่นี้ก็ช่วยระบายความโกรธให้มันได้แล้ว ด้วยชื่อเสียงที่ย่อยยับของหยางอี้ทำให้เฉินซิมีความสุขอย่างมาก โดยไม่รู้เลยว่าแผนอันสมบูรณ์แบบของเขาได้มีความผิดพลาดใหญ่หลวงอยู่ นั่นคือการที่ผู้อาวุโสระดับสูงจับตาดูหยางอี้ และหัวเราะออกมาได้ไม่กี่ลมหายใจด้านหลังของเขาก็เย็นยะเยือก เพราะการปรากฏตัวของเตียลี่ยี้

ไม่ทันได้ร้องออกมาเฉินซิก็สลบเหมือดไปเรียบร้อย เตียยี่ลี้จึงลากร่างของเขาไปตามพื้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังเขตของหยางอี้ เตียยี่ลี้โยนร่างของเฉินซิออกไปด้านหน้าหยางอี้ ก่อนจะกล่าวอธิบายออกมาอย่างดังกังวาน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจ ทว่ากลับมีจำนวนมากที่ไม่เชื่อและคิดว่าสำนักวิหารสวรรค์เพียงกุเรื่องขึ้นมาเพื่อรักษาหน้า

หยางอี้ที่ได้รับความมั่นใจกลับมาก็มองไปยังร่างไร้สติของเฉินซิด้วยสายตาเย็นเฉียบ สารเลวนี่ได้มาถึงอายุไขของมันแล้ว รอให้จบการประชันก่อนเถอะ หยางอี้ยังคงไม่ยอมแพ้เพราะเวลายังคงเหลืออยู่แม้จะเฉียดฉิวก็ตามทีแต่ก็ยังคงปรุงยาได้อีกเตาหนึ่ง

แต่เมื่อเตียลี่ยี้จะให้คนนำเตาหลอมใบใหม่มาให้หยางอี้ ผู้มีอำนาจและผู้เข้าร่วมประชันหลายคนกลับไม่ยินยอม สถานการณ์กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง เสียงด่าทอหยางอี้ดังขึ้นไม่หยุด ผู้คนต่างหาว่าหยางอี้จะโกงเกินไปแล้ว เป็นนักปรุงยาหากทำเตาหลอมระเบิดนั่นก็หมายถึงหมดสิทธิ์ไปแล้ว ยังจะมาเปลี่ยนเตาอะไรได้อีก วิหารสวรรค์ช่างหน้าไม่อายเสียจริง เรื่องที่กุขึ้นมานั้นใครจะไปเชื่อ แถมคนร้ายยังเป็นคนของตัวเองใครเชื่อก็โง่แล้ว!

เมื่อเริ่มมีคนตะโกนว่า เจ้าขี้โกง ขึ้นมาหลายครั้งเข้าหยางอี้จึงทนไม่ไหว สายตาของชายหนุ่มจ้องมองไปยังพวกนั้นอย่างเย็นชา ก่อนจะหลับตาลงราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง เสียงรอบด้านพลันเงียบลงไปสนิทเหลือเพียงภาพในหัวที่บรรยายถึงส่วนท้ายของตำราเทพโอสถเท่านั้น ยืนนิ่งอยู่ 10 ลมหายใจชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้นมาและกล่าวออกมาเสียงดัง

“ก็ได้!เช่นนั้นข้าก็จะไม่ใช้เตาหลอมใบใหม่ ข้าจะแสดงให้เต่าโง่พวกนี้ได้เห็นเอง ผู้อาวุโสเตียโปรดถอยกลับไปก่อน”

“ก็ได้! เช่นนั้นข้าก็จะไม่ใช้เตาหลอมใบใหม่ ข้าจะแสดงให้เต่าโง่พวกนี้ได้เห็นเอง ผู้อาวุโสเตียโปรดถอยกลับไปก่อน”

หยางอี้กล่าวออกมาด้วยโทสะเล็กน้อย แม้จะไม่ชอบใจอยู่บ้างที่คนพวกนี้ดูหมิ่น และกล่าววาจาไร้สาระพาดพิงถึงสำนัก หยางอี้นั้นคุ้นเคยกับการถูกเหยียดหยามมามากแล้ว ทว่าครั้งนี้กลับต่างกันเล็กน้อย สารเลวพวกนี้นอกจากหัวเราะเยาะแล้วยังกล่าวไร้สาระว่าเขาโกง? โกงกับผีเจ้าสิ ข้าต่างหากที่ถูกโกง และที่ทำให้ชายหนุ่มโมโหคือการที่กลุ่มคนพวกนี้ด่าทอเตียลี่ยี้ แม้จะไม่ได้สนิทสนม แต่หยางอี้ก็นับถือเตียลี่ยี้อยู่บ้าง อีกทั้งสิ่งสำคัญคือชายหนุ่มไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ คิดว่าเพียงแค่นี้จะทำให้เขายอมแพ้การประชันโอสถ?

ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือสวรรค์ดลใจ จากเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของผู้คน แต่เมื่อถึงช่วงที่หยางอี้กล่าวออกมาพวกนั้นต่างพากันพร้อมใจหยุดปากอย่างประหลาด เหตุนี้จึงทำให้ลานกว้างกลายเป็นเงียบสงบโดยฉับพลัน หลงเหลือไว้เพียงเสียงดังกังวานของชายหนุ่มที่กล่าวออกมาว่าจะไม่ใช้เตาหลอม?

ผู้คนกลายเป็นมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังกระหึ่มราวกับระเบิดขึ้นอีกครั้ง และตอนนี้ผู้เข้าร่วมเองก็หยุดมือกันทั้งหมด ทั้งร้อยกว่าคนนั้นเสร็จสิ้นเตาแรกแล้วจึงพักดูละครตลกของหยางอี้ (พระเอกปรุงไวจึงลิมิตที่ 3 เตา พวกเก่งๆได้ 2 เตา อ่อนได้ 1 เตา) ทุกคนต่างเริ่มซุบซิบนินทากันสนุกปาก

และแน่นอนว่าสามสำนักใหญ่กลายเป็นพันธมิตรกันขึ้นมาในทันที ตั้งแต่เรื่องปรุงยาไหม้ เตาระเบิด จนถึงเรื่องที่จะไม่ใช้เตาในการปรุงยา ถูกหยิบขึ้นมาพูดโจมตีไม่หยุดหย่อน ส่วนพวกซีเทียนก็ได้แต่กัดฟันกรอดกล้ำกลืนความอับอายพร้อมกับโกรธแค้นหยางอี้ เดิมทีเรื่องที่เฉินซิก่อขึ้นพวกมันก็ตกใจไม่น้อย แถมยังแอบเสียดายเสียด้วยซ้ำที่มันรอดมาได้ ซีเทียนอยากจะวางท่าเข้าไปกล่าวสั่งสอนหยางอี้เสียหน่อย ติดที่ว่าเตียลี่ยี้ยังอยู่

“ไม่ใช้เตา?”

“บัดซบ! เจ้ายังขายหน้าไม่พอ? ฮ่าๆๆ”

“สารเลวนี้ปรุงยายังไหม้ แถมเตาก็ระเบิด ยังกล้ากล่าวเช่นนี้อีก”

“ฮ่าๆ สำนักวิหารสวรรค์ช่างเป็นเจ้าภาพที่ดีจริงๆ นับถือๆ”

เสียงผู้คนกล่าวออกมาไม่หยุด เตียลี่ยี้นั้นยังไม่ได้กลับไปทว่าถอยห่างออกจากเขตปรุงยาของหยางอี้แล้วคอยดูอยู่ด้านข้าง

หยางอี้ตัดสิ่งรอบข้างออกทั้งหมดโดยไม่สนใจ ก่อนจะกล่าวกับเสี่ยวเฮยที่อยู่ภายในมิติ

“เสี่ยวเฮย เจ้าช่วยข้าประคองวัตถุดิบหน่อยได้หรือไม่”

“เจ้าจะลองมันจริงๆ? มันไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าหรอก แต่หากว่าผิดพลาดขึ้นมาเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ เจ้ายังจะทำมันอีกรึ”

เสียวเฮยตอบรับคำพร้อมกับกล่าวเตือนหยางอี้

“เจ้าคิดว่ามีความเป็นไปได้กี่ส่วนที่จะสำเร็จ”

“จากความสามารถโดยรวมของเจ้า มีโอกาศ 3 ส่วนที่เจ้าจะปรุงยาตามวิธีโบราณนั่นสำเร็จ”

“น้อยถึงเพียงนี้?”

หยางอี้หลับตาลงอีกครั้งเพื่อทบทวนบันทึกส่วนสุดท้ายของตำรา โอกาสสำเร็จนับว่าน้อยจริงๆ ทว่าหากเป็นคนอื่นคงไม่มีโอกาสแม้แต่ส่วนเดียวที่สำเร็จ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะหยางอี้เข้าใจซ่อนจันทร์ดับดาราในส่วนแรกอย่างถ่องแท้ (/เผื่อใครลืม ครึ่งแรกควบ ครึ่งหลังซ่อนเร้น) จึงทำให้การควบคุมพลังปราณของชายหนุ่มอยู่ในระดับสูงมาก รวมกับการควบคุมเปลวเพลิงได้ดั่งใจ จึงทำให้มีโอกาศ 3 ส่วนที่จะสำเร็จ

วิธีตามบันทึกนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เตาหลอมยา แต่หัวใจสำคัญก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกับการปรุงยาทั่วๆไป คือมี สามขั้นตอน ทว่าหยางอี้นั้นเข้าถึงความลึกซึ้งของวิถีการปรุงยานี้ไม่ถึง 1 ส่วนด้วยซ้ำ โอกาศสำเร็จ 3 ส่วนนี้ถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์แล้ว

เตาหลอมนั้นถูกลงอักขระและค่ายกลไว้ภายในเพื่อช่วยให้ขั้นตอนที่ซับซ้อนของการปรุงยาง่ายขึ้น ผู้ใช้เพียงถ่ายพลังปราณและเปลวไฟเข้าไปแล้วควบคุมการทำงานของมันก็สามารถปรุงยาได้แล้ว แต่หากปราศจากเตาหลอมแล้วกระบวนซับซ้อนทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องยากที่จะสามารถควบคุมได้

หยางอี้นึกถึงภาพบันทึกภายในตำราและพยายามทำความเข้าใจมันให้มากที่สุด ส่วนรายระเอียดนั้นเรียกว่าแทบจะไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ได้แต่ดัดแปลงเข้ากับวิธีการปรุงยาเดิมที่ใช้เตาหลอม โชคดีที่มีเสี่ยวเฮยอยู่ด้วยมิเช่นนั้นคงไม่สามารถทำได้แน่นอน เพราะปัญหาหลักนักปรุงยาจำเป็นต้องใช้เตาหลอมคือการควบคุม

เมื่อเป็นสมุนไพรชิ้นแรกย่อมไม่มีปัญหา เพียงใช้ลมปราณประคองมันขึ้นมาและกลั่นเอาแก่นเหลวออกมาก็เรียบร้อย แม้จะยุ่งยากแต่ก็ไม่ถือว่ายากเกินไป แต่พอมาชิ้นที่สองล่ะ แก่นเหลวนั้นไม่เหมือนหยดน้ำ หากไม่มีลมปราณคอยประคองไว้มันจะระเหยไปในทันที นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ค่ายกลภายในเตาหลอมคอยช่วยนักปรุงยา แต่เมื่อนึกถึงว่าไม่มีค่ายกลนั้นการที่นักปรุงยากลั่นสมุนไพรก็ใช้สมาธิมากพอแล้วดังนั้นหากต้องคอยประคองแก่นเหลวไปด้วยนั้นเป็นเรื่องยากอย่างมาก สองหรือสามครั้งอาจทำได้ แต่หากมากกว่านั้นพลังปราณและสมาธิที่ต้องใช้ก็ไม่เพียงพอแล้ว

หยางอี้เผยให้เห็นถึงแววตาแน่วแน่ ตอนนี้เสี่ยวเฮยก็ออกจากมิติและหลบซ่อนในอกเสื้อของหยางอี้แล้ว ชายหนุ่มไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป เสียงเยาะเย้ยยังคงดังมาไม่หยุด มือซ้ายของหยางอี้โบกสบัดไปยังสมุนไพรชิ้นแรกให้ลอยขึ้นกลางอากาศ อย่างช้าๆ

ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะโบกสบัดมือขวาปล่อยเปลวเพลิงออกไปในทันที เสียงฟู่วว ดังขึ้น การเผาไหม้เนื้อสมุนไพรเพื่อกลั่นแก่นเหลวเริ่มขึ้นแล้ว ผู้คนรอบข้างหุปปากเงียบกันในทันที แต่ก็ยังมีบางคนแค่นเสียงออกมาอย่างเย้ยหยัน สำหรับครั้งแรกนั้นไม่ใช่เรื่องยาก

สิบลมหายใจ แก่นเหลวถูกกลั่นออกมาเรียบร้อย ก้อนเหลวสีฟ้าครามลอยอยู่บนอากาศให้ทุกคนได้เห็น ตั้งแต่เริ่มผ่านไปสิบลมหายใจเท่านั้น ความเร็วนี้เป็นดั่งคำสั่งให้ทุกคนหุบปากในทันทีพร้อมกับเป็นสิ่งกระตุ้นผู้อาวุโสระดับสูงทุกคนบนโต๊ะด้วยเช่นกัน

หยางอี้ลอบสื่อสารกับเสี่ยวเฮยก่อนที่พลังปราณสายหนึ่งจะไหลออกมาประคองแก่นเหลวก้อนแรกไว้ และโดยไม่เสียเวลาสมุนไพรชิ้นที่สองถูกกลั่นต่อในทันที ผู้คนที่เคยดูถูกหยางอี้ไว้ตอนนี้หน้ามืดแทบเป็นลมแล้ว แม้จะเป็นขั้นตอนแรกของการปรุงยา ทว่าให้พวกเขาฝึกอีกสิบปีก็ไม่สามารถทำได้แน่นอน เบ้าตาของคนนับร้อยค่อยเบิกกว้างขึ้น ปากของพวกเขาอ้าค้างด้วยความตกตะลึง แม้แต่ผู้เข้าร่วมทุกคนยังต้องหยุดมือหันมามองหยางอี้ ตอนนี้ไม่ใช่การแข่งขันแล้ว แต่คือการเวทีให้หยางอี้ร่ายรำการแสดงอันสุดยอด

สอง สาม สี่... หก

แก่นเหลวหกก้อนลอยอยู่กลางอากาศโดยมีลมปราณของเสี่ยวเฮยคอยประคองอยู่ หยางอี้เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า แม้จะดูเหมือนง่ายและรวดเร็ว ทว่าการกลั่นแยกเอาแก่นเหลวออกมากลับใช้พลังปราณเป็นจำนวนมาก เพียงกลั่นออกมา 6 ชิ้นก็ใช้พลังปราณไปถึง 4 ส่วนแล้ว

‘ไอ้หนู ไหวหรือเปล่า’

‘สบายมาก’

‘อืม ขั้นต่อไปเจ้าค่อนข้างชำนาญไม่น่ามีปัญหา แต่อย่าได้สนใจระดับความบริสุทธิ์มากนัก ทำให้เร็วและใช้พลังปราณน้อยที่สุด เพราะขั้นสุดท้ายเจ้าไม่มีเตาหลอมคอยช่วยสะสมพลังปราณ ดังนั้นเจ้าต้องควบแน่นมันด้วยตัวเอง’

เสี่ยวเฮยกล่าวเตือนออกมา แล้วจึงบังคับแก่นแล้วก้อนแรกให้หยางอี้ทำการชำระมัน ขณะเดียวกันสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังชายหนุ่มผู้เป็นคนเดียวที่เคลื่อนไหวอยู่ในตอนนี้ อู่จงเหยียน เตียยี่ลี้ และคนอื่นๆ ต่างเฝ้ามองด้วยความตื่นเต้นโดยไม่คลาดสายตา โชคดีที่การแสดงของหยางอี้นั้นน่าตกตะลึงเกินไปจึงไม่มีผู้ใดสังเกตถึงลมปราณสายเล็กๆที่คอยประคองแก่นเหลวไว้

ฟู่ววว

ในขณะนั้นเองเสียงการเผาไหม้ก็เริ่มดังขึ้น แม้จะทำใจไว้แล้วทว่าผ่านไปสิบลมหายใจผู้อาวุโสทุกคนโดยเฉพาะอู่จงเหยียนและเตียลี่ยี้ต่างลุกพรวดขึ้นในทันที ปากของพวกเขาสั่นระริก หัวใจเต้นโครมครามอย่างมิอาจควบคุม

“น นั่นมันอะไร ข ข เขาทำได้อย่างไร”

“เพียง ส สิบ ลมหายใจ ค ความบริสุทธิ์ ร ระดับ 9!”

นี่กลายเป็นชนวนจุดเสียงระเบิดของผู้ชมอีกครั้ง แม้แต่อันดับหนึ่งและสองของปีที่แล้วอย่างพวกซีเทียนยังแทบจะเป็นลม เจ้ากลั่นแก่นเหลวบริสุทธิ์ระดับ 9 ออกมาได้อย่างไร? บัดซบเจ้าจะตบหน้าคนอื่นให้เบากว่านี้หน่อยได้ไหม? เพียงการแสดงของเจ้ายังทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่พออีกหรือไง

ไม่ทันให้ผู้คนได้ตั้งสติจากการกลั่นความบริสุทธิ์ครั้งแรก ครั้งที่สองก็เริ่มขึ้นทันที ครั้งที่สาม...ครั้งสุดท้าย

ตั้งแต่ครั้งสามเริ่มขึ้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเปล่งเสียงออกมาอีกแล้ว ความหยิ่งผยองของผู้คนบัดนี้ถูกชายหนุ่มผู้ที่พวกเขาดูถูกใช้การกระทำครั้งนี้บดขยี้ความภาคภูมิใจที่สั่งสมมาหลายสิบปีจนย่อยยับ แม้แต่พวกปรมาจารย์เองก็ไม่เว้น มีเพียงเหล่าผู้นำที่อยู่บนโต๊ะระดับสูงที่เฝ้ามองดูด้วยความตื่นเต้น ความเคลือบแคลงของสามสำนักนักใหญ่ได้หายไปแล้ว เพราะหากว่าหยางอี้ปรุงยาสำเร็จ เหตุการณ์ของวันนี้จะต้องถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน

“ผ่านมาหลายร้อยปีในที่สุด ในที่สุดสวรรค์ก็เมตตาส่งเจ้าหนูนี่มาที่จักรวรรดิเมฆาหวนของเรา”

เตียลี่ยี้กล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น เช่นเดียวกับคนอื่นๆ แม้ภายในจะคอยแก่งแย่งกันแต่พวกเขาต่างรู้ดี ว่านักปรุงยาของจักรวรรดิเมฆาหวนนั้นอ่อนแอและด้อยความสามารถมากที่สุดใน 5 จักรวรรดิ ตลอดหลายร้อยปีพวกเขาต้องโดนดูถูกมาไม่รู้กี่ครั้ง ถูกจักรวรรดิอื่นๆกดจนจมดิน หากแต่วันนี้ถึงแม้หยางอี้ทำไม่สำเร็จแต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะประกาศให้โลกรู้ถึงยุคแห่งความรุ่งเรื่องของเมฆาหวน!

ที่จัตุรัสปรุงยาของหยางอี้ แก่นเหลวบนริสุทธิ์ 6 ก่อนสีสันสวยงามลอยอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่ม น่าประลาดใจที่ครั้งนี้หยางอี้สกัดความบริสุทธิ์ของมันได้ระดับ 9 ทั้งหมด แม้จะไม่ได้พยายามใส่ใจกับเรื่องนี้ตามที่เสี่ยวเฮยบอกก็ตาม แผ่นหลังของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ขั้นตอนต่อไปนั้นคือการจัดการต้นอ่อนหน้าลิงให้สามารถใช้งานได้

ชายหนุ่มโบกสบัดมือคราหนึ่งก่อนที่แก่นเหลวสีแดงเข้มจะลอยออกมา และเริ่มถ่ายเปลวไฟเข้าไปควบคุมแก่นเหลวและเผาไหม้มันทันที ควมร้อนแผ่ออกมารอบริเวณ ขณะที่แก่นเหลวสีแดงเข้มเริ่มจางลงทีละนิดเมื่อธาตุเหลวระเหยออกไป

“ยอดเยี่ยม สามารถใช้วิธีนี้ในการแก้ไขสถานการณ์ได้”

“ที่ไม่ใช้ดอกหงอนเพลิง คงเป็นเพราะมันสามารถสกัดเอาความบริสุทธิ์ระดับสูงได้”

“ไม่ว่าจะอย่างไร ความสามารถของเด็กนี่ก็นับว่าเป็นพรจากสวรรค์แล้ว ยุคของตาแก่เช่นพวกเราได้จบลงแล้ว”

ผู้อาวุโสต่างพูดคุยกันเล็กน้อยในเชิงชื่นชมหยางอี้ แม้แต่อู่จงเหยียนก็กล่าวชมออกมาไม่หยุด นับว่าเขาโชคดีมากที่เดินทางไกลมาในครั้งนี้

ขณะที่ผู้คนพูดคุยกันหยางอี้ก็จัดการกับแก่นเหลวสีแดงเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ผู้คนต่างสูดหายใจลึกและเฝ้ารออย่างคาดหวัง

หยางอี้ยังคงไม่รีบร้อน พลังปราณในร่างตอนนี้เหลือเพียง 3 ส่วนเท่านั้น การฝืนหลอมยาโดยไม่ใช้เตานั้นกินพลังปราณเป็นจำนวนมาก หากไม่ใช่ว่าการควบคุมของชายหนุ่มไร้ที่ติแล้ว เกรงว่าจะทำได้เพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น ชายหนุ่มหยิบยาฟื้นฟูพลังปราณที่เคยปรุงไว้ก่อนหน้านี้ออกมาแล้วตบเข้าปากไปหนึ่งเม็ด แล้วจึงยืนโคจรพลังปราณภายใน ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ พลังภายในฟื้นฟูมาถึง 5 ส่วน หยางอี้จึงเพ่งพินิจตั้งสมาธิไปยังแก่นเหลวทั้ง 6 ก้อนอีกครั้ง

ฟู่ว...

หายใจเข้าลึกหนึ่งที ดวงตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ นี่เป็นครั้งแรกที่ลอง ภายในใจเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เรี่ยวแรงที่เคยหายไปพลันกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง สองมือเริ่มโบกสะบัดนำแก่นหญ้าดารามาเป็นจุดศูนย์กลางและจึงเริ่มหลอมรวมกับแก่นเหลวสีแดงเป็นอันดับแรก เพื่อให้มีคุณสมบัติของรากโสมมังกรที่เป็นวัตถุดิบที่ขาดไป

ถึงขั้นตอนนี้ดวงตาผู้อาวุโสกระจ่างวูปอีกครั้ง การกระทำของหยางอี้นั้นสมบูรณ์แบบมาก แก่นเหลวทั้งสองค่อยๆหลอมรวมกันช้าๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นก้อนสีสองที่เรืองแสงสีแดงอ่อนออกมาจางๆ

“ยอดเยี่ยม นำสมุนไพรระดับหนึ่งมาหลอมรวมได้เหนือกว่าสมุนไพรระดับสองเสียอีก”

อู่จงเหยียนกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น คนอื่นๆเองก็เช่นกัน รับประกันได้เลยว่ายาทลายฟ้าเม็ดนี้หากหลอมออกมาสำเร็จจะต้องเป็นเม็ดที่มีคุณภาพสูงที่สุดในรอบพันปีแน่นอน ด้วยความบริสุทธิ์ของแก่นเหลวระดับ 9 ทั้งหมด

หยางอี้ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าทำสำเร็จ ชายหนุ่มตั้งสมาธิอีกครั้ง ‘ ดีใจตอนนี้ยังเร็วเกินไป ’

โดยมีแก่นเหลวสีทองเป็นใจกลาง แก่นเหลวก้อนอื่นๆถูกบังคับให้ลอยวนรอบๆมันช้าๆ และเริ่มเข้าหลอมรวมกันในที่สุด คุณสมบัติของแก่นเหลวเริ่มผลักดันกันในทันทีเมื่อกระทบเข้าด้วยกัน หยางอี้โคจรพลังปราณที่เหลืออยู่ถ่ายเทออกไปเพื่อประคองให้มันไม่ระเบิดออกจากกัน

ใครจะรู้ว่าเมื่อรวมโดยไม่มีค่ายกลของเตาหลอมช่วยแล้วแก่นเหลวพวกนี้จะบ้าคลั่งราวกับม้าพยศ ต่างฝ่ายต่างผลักดันไม่ยอมให้คุณสมบัติอื่นๆแทรกซึมเข้ามา หยางอี้กัดฟันแน่นก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อบังคับให้พวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน

อึก !

เลือดสดๆ พลันทะลักออกจากปากชายหนุ่ม ผลกระทบจากการต่อต้านนี้มีมากเกินไป ทว่าหยางอี้ยังคงกัดฟันทนถ่ายพลังปราณเข้าไปไม่หยุดจนแก่นเหลวทั้ง 5 ก้อนค่อยๆหลอมรวมกับแก่นสีทองตรงกลางอย่างช้าๆ กระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลาหนึ่งก้านธูป ซึ่งมากกว่าตอนใช้เตาหลอมถึงหลายส่วน

สภาพของหยางอี้ยิ่งมายิ่งย่ำแย่ ใบหน้าของเตียลี่ยี้เริ่มตื่นตระหนก เขาหันไปมองอู่จงเหยียนเพื่อขอความคิดเห็น ทว่าชายชราจากสมาพันธ์เองก็ตัดสินใจลำบากเช่นกัน ตอนนี้ความสามารถของหยางอี้เป็นที่ประจักษ์แล้วหากฝืนต่อไปแล้วเกิดล้มเหลวจะเป็นอันตราอย่างมาก หากเลวร้ายการระเบิดอาจทำให้หยางอี้พิการไปเลยก็ได้ ทว่าหากเข้าไปหยุดตอนนี้จะเป็นการไม่เคารพต่อชายหนุ่มและจะต้องเป็นผลเสียทางจิตใจแน่นอน แล้วร้ายที่สุดคือหยางอี้จะไม่ยอมหยุดและทำให้เสียสมาธิในการควบคุมจนเกิดระเบิดขึ้น

“เฮ้อ ให้เป็นไปตามที่สวรรค์ลิขิตเถอะ”

กลับมาที่หยางอี้ ชายหนุ่มยังคงยกมือถ่ายพลังปราณออกไปเช่นเดิม แสงสีฟ้าเริ่มกระจายล้อมลอบก้อนของเหลวที่ลอยอยู่กลางอากาศ มองไปที่ใบหน้าบัดนี้ทั้งจมูกและปากเริ่มมีเลือดไหลออกมาแล้ว การใช้พลังปราณเกินขีดจำกัดทำให้หยางอี้ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าเพียงแค่ปรุงยาหนึ่งเม็ดจะทำให้ผลออกมาเป็นเช่นนี้

‘ไอ้หนูข้าว่าเจ้าอย่าฝืนอีกเลย ไว้เจ้าฝึกฝนจนเชี่ยวชาญมากกว่านี้ค่อยลองใหม่ก็ยังไม่สาย’

เสี่ยวเฮยกล่าวเตือนออกมาอีกครั้งอย่างร้อนรน สภาพหยางอี้ตอนนี้หากฝืนทำต่อไปไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายไม่รู้ว่าไม่สนใจคำเตือนหรือไม่ได้ยินกันแน่ ผ่านไปอีกสิบลมหายใจแก่นเหลวสีฟ้าครามบริสุทธิ์ก็หลอมรวมกันจนสมบูรณ์ทวารทั้ง 5 ของหยางอี้ก็ปรากฎเลือดไหลออกมาเช่นกัน ภาพนี้ทำให้หลายคนต้องหวาดกลัว เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เอาร่างกายเข้าแลกกับการปรุงยาเช่นนี้มีด้วยหรือ? ทว่ากลับกันเหล่านักปรุงยารุ่นเยาว์ต่างปรากฏความเคารพต่อชายหนุ่มขึ้นในจิตใจ วิถีแห่งการปรุงยานั่นคือการอุทิศทั้งชีวิตเพื่อค้นคว้า จะมีสักกี่คนที่มุ่งมั่นได้เช่นนี้

ช่วงสุดท้ายก็มาถึง หยางอีกเริ่มมีสติเลือนลาง แต่เมื่อเห็นแก่นเหลวสมบูรณ์ของยาทลายฟ้าอยู่เบื้องหน้าเขาจึงกัดลิ้นตัวเองเพื่อคงสติไว้ ‘อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ข้าต้องทำสำเร็จ!’

ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ พลังปราณเฮือกสุดท้ายถูกถ่ายออกไปพร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นล้อมรอบก้อนของเหลวสีฟ้าในทันที มวลพลังปราณระดับปฐพีขดตัวรวมกันโดยมียาทลายฟ้าเป็นศูนย์กลาง บรรยากาศรอบด้านเริ่มบิดเบี้ยวจากการบีบอัด

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนต้องอ้าปากค้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า การปรุงยาเช่นนี้นั้นบ้าระห่ำเกินไป ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีผู้ใดได้พบเห็นแม้กระทั่งอู่จงเหยียนเองก็ตาม สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังแสงสีฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆจนคลุมไปทั่วทั้งเขตปรุงยาของหยางอี้ แสงจ้านั้นกลืนกินจนบริเวณนั้นไม่สามารถมองเห็นได้อีก

หยางอี้กระอักเลือดออกมาอีกคำโตก่อนที่สติจะเริ่มลางเลือน เสี่ยวเฮยเห็นท่าไม่ดีเช่นนั้นจึงกัดฟันน้อยๆของมันด้วยความขัดใจและถ่ายพลังปราณเข้าสู่ร่างกายของหยางอี้อย่างช้าๆ เพื่อให้เขายังคงมีลมปราณหมุนเวียนไม่เหือดแห้งจนหมดสติ ไม่นานกลิ่นหอมจางๆก็เริ่มโชยออกมา หยางอี้ทุ่มเทความหวังสุดท้ายใส่พลังปราณที่เสี่ยวเฮยมอบให้จนสุดแรง

ปัง !

เสียงระเบิดดังขึ้นคราหนึ่งพร้อมกับแสงสีฟ้าจ้ากระจายออกจนผู้คนต้องหลับตา

“สำเร็จไหม?”

“ต้องสำเร็จสิ”

“ขอให้สำเร็จทีเถอะ”

นี่ไม่ใช่เสียงของหยางอี้แต่กลับเป็นเสียงของผู้คนที่คอยเฝ้าดู ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่พวกเขากลายเป็นตื่นเต้นกับการกระทำของหยางอี้และมีความคิดไปในทางเดียวกัน นั่นคือภาวนาให้การปรุงยาครั้งนี้สำเร็จ!

ทันทีที่แสงสีฟ้าระเบิดออก กลิ่นหอมอันเข้มข้นของยาทลายฟ้าก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนี้ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มกันไม่สิ้นสุด ความบริสุทธิ์ที่ทำให้สบายไปทั่วทั้งร่างกายเพียงแค่ได้กลิ่น และเมื่อแสงนั้นหายไปภายในจัตุรัสปรุงยาปรากฎเพียงร่างชายหนุ่มโงนเงนซีดเซียวทว่ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มจ้องมองไปยังยาเม็ดสีฟ้าประกายทองเบื้องหน้าอย่างพอใจ

เฮ !!!!!!

เสียงของคนทั้งเขาโอสถที่เห็นเหตุการณ์ตะโกนลั่นปลดปล่อยออกมาด้วยความยินดีในทันทีราวกับว่าพวกเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของการปรุงยาในครั้งนี้จริงๆ ใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของผู้คนทั้งเขาโอสถคือสิ่งสุดท้ายที่หยางอี้ได้เห็นและประทับตรึงลงในจิตใจของชายหนุ่มก่อนที่เขาจะล้มตัวหมดสติไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด