ตอนที่แล้วตอนที่ 23 นองเลือดและเวทมนต์ต้องห้าม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 25 พิพากษา

ตอนที่ 24 พลังแห่งกฎหมาย


“ฆ่าให้หมด!!”

บางทีตอนนี้ คำสั่งนี้ของข้าอาจจะไม่จำเป็นเสียละมั้ง

ผู้ที่นำหน้าบุกขึ้นไปเป็นคนแรกมิต้องสงสัยว่าเป็นผู้เป็นที่รู้จักกันในนามผู้พิทักษ์เหล็กไหล เสวี่ยถี ในฐานะหัวหน้าแห่งสำนักผู้บังคับใช้กฎหมาย หน่วยรักษาความสงบย่อมเป็นลูกน้องสายตรงของชายผู้นี้ ทั้งยังคลุกคลีด้วยขนาดที่ว่า เจ้าตัวสามารถเรียกชื่อของลูกน้องกว่า 800 คนในหน่วยรักษาความสงบได้ไม่ตกหล่น ครั้งนี้เหล่าลูกน้องต้องมาถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา มีรึที่บุรุษผู้นี้จะไม่เดือดดาล! มีรึที่บุรุษผู้นี้จะไม่เกลียดชังเหล่าศัตรู!

ตาของเสวี่ยถีได้กลอกขึ้นหลงเหลือไว้เพียงตาขาว บ่งบอกว่าสติสัมปชัญญะเสี้ยวสุดท้ายได้แปรเปลี่ยนเป็นความกระหายเลือดจนหมด หลังจากที่เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง ภาพลักษณ์บุรุษแสนดีที่เสวี่ยถีพึ่งมีก็มลายหายไปจนสิ้น บุรุษที่บุกอยู่ตอนนี้มิใช่วัวน้อยที่มิยอมตอบโต้ผู้ใดเมื่อครั้งที่โดนหน่วยรักษาความสงบไล่กวดอีกแล้ว แต่เป็นวัวคลั่งที่ถูกสุมด้วยไฟแค้น

“บุกอย่างหาญกล้า!”

นี่คือหนึ่งในทักษะสุดสามัญของเหล่านักรบ ทักษะที่ทำได้เพียงเพิ่มความเร็วของผู้ใช้เพื่อให้บุกเข้าไปตายเร็วๆหน่อย แต่เมื่อทักษะนี้มาอยู่ในมือของผู้พิทักษ์เหล็กไหล การบุกครั้งนี้ก็มิต่างจากความตายที่กำลังลุกไล่คอยกวาดล้างทำลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า

ปะทะด้วยตรงๆ? เจ้าวัวนี่ก็แค่บุกเหยียบเจ้าผ่านไปง่ายๆ

ใช้หอกแทง? แม้แต่หอกลงอาคมที่แหลมคมที่สุดก็ยังมิอาจทะลวงร่างเหล็กไหลของมันได้

ต่อหน้าเจ้าวัวเฒ่าชั้นตำนาน กองทัพแบล็ควอเตอร์ผู้แข็งแกร่งก็อ่อนแอมิต่างจากฝูงไก่ ราวกับว่าการใช้อาวุธนั้นมิอาจระบายเพลิงโทสะที่คุกรุ่นอยู่ได้ เจ้าวัวเฒ่าจึงเลือกใช้มือทั้งสองข้างไปคว้าจับตัวเหล่ามนุษย์หมูเอาไว้ ก่อนที่จะจับร่างเนื้อของเหล่ามนุษย์หมูมาบดขยี้เข้าหากันจนกว่าจะแหลกเหลวเป็นกองเนื้อบดสองกอง เจ้าวัวถึงจะยอมเลิกรา หันหัวไปหาเหยื่อรายต่อไป...

“ศาสตร์ไสยเวทย์ คำสาปกบ!”

ชาแมนเฒ่าผู้ที่ศีรษะปกคลุมไปด้วยขนไก่ได้รีบใช้ไสยเวทย์ที่รุนแรงที่สุดของตนใส่เจ้าวัวเฒ่า แต่เพียงแค่ปะทะกับสายตาอันดุร้ายจากผู้พิทักษ์เหล็กไหล ไสยเวทย์ก็สะท้อนกลับไปหาตัวผู้ร่ายแทน

“อ๊บ อ๊บ” กบตัวหนึ่งกระโดดมั่วซั่วสะเปะสะปะเหนือพื้นดิน ก่อนที่จะโดนขยี้จนตายด้วยกีบเท้าของเจ้าวัวคลั่ง

โลหิตเหล็กไหล กายสำริด เกียรติภูมิแห่งเงิน ปณิธานทองคำ ตำนานทั่วหล้า เมื่อมันผู้ใดเลื่อนขึ้นไปถึงชั้นตำนาน มันผู้นั้นริจะสามารถหล่อหลอมตราประทับวิญญาณของตนขึ้นมาได้ โดยใช้ตราประทับนี้เป็นแกนกลางและแหล่งพลังงาน มันผู้นั้นก็จะสามารถเพิ่มความสามารถบางด้านของตนได้อย่างมหาศาล

“ใจเหล็กกล้า” คือตราประทับวิญญาณของเสวี่ยถี เจ้าวัวนี่เชื่อมั่นว่ากายเนื้อของตนนั้นเป็นดั่งโลหะ วิญญาณหล่อหลอมจากเหล็กกล้า งดงามและไม่มีวันสูญสลาย

เอาเถอะ ตราประทับวิญญาณเองก็มีข้อเสียเช่นกัน อย่างเจ้าวัวนี่ที่มั่นใจในเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบของตนมากจนเกินไปมากเสียจนคิดว่าจะเป็นการผิดต่อโลกใบนี้ ถ้าตนไม่ยอมเปลื้องผ้าโชว์เรือนร่างอันสมบูรณ์พร้อมนี้ให้โลกได้ประจักษ์ จนสุดท้าย ความคิดนี้ก็ไปก่อร่างสร้างตัวเป็นนิสัยชอบเปลื้องผ้าให้โลกเห็นของเจ้าวัวนี่ไปในที่สุด...

แค่ก ในเมื่อขณะนี้พวกเรายังอยู่กันในสนามรบ ก็มาจริงจังกันหน่อยดีกว่า เพลาๆเรื่องนินทาชาวบ้านซะบ้าง แล้วมากลับเข้าเรื่องหลักกันเถอะ

ยอดฝีมือชั้นทองคำนั้นจะใช้ปณิธานของตนไปสร้างผลกระทบต่อร่างกายและโลก และด้วยตราประทับวิญญาณสายเสริมพลังนี้ สิ่งที่เสวี่ยถีต้องทำก็มีเพียงแค่ตั้งปณิธานของตนให้มั่น ผสมกับความสามารถทางร่างกายของอาชีพอัศวินแห่งความยุติกรรมชั้นตำนาน ร่างของเจ้าวัวนี่ก็จะกลายเป็นปราการเหล็กที่ไม่มีวันแตกพ่าย

ด้วยร่างกายเช่นนี้ จะให้ทำลายอาวุธชั้นสวะหรือสะท้อนไสยเวทย์ชั้นกระจอกก็ปอกกล้วยเข้าปากทั้งนั้น!

เมื่อต้องเข้าปะทะกับขบวนรบจากกองทัพแบล็ควอเตอร์ ตัวเจ้าวัวคลั่งก็มิต่างจากเครื่องบดเนื้อที่มิอาจหยุดยั้งได้อีก ถึงจะช้าแต่ไม่ว่าจะการเข้าปะทะ การโจมตี การขยี้ การกระทืบล้วนแล้วแต่ทรงพลัง สิ่งที่หลงเหลืออยู่ด้านหลังของเจ้าวัวมีเพียงแต่เศษอาวุธ และชิ้นเนื้อถูกขยี้ที่กองเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด

“จงน้อมรับคำตัดสินจากกฎหมายไปซะ! เจ้าพวกอาชญากร! วลีมนตราแห่งกฏหมาย: คำตัดสิน”

ถ้าให้เทียบกับเสวี่ยถีที่บุกเข้าไปอย่างคลุ้มคลั่ง อย่างน้อยเคลวินก็ยังพอระลึกได้ที่จะใช้เวทมนต์ชั้นหนึ่งวงเวทย์ที่อัศวินแห่งความยุติธรรมทุกคนต้องรู้

วลีมนตราบทนี้นั้น แม้มีต้นแบบมาจากศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ ตรวจจับอสูร ของเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ แต่ผลที่ได้ก็แตกต่างกันมากนัก ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ ตรวจจับอสูร นั้นใช้แยกแยะคนดีออกจากคนชั่ว แต่ถ้าคนดีกับคนชั่วมันแยกแยะออกจากกันง่ายขนาดนั้น แล้วพวกเราจะยังจำเป็นต้องมีตำรวจกับผู้บังคับใช้กฎหมายไว้ทำไมอีกล่ะ? ถ้าศาสตร์นี้มันดีจริง พวกเราก็แค่ส่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์ไปคอยตรวจสอบคนทุกคน แล้วถ้าคนไหนเป็นคนชั่วก็ถีบส่งเข้าคุกไปซะ เช่นนี้จะไม่เป็นการดีกว่าเหรอ แถมโลกก็จะได้สงบสุขไปอีกนานเท่านานด้วย

สิ่งที่ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ ตรวจจับอสูร ตรวจหาจริงๆก็คือรูปแบบพลังและสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวคนผู้นั้น แล้วถ้าสายเลือดกับพลังเบนไปทางฝั่งความโกลาหล ผลที่ออกมาย่อมเป็นแสงสีแดงที่สื่อถึงความชั่วร้ายอย่างมิต้องสงสัย ในทางกลับกัน ถ้าสายเลือดและพลังของคนผู้นั้นเบนไปทางฝั่งกฎระเบียบ แสงสีขาวที่สื่อถึงความถูกต้องก็จะปรากฏออกมาแทน...

ถึงแม้ศาสตร์นี้จะแลดูพึ่งพาไม่ได้เท่าไหร่ แต่ศาสตร์นี้ก็ใช้ได้ผลดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ เพราะถึงอย่างน้อย ลิชที่ร่างกายเปี่ยมด้วยพลังแห่งความตาย และดาร์ดเอลฟ์ที่สายเลือดเบนไปทางฝั่งความโกลาหล ผลที่ได้ย่อมเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งข้าขอยอมรับตรงๆเลยว่า ปกติแล้วลิชและดาร์กเอลฟ์เองก็ไม่ใช่คนดีเช่นกัน

ส่วนวลีมนตราแห่งกฎหมาย: คำตัดสิน ของข้านั้น เป็นเวทมนต์ที่จะเข้าไปดูในความนึกคิดของผู้ที่โดนร่ายเวทย์ใส่ และตัดสินความพวกเขาเหล่านั้นโดยใช้ประมวลกฎหมายเป็นเกณฑ์ตัดสินการกระทำในช่วงชั่วโมงที่ผ่านมาของผู้ที่โดนร่ายเวทย์ใส่ ถ้าคนผู้นั้นมีความผิดจริง เวทมนต์บทนี้ก็จะฉายแสงสีแดงลงบนตัวของคนผู้นั้น ในทางกลับกัน ถ้าบริสุทธิ์จริง เวทมนต์บทนี้ก็จะฉายแสงสีขาวแทน

และแน่นอนว่า ถ้าข้าสามารถเพิ่มช่วงระยะเวลาที่วลีมนตราแห่งกฎหมายบทนี้เข้าไปสอดส่องดูการกระทำของเป้าหมายได้ล่ะก็ ตัวข้าจะชื่นมื่นยินดีเป็นอย่างมาก เพราะ ความลำบากในการไต่สวนที่พวกเราต้องเผชิญจะลดลงเป็นอย่างมาก แต่ช่างน่าเสียดาย ที่เวทมนต์บทนี้คือพลังที่หยิบยืมมาจากกฎแห่งกฎระเบียบ ซึ่งข้ามิอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวคนเดียว

เบื้องหน้าของเคลวิน แสงศักดิ์สิทธ์แห่งคำตัดสินได้ฉายลงมา พร้อมกับแสงสีแดงเข้มที่เปล่งประกายออกจากตัวมนุษย์สัตว์ทุกตน นับต่อจากนี้อนุภาพของวลีมนตราแห่งกฎหมายที่ร่ายใส่เหล่ามนุษย์สัตว์ผู้กระทำผิดจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า

“วลีมนตราแห่งกฎหมาย: จงอยู่ในความสงบ!”

ค้อนพิพากษาได้ฟาดลงกลางท้องนภา พร้อมด้วยระลอกคลื่นสีเงินที่แพร่สะพัดออกไปทั่วทุกสารทิศ แสงจากวลีมนตราจงอยู่ในความสงบได้เลือนหายไป พร้อมกับเหล่าชาแมนที่พบว่าตัวเองมิอาจเอ่ยคำร่ายเวทย์ได้อีก แทบจะทันทีต่อจากนั้นเหล่านักรบคลั่งเองก็ค้นพบว่าตัวเองมิอาจปลดปล่อยทักษะวอร์ครายได้เช่นกัน!

นี่คือวลีมนตราแห่งกฎหมายชั้นสองวงเวทย์ที่ใช้รักษาความสงบในชั้นศาล ย่อมแน่อยู่แล้วที่เวทมนต์บทนี้จะสามารถปิดปากของเหล่าผู้กระทำผิดได้!

“วลีมนตราแห่งกฎหมาย: ตรวจจับหลักฐานการก่ออาชญากรรม, ปลดอาวุธ!”

นี่คือวลีมนตราแห่งกฎหมายที่ขึ้นชื่อว่าไร้ยางอายที่สุดของเหล่าอัศวินแห่งความยุติธรรม ถ้าเกิดฝ่ายตรงข้ามเป็นอาชญากรที่พึ่งก่อความผิดมา เหล่าอัศวินแห่งความยุติธรรมจะสามารถชี้เป้าไปที่เครื่องสวมใส่ที่ฝ่ายตรงข้ามใช้อยู่แล้วระบุว่าเป็นหลักฐานก่อความผิด ป้องกันมิให้ผู้กระทำผิดใช้เครื่องสวมใส่นั้นได้อีก (เวทมนต์ชั้นห้าวงเวทย์ ซึ่งใช้พลังเวทย์จำนวนเวทย์มากในการเรียกใช้ และมีข้อจำกัดว่าฝ่ายตรงข้ามต้องได้รับการตัดสินว่ามีความผิดจริงเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้)

แม้ระยะเวลาส่งผลของเวทมนต์บทนี้จะสั้น แถมยังระบุได้แค่เป้าหมายเดียว แต่เจ้าลองคิดอยู่สิ ถ้าจู่ๆอาวุธและชุดเกราะของเจ้าลอยจากตัวเจ้าไปในระหว่างต่อสู้ล่ะ...

“ดาบกำราบอาชญากรรม!”

ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่อัศวินแห่งความยุติธรรมผู้มากประสบการณ์เยี่ยง เคลวิน จะพลาดโอกาสที่ฝ่ายศัตรูเสียอาวุธในมือไปเช่นนี้

เคลวินได้ใช้ดาบเล่มยาวในมือตนฟาดฟันออกไป ตัวใบดาบนั้นฉาบไปด้วยแสงสีเงินซึ่งเป็นการเสริมพลังจากวลีมนตราแห่งกฎหมายที่ดึงพลังมาจากพลังแห่งกฎระเบียบ เหล่าอาชญากรที่โดนฟาดฟันด้วยท่านี้จะได้รับความเสียหายมากกว่าปกติหลายเท่า

ภายใต้การฟาดฟันจากดาบเล่มยาวหน้าตาธรรมดา ผิวหนังหนาๆที่เหล่ามนุษย์หมูภาคภูมิก็ขาดลงอย่างง่ายดายราวกับกระดาษ

การฟันอีกครั้งจากดาบของเคลวิน เกิดแสงสีเงินก็พุ่งออกจากตัวดาบไปในรูปกงจักรที่หมุนวน เข้าไปหาเหล่าเป้าหมายเลอค่า(ทหารติดยศ) เพียงท่วงท่าเดียวเคลวินก็สามารถปลิดชีวิตยอดฝีมือฝ่ายศัตรูได้อย่างมากมายนัก

นี่คือท่าประสานสุดมาตรฐานที่คล้ายกับท่าประสานระหว่างศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ของอัศวินศักดิ์สิทธิ์สลับกับการโจมตีทางกายภาพ รูปแบบการต่อสู้ที่เห็นได้บ่อยที่สุดของอัศวินแห่งความยุติธรรมในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายก็คือการโจมตีทางกายภาพสลับกับการใช้เวทมนต์ที่ชั้นวงเวทย์น้อยๆ แต่แสดงผลดีเยี่ยมเมื่อใช้กับเหล่าผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย

ส่วนเจ้าวัวคลั่ง เสวี่ยถี หมอนี่นั้นถือเป็นข้อยกเว้น ถ้าเรามองข้ามเรื่องที่เจ้าหมอนี่ไม่ยอมใช้เวทมนต์หรืออาวุธไป แม้แต่เสื้อผ้าเจ้าหมอนี่ยังคิดว่าเกะกะเวลาต่อสู้เลย แล้วตอนนี้เจ้าวัวนี่ก็เริ่มแก้ผ้าถอดเกราะของตัวเองแล้ว...

แค่ก นี่ก็ดีแล้วนิที่นักรบจะเร้าร้อนในการต่อสู้เช่นนี้ เอาเถอะตราบใดที่ตัวเจ้ามีร่างกายที่ทนทานเสียยิ่งกว่าชุดเกราะ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเลยว่าเจ้าจะใช้ชุดเกราะกับอาวุธหรือไม่ใช่ ไม่มีใครมาห้ามเจ้าหรอก ถ้าเจ้าอยากจะแก้ผ้าเข้าสนามรบไปเช่นนี้

อันที่จริง เจ้าวัวนี่เป็นนักรบชั้นตำนานชนิดที่หาดูได้อย่างยากยิ่ง เพราะความสามารถทุกอย่างพุ่งไปทางด้านเสริมสมรรถนะร่างกายเพียงอย่างเดียว บางทีความถึกทนของร่างกายเจ้าวัวนี่อาจจะใกล้เคียงกับเจ้าอดัมเลยก็เป็นได้ ดังนั้นอาวุธธรรมดาจึงถือว่าไม่จำเป็น เอาเถอะ จะโดนฉีกจนตายหรือโดนฟันจนตายสำหรับคนที่ต้องตายแล้วก็คงไม่ต่างกันมากหรอกมั้ง

บางที สาเหตุที่ความลับที่เสวี่ยถีเป็นพวกชอบแก้ผ้ากลางสนามรบไม่หลุดลอดออกไป ก็อาจจะเป็นเพราะผู้ใดที่เห็นชายคนนี้ในสภาพวัวคลั่งจักต้องมีชะตาโดนบดขยี้หลงเหลือไว้เพียงเศษเนื้อก็เป็นได้...

“ช่างเป็นเหยื่อล่อที่ยอดเยี่ยมอะไรเยี่ยงนี้”

เมื่อได้เห็นฉากที่ทีมสองหนุ่มเหยื่อล่อบุกฝ่าดงข้าศึกจนดึงความสนใจของกองทัพศัตรูไปได้ซะเกือบหมด ข้าก็มิอาจหักห้ามตัวเองไม่ให้ถอนหายใจได้จริงๆ

บนใบหน้าของจอมเวทย์สองคนที่เหลือ เคลและอิลิซ่าเองก็ฉาบด้วยรอยยิ้มเห็นด้วยเช่นกัน

ที่ทวีปแห่งเอ็ชนั้น มีข้อถกเถียงข้อหนึ่งที่ได้ผลสรุปออกมาเป็นเอกฉันท์ว่า พวกนักเวทย์นั้นมักจะดูถูกพวกที่ไม่ใช่นักเวทย์ ในสายตาของเหล่านักเวทย์แล้ว การแบ่งอาชีพนั้นมีเพียงสองประการเท่านั้น นักเวทย์และตัวหมากที่ไม่ใช่นักเวทย์...

นอกจากนี้ยังมีข้อถกเถียงที่ว่าเวทมนต์แบบใดแข็งแกร่งที่สุดอยู่อีก แต่ข้าต้องบอกไว้เลยว่า ความเห็นที่ออกมาจากแต่ละคนนั้นลำเอียงทั้งนั้น

“ในสายตาของตาเฒ่าคนนี้ อาชีพนั้นแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มชัดๆเท่านั้น นักเวทย์ ตัวหมากไร้ประโยชน์ และตัวหมากทรงคุณค่า ซึ่งเคลวินและเจ้าแท่งเหล็ก(ชื่อเล่นของเสวี่ยถี)ย่อมจัดอยู่ในหมวดตัวหมากทรงคุณค่าหายากรุ่นจำนวนจำกัดที่สมควรจะเก็บรักษาไว้อย่างดี! ดูซิ แค่พวกมันบุก พวกหมูโง่ทั้งหลายก็ลืมว่าพวกเรายังมีตัวตนอยู่ไปซะแล้ว ลืมเหล่านักเวทย์ที่เป็นแกนหลักของสนามรบเนี่ยนะ”

ด้วยฐานะจอมเวทย์ที่เฝ้าแสวงหาความจริงของโลกใบนี้ คำตอบรับจากเคล ดีย่า ยังน่าฟังมิมีเปลี่ยน

“ที่จริง ข้าแบ่งกลุ่มเจ้าพวกนี้โดยใช้ระดับชั้นของพลังเอาน่ะ อย่างเสวี่ยถีก็เป็นตัวหมากชั้นตำนาน แต่ถ้าพวกเราเอาตราประทับของเสวี่ยถีมาคิดรวมด้วยล่ะก็ ค่าของชายผู้นี้จะเพิ่มขึ้นอีกมากนัก มากถึงระดับของสะสมสุดคลาสสิคที่ควรค่าต่อการลักไปเก็บเลยล่ะ ส่วนเคลวินนั้นออกจะด้อย... ก็ได้ อิลิซ่า อย่าถลึงตาจ้องข้าเช่นนั้นสิ ข้ารู้ พวกเรากำลังทำเรื่องจริงจังกันอยู่ แค่ก ในเมื่อเหล่าตัวหมากของพวกเราได้ทำหน้าที่ในการช่วยดึงความสนใจของเหล่าข้าศึก ได้อย่างสำเร็จลุล่วงแล้ว เช่นนั้น พวกเราก็มากวาดเหล่าศัตรูทั้งหมดไปในคร่าเดียวเลยละกัน”

“เช่นนั้น ก็ขอตาเฒ่าคนนี้ลงมือก่อนละกัน วลีมนตราแห่งกฎหมาย: ปลดเปลื้องจากอิสรภาพ”

นี่คือเวทมนต์ชั้นสี่วงเวทย์แบบระบุเป้าหมายเดี่ยว โดยปกติ เวทมนต์บทนี้จะหยุดการเคลื่อนไหวของอาชญากรที่เป็นเป้าหมายของเวทมนต์ แต่พอเวทย์บทนี้มาอยู่ในมือของจอมเวทย์ชั้นผู้บรรลุ มันก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นเวทมนต์ชนิดแสดงผลวงกว้างอันทรงพลัง ที่หยุดการเคลื่อนของเหล่าอาชญากรได้เป็นวงกว้าง ในพริบตา เหล่าทหารกองทัพแบล็ควอเตอร์ที่ถูกตีตราทอแสงสีแดงจำนวนมากจนสุดสายตาก็มิสามารถขยับเขยื้อนได้อีก

“อู๊ด! นี่เกิดอะไรขึ้นกัน! อู๊ด อู๊ด!”

“อู๊ด อู๊ด! ปล่อยข้า!”

ปกติเหล่านักเวทย์มักจะถูกมองว่าเป็นปืนใหญ่ หนึ่งคนเป็นหนึ่งกระบอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว จะมีก็แต่เวลาที่เหล่านักเวทย์รวมกลุ่มทำงานร่วมกันเท่านั้น เหล่านักเวทย์ถึงจะแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้

เคล ดีย่าชั้นผู้บรรลุต้องใช้มาน่าในตัวไปเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะหยุดการเคลื่อนของเหล่าศัตรูเอาไว้ ที่จริงเพื่อจะคงสภาพของเวทมนต์บทนี้ไว้ ตัวเคลเองก็มิสามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เช่นกัน แต่นี่ก็เกินพอแล้วที่จะให้ข้าและอิลิซ่าร่ายเวทย์สาดใส่ศัตรูที่ตัวแข็งค้างได้อย่างตามใจชอบ

ในเมื่อสถานการณ์เป็นใจซะขนาดนี้ พวกเราก็ขอเลือกใช้เวทมนต์ที่ได้ประโยชน์จากการที่ศัตรูขยับไม่ได้ให้มากที่สุดเลยละกัน

“สลักเหมันต์!”

ด้วยฐานะครึ่งปิศาจ อิลิซ่านั้นเกิดมาพร้อมสายเลือดฝั่งโกลาหลอันเข้มข้น ซึ่งคงจะเป็นการยากและไม่เป็นผลดีเท่าที่ควรถ้าจะให้นางใช้พลังแห่งกฎหมายซึ่งเป็นพลังสายหนึ่งจากต้นกำเนิดแห่งกฎระเบียบ เช่นนั้น ข้าจึงเลือกที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ข้าเชี่ยวชาญในสมัยเมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นลอร์ดหย่งเยี่ย – เนโครแมนซี่และเวทมนต์ธาตุน้ำแข็งให้กับนาง

สำหรับจอมเวทย์น้ำแข็งแล้ว การสร้างรูปสลักน้ำแข็งขึ้นสองสามรูปนั้นถือว่าง่ายดายมาก แต่ผลิตภัณฑ์จากน้ำแข็งเหล่านี้ค่อนข้างขาดแคลนพลังโจมตีเนี่ยสิ แต่ว่านะ ถ้าเกิดรูปสลักน้ำแข็งเกิดไปโผล่ขึ้นผิดที่ผิดทางล่ะ...

ก็ได้ ข้าไม่อ้อมค้อมแล้วก็ได้ ณ วินาทีนี้ ที่ข้างเท้าของเหล่ามนุษย์สัตว์ทุกตน ได้มีเสาน้ำแข็งแหลมคมค่อยๆงอกเงยขึ้นมา โดยปลายแหลมของน้ำแข็งนั้นเล็งไปที่อวัยวะสืบพันธุ์ของพวกมัน...

เมื่อมองดูเหล่าศพของหน่วยรักษาความสงบที่ถูกทำให้แปดเปื้อน ข้าก็ได้แต่แอบเช็ดเหงื่อเย็นๆและทำการจดโน๊ตลงในใจข้าว่าอย่าได้ไปหาเรื่องพวกผู้หญิงอีกเด็ดขาด ข้ารู้ว่าครั้งนี้ อิลิซ่านั้นโมโหอยู่จริงๆ

บางทีอาจจะเพื่อทำให้เหล่ามนุษย์สัตว์รู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่ตัวเองทำลงไปก่อนตายก็เป็นได้ เสาน้ำแข็งถึงได้งอกเงยขึ้นมาอย่างช้าๆแทน แต่ข้าที่เห็นเม็ดเหงื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเคลประสานไปกับคำด่าทอของเหล่ามนุษย์สัตว์ ข้าก็รู้สึกได้ว่าทั้งคู่กำลังต้องการให้ข้ายื่นมือเข้าช่วยอยู่

“มนตราสุดสะท้าน.เวทย์ล่องลอย!”

เมื่อเทียบกับเวทมนต์ชั้นสองวงเวทย์ เวทย์ลอยตัวที่ช่วยให้เหล่านักเวทย์สามารถกระโดดขึ้นที่สูงได้ เวทมนต์ชั้นสามวงเวทย์ เวทย์ล่องลอยก็คือเวทมนต์รุ่นอัฟเกรดของเวทย์ลอยตัว ที่ช่วยให้ผู้ใช้ลอยสูงขึ้นกว่าเดิมซักประมาณเมตรถึงสองเมตร

แต่ ณ ตอนนี้ หลังจากที่ข้าใช้ศาสตร์มนตราสุดสะท้านเปลี่ยนให้เวทมนต์บทนี้เป็นเวทมนต์แสดงผลวงกว้างแทน เวทมนต์ชั้นสามวงเวทย์บทนี้ก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นเวทมนต์ระดับปกรณัมชั้นหกวงเวทย์สุดธรรมดา แทบในพริบตา เหล่ามนุษย์สัตว์ที่ถูกเวทย์ล่องลอยร่ายใส่ก็ลอยสูงขึ้น แต่เนื่องด้วยการจำกัดการเคลื่อนไหวจากวลีมนตราแห่งกฎหมาย ทำให้เหล่ามนุษย์สัตว์เคลื่อนที่ขึ้นลงได้เพียงเท่านั้น...

ตัวข้าในตอนนี้นั้นมิอาจเทียบเคียงกับตัวข้าเมื่อครั้งที่เป็นจอมเวทย์ชั้นกึ่งเทวะได้ แม้นี่จะเป็นเพียงเวทมนต์ระดับปกรณัมชั้นหกวงเวทย์ แต่ลิชตนนี้ก็ไม่มีมาน่าเหลือเฟือให้สิ้นเปลืองหรอกนะ ฉะนั้น...

“เปาะ” สิ้นเสียงดีดนิ้วของข้า ผลจากเวทย์ล่องลอยก็คลาย พร้อมกับเหล่ามนุษย์สัตว์ที่ร่วงลงพื้นดินเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นาน เหล่ามนุษย์สัตว์ทั้งหลายก็พบปะเข้ากับเสาน้ำแข็งที่เฝ้ารอพวกตนอยู่นานสองนาน...

“ช่างอนาถยิ่งนัก! ข้าทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว”

ภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าข้านั้นชวนให้ข้านึกถึงแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลที่โดนไม้เสียบก้น ข้าตัดสินใจแล้วว่าต่อจากนี้ไปข้าจะไม่กินแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตามอีกเป็นอันขาด ปะเดี่ยวก่อนสิ ข้าพึ่งระลึกได้ว่าข้ากินอาหารไม่ได้แล้วนิหว่า สงสัยข้าคงจะคิดมากเกินไปสินะ...

“อู๊ด อู๊ด! เจ้าปิศาจ!! อู๊ด!”

“หนีเร็ว! อู๊ด อู๊ด! หนีเร็ว!!”

เมื่อทหารกว่าครึ่งกองทัพได้เห็นเพื่อนร่วมกองทัพอีกครึ่งโดนจับเปลี่ยนให้เป็น ‘แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลเสียบไม้รสหมูสับ’ แม้พวกตนจะเป็นทหารชั้นยอดแค่ไหนก็ยังต้องหนีตายด้วยความผวา

ภาพที่กองทัพแบล็ควอเตอร์แตกพ่ายอย่างผึ้งแตกรังได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าข้า ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ข้าคาดเอาไว้อยู่แล้ว

“ไม่ตามไปงั้นเหรอคะ?”

“ไม่ต้อง แค่บังคับให้พวกมันถอยออกจากนครไปก็พอ”

ถ้าเกิดทำตามนิสัยข้าในยามปกติ ข้าย่อมฆ่าพวกมันให้สิ้นไม่ให้เหลือแม้ซักตัว แม้พวกมันจะหนีออกจากนครไปได้ ข้าก็จะตามล่าฆ่าพวกมันจนสุดขอบโลก แต่ตอนนี้ ข้าคงต้องพับเก็บเรื่องนี้เอาไว้ชั่วคราวก่อนเพราะความรู้สึกไม่ชอบมาพากลที่ข้ารู้สึกมาได้ซักพักราวกับว่าข้ากำลังมองข้ามเรื่องอะไรอยู่

ด้วยความสัตย์จริงเลย ตอนที่ข้าเห็นกองทัพแบล็ควอเตอร์และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนอกประตูนคร ปฏิกิริยาแรกที่ปรากฏขึ้นในตัวข้านอกจากความโกรธเกรี้ยว ก็คือความประหลาดใจที่มากเสียยิ่งกว่าความโกรธเสียอีก

“ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ส่งกองทัพแบล็ควอเตอร์ที่คอยทำหน้าที่เป็นกองราชองครักษ์มา ทั้งๆ ที่ถ้าส่งหน่วยกองโจรเข้ามาก่อเรื่องแทน พวกมันก็ยังจะพอมีทางออก แต่การที่ส่งกองราชองครักษ์มาเช่นนี้ ไม่ต่างจากประกาศสงครามกันโต้งๆ หัวของอู๊ด อู๊ดโดนเอาไปราน้ำมารึไง ถึงได้ตั้งใจมาหาเรื่องนครภูผาหลิวฮวง เปิดสงครามเต็มรูปแบบกับพวกเราเช่นนี้ เจ้าหมูนี่มีใครหนุนหลังอยู่กันถึงได้กล้าขนาดนี้”

แต่เพียงไม่นาน ข้าก็รู้สึกตัวว่าข้าไม่สามารถติดต่อมากาเร็ตที่อยู่นอกนครได้ เท่านี้ข้าก็พอประมาณเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างคร่าวๆ

“พันธมิตรโลกใต้พิภพกับจ้าวแห่งโลกใต้พิภพงั้นเหรอ ห่ะ? ดูท่าอู๊ด อู๊ดจะตัดสินใจเปิดศึกกับนครภูผาหลิวฮวงแบบเต็มตัวเลยสินะ เห็นที ข้าจะประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำไปสินะ การโจมตีจากกองทัพศัตรูเมื่อครู่คงจะแค่เพื่อถ่วงเวลากองกำลังภายในนครเอาไว้สินะ... นี่พวกมันไม่กลัวเจ้าอดัมตามไปเอาคืนเลยรึไง? ถึงได้มาหาเรื่องยอดฝีมือชั้นกึ่งเทวะที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดถึงสามคนในคราวเดียวเช่นนี้น่ะ? ถ้าพวกมันแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่ได้ ก็เท่ากับมาหาที่ตายกันแท้ๆ ดูท่า เจ้าพวกจ้าวแห่งโลกใต้พิภพตั้งใจจะถอนรากถอนโคนพวกเราให้สิ้นเลยสินะ แล้วการที่ข้าไม่สามารถติดต่อหามากาเร็ตได้ ก็คงบ่งบอกแล้วล่ะว่าพวกนางกำลังตกที่นั่งลำบาก ลำบากแบบสุดๆเป็นแน่”

เมื่อถึง ณ จุดนี้ ข้าก็ได้ตัดสินใจ

“กลับไปที่ชั้นศาล เราจะเริ่มการว่าความกัน”

“เริ่มว่าความ? นี่ท่านตั้งใจจะใช้ต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมายงั้นเหรอคะ? ทางลิลลี่เองก็พึ่งรายงานเข้ามาว่าสถานการณ์ในนครตอนนี้ยังอยู่ในการควบคุม แล้วแบบนี้ ท่านยังจะตั้งใจใช้ไพ่ตายของพวกเราอีก? มันคุ้มกันรึคะ?”

“แน่นอนสิว่าต้องคุ้ม ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว อิลิซ่าเจ้าจงไปเตรียมอุปกรณ์ชั้นเทวะและเตรียมเริ่มพิธีซะ พวกเราจะต้องหยุดความวุ่นวายที่เกิดขึ้นให้ได้เดี่ยวนี้ แล้วในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ท่านเจ้านครผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเราอาจจะกำลังเฝ้ารอความช่วยเหลือจากพวกเราอยู่ก็เป็นได้”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด