ตอนที่แล้วChapter 5 อาหารและการทำคะแนน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 7 คนรวยที่เอาแต่ใจ

Chapter 6 เงินก้อนแรก


“ผิวของพี่สวยมากเลยค่ะ ดังนั้นการใช้โทนเนอร์ตัวนี้มันจะช่วยทำให้ผิวของพี่ดียิ่งขึ้นค่ะ แม้ว่าจะเป็นแบรนด์นี้จะเป็นแบรนด์อันดับสอง แต่ชุดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของเด็กหญิงชุดนี้ดีมากๆ เลยนะคะ”

“เจี่ยวเจียว ทำไมเธอถึงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ดีมากเลยล่ะ?”

“เอ่อ…พอดีฉันมีเพื่อนที่ชอบของประเภทนี้มากค่ะ”

“เจี่ยวเจียวไหนรีบมาช่วยพี่ดูหน่อยสิว่า ผลิตภัณฑ์ชุดนี้จะเหมาะกับพี่ไหม?”

“มันดูแก่อ่ะคะ มันไม่เหมาะกับพี่หรอกค่ะ พี่อ้ายหยานลองดูเป็นชุดนี้แทนนะคะ”

“ชุดเดรสสีดำ ตัวเล็กตัวนี้น่ะเหรอ? แต่พี่ไม่เคยใส่อะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะ”

“พี่จะไม่มีทางรู้ว่าพี่ชอบมันไหมจนกว่าพี่จะลองใส่มันดูนะคะ”

สวีฉีที่ตอนแรกมีสถานะเป็นแฟนและลูกพี่ลูกน้อง ได้ถูกลดสถานะเป็นแค่คนถือกระเป๋าไปแล้ว เพราะเขาถูกทิ้งให้ถือถุงช้อปปิ้งทั้งหมด ในขณะที่เขากำลังเดินตามหลังเด็กผู้หญิงสองคนอย่างขมขื่นหัวใจ เขามีลางสังหรณ์ลางสังหรณ์ ว่าเงินที่เขาเก็บสะสมมาตลอดทั้งปีของเขาจะลดลงอย่างรวดเร็วด้วยน้ำมือของผู้หญิงสองคนนี้น่ะสิ

ในตอนนี้ สวีฉีได้ทำความเข้าใจใหม่ในเรื่องของสวีเจี่ยวเจียว ลูกพี่ลูกน้องที่แสนน่าเบื่อของเขาตอนนี้ได้กลายเป็นคนที่เจ้าเล่ห์กว่าเดิมด้วยและนั่นแหละที่ทำให้ เขาอิจฉามาก เขาไม่เคยได้รับของขวัญจากลูกพี่ลูกน้องมาก่อน!และจางอ้ายหยานก็ขอให้เขาซื้อของขวัญให้เธอ เขาเป็นแฟนหนุ่ม ได้จำยอมจ่ายให้ หลังจากซื้อ 'ของขวัญ' ให้อย่างแรก มันก็จะมีรายการที่สองที่สามตามมาติดๆ จากผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เสื้อผ้าและรวมไปถึงรองเท้า สวีเจี่ยวเจียวได้รับสิ่งใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เจี่ยวเจียว คราวหน้าเรามาเที่ยวกันอีกนะ วันนี้พี่สนุกมากเลย”

จางอ้ายหยานตะโกนเรียกเฉิงเจียวหยาง เมื่อพวกเขาได้ไปส่งสวีเจี่ยวเจียวที่สถานีรถไฟใต้ดิน

“เจ้าตัวเล็ก ไม่เห็นบอกลาฉันเลย ทั้งที่ฉันซื้อของให้ตั้งหลายอย่าง!” สวีฉีกัดฟันพูด

จางอ้ายหยานกอดแขนของสวีฉี แล้วหัวเราะออกมา พร้อมกับพูดว่า “ลูกพี่ลูกน้องของคุณน่ารักมาก! รสนิยมและความรู้เกี่ยวกับแบรนด์ต่างประเทศของเธอนั้นเยอะมาก ราวกับว่าเธอเคยมีประสบการณ์มาก่อนอย่างนั้นแหละ ฉันบอกได้เลยว่าเธอคงจะพยายามอย่างมากในเรื่องนี้  และเรื่องที่น่าทึ่งมากที่สุดก็คือเธอได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง เธอสุดยอดจริงๆ!”

ตรงไหนของเธอที่สุดยอด! เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นเด็กอัจฉริยะชัดๆ!

สวีฉีถูกบังคับให้จ่ายเงินเก็บอย่างเยอะ เงินเก็บเกือบครึ่งหนึ่งหายไปมันรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาตั้งใจที่จะซื้อรถยนต์มูลค่าหนึ่งแสนดอลลาร์ แต่ตอนนี้เงินในกระเป๋าของเขาได้ลดลงอย่างรวดเร็ว เขาคงต้องพับโครงการซื้อรถยนต์ของเขาไปก่อนเสียแล้ว

หากลูกพี่ลูกน้องของเขาไม่ได้เต็มไปด้วยความคิดมากมายแบบนั้นก็คงจะดี แต่เมื่อเธอทำ เธอก็สามารถทำให้เขาเกือบตายได้เหมือนกัน

เมื่อถึงเวลาที่เฉิงเจียวหยางกลับบ้าน แสงอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว

ทันทีที่เธอเข้าไปในบ้านเธอก็กลัวจนหัวใจแทบจะกระโดดออกมาจากอกของเธอ ภายในบ้านมืดสลัวเนื่อง

จากไม่มีแสงแดดส่องเข้ามาแล้ว และสายตาของเธอก็ไปสะดุดเข้ากับเงารูปร่างเหมือนคนที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารและหันหน้าเข้าหาประตู เนื่องจากเธอสายตาสั้นทำให้เธอมองเห็นเป็นเงาที่น่ากลัว

เฉิงเจียวหยางยื่นมือออกไปเปิดไฟ เพื่อดูว่าใช่สวีชิงหรือเปล่า ถ้าใช่มันคงทำให้ใจของเธอรู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะ ทันทีที่เธอมีเงินมากพอ สิ่งแรกที่เธอต้องทำเลยคือการแก้ไขเรื่องสายตาของเธอ! แม้ว่าร่างกายนี้จะมีสุขภาพที่ดี แต่ถ้าต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วคงจะเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันขึ้นแน่

สวีชิงก็ตกใจไม่แพ้กัน เธอเห็นลูกสาวของเธอเดินเข้ามาในห้อง ในขณะที่ในมือถือถุงช้อปปิ้งหลายใบ และสวีชิงก็ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชอบใจนักว่า “เจี่ยวเจียว ลูกเอาเงินที่ไหนไปซื้อของเยอะแยะขนาดนี้”

“นี่เป็นของขวัญที่ลูกพี่ลูกน้องมอบให้หนู เป็นของขวัญรับปริญญาค่ะแม่”

“ฉีฉีเหรอจ๊ะ?” สวีชิงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แม้ว่าสวีเจี่ยวเจียวและสวีฉีจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนิทกันมากนักหรอก

“ลูกไปยืมเงินพี่เขามาเหรอ?” เฉิงเจียวหยางไม่ต้องการให้สวีชิงรู้รายละเอียดเรื่องในวันนี้มากเกินไป เธอจึงจงใจเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา

สีหน้าของสวีชิงแสดงออกถึงความสิ้นหวัง

เพียงแค่เฉิงเจียวหยางมองแปบเดียวก็รู้คำตอบแล้ว จึงพูดปลอบใจสวีชิงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะหยิบผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของสวีชิงที่เธอเพิ่งซื้อมา เธอใช้เทคนิคการนวดที่เธอพอเรียนรู้จากหมอนวดผู้เชี่ยวชาญของปู่ของเธอมาบ้าง เพื่อช่วยให้สวีชิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

คืนนั้น สวีชิงนอนหลับสนิท

นี่แหละคือสิ่งที่เฉิงเจียวหยางต้องการ อย่างแรกเลยเธอไม่ต้องการที่จะตื่นขึ้นมาและตกใจกลัวอีกในกลางดึกเหมือนคืนก่อนนั้น และอย่างที่สองคือตอนนี้เธอได้กลายเป็นสวีเจี่ยวเจียวแล้ว เธอจะต้องรับผิดชอบชีวิตของสวีเจี่ยวเจียว และทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้

หลังจากเพลิดเพลินไปกับการดูแลเอาใจใส่ที่หาดูได้ยากจากลูกสาวของเธอ ในเช้าวันถัดมาสวีชิงก็ตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่สดใสราวกับแสงแดดในตอนเช้า ดังนั้นสิ่งแรกที่จะเธอทำหลังจากที่เธอทำอาหารเช้าเสร็จ ก็คือการออกไปหางานทำ

ในเรื่องที่สวีชิงออกไปหางานทำ เฉิงเจียวหยางไม่ได้มีปัญหากับมัน ในความเป็นจริงเธอกลับให้กำลังใจสวีชิงด้วยซ้ำ แต่เธอไม่มีเวลามากพอที่จะไปกับสวีชิงด้วย และแทนที่จะปล่อยให้ผู้หญิงที่มีนิสัยอ่อนโยนคนนี้หมกมุ่นอยู่กับตัวเองคนเดียว มันเป็นเรื่องที่ดีกว่าอยู่แล้ว ที่เธอจะให้กำลังใจตัวเองด้วยการออกไปหางานใหม่

เมื่อเธอกินไข่ตุ๋นที่สวีชิงทำไว้ให้เสร็จแล้ว เฉิงเจียวหยางก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง

เธอไม่ได้อยู่เฉยๆทั้งวันโดยหวังลมๆแล้งๆหรอกนะ เธอต้องคิดว่าจะทำอะไรต่อไป และทำสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเข้าแข่งขันในครั้งนี้ แล้วเธอก็หวังว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดีเป็นที่น่าพอใจของเธอนะ

ในความจริงแล้วเมื่อคืนหลังจากที่เธอได้ให้กำลังใจสวีชิงในการหางานทำ เธอก็คิดมากเกี่ยวกับสิ่งที่เธอควรทำต่อไป ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนร่ำรวย ดังนั้นเธอจึงสามารถทำสิ่งที่เธอต้องการได้อย่างง่ายดาย ตอนนั้นเฉิงเจียวหยางกับเหมยหนิวเพื่อนของเธอได้ร่วมกันสร้างชื่อแบรนด์และได้เป็นหุ้นส่วนกันอีกด้วย เธอยังรวบรวมนิทรรศการงานศิลปะของเธอ แล้วใช้เงินที่ได้จากการขายภาพวาดของเธอเพื่อเริ่มต้นก่อตั้งมูลนิธิให้ความฝัน เธอทำหลายสิ่งหลายอย่างที่คนอื่นไม่สามารถทำได้แม้ว่าพวกเขาจะลองทำมาทั้งชีวิต แต่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดที่เธอได้รับต้องอาศัยความช่วยเหลือจากปู่ของเธอ หากคุณปู่ไม่ช่วยเธอ เธอก็อาจจะไม่มีเงินลงทุนและไม่ได้เป็นหุ้นส่วน รวมทั้งเธอจะไม่ได้มีส่วนร่วมกับงานศิลปะนั้นด้วย เมื่อเธอไม่มีนิทรรศการศิลปะ ภาพวาดของเธออาจถูกมองว่าไร้ค่า หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นมันจะส่งผลให้เธอไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้โดยการระดมทุนเพื่อก่อตั้งมูลนิธิของเธอ เพราะในเวลานั้นเธอเป็นเพียงคนที่น่าสงสารที่เสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก ซึ่งพ่อไม่สนใจเธอเลย และปู่ย่าตายายก็ไม่ค่อยชอบเธอ แถมยัยแม่เลี้ยงก็ยังรังแกเธออีก

ตอนนั้นเฉิงเจียวหยางแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย เธอสามารถพึ่งพาความสามารถของเธอในการพาเธอไปหาสิ่งที่เธอต้องการเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถเปิดปากและยื่นมือไปขอความช่วยเหลือจากใครได้อีก

หลังจากนั่งทำใจกับความรู้สึกที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อนเพราะตอนนี้เธอไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้ทั้งนั้น ตอนนี้เธอเริ่มคิดว่านี่คือความหมายของการพึ่งพาความสามารถของตนเองสินะ เพื่อที่เธอจะสามารถถไปถึงเป้าหมายที่เธอต้องการได้! แค่คิดว่ามันจะต้องสำเร็จเธอก็เริ่มมีความหวังแล้ว

เฉิงเจียวหยางมุ่งหน้าไปที่ร้านขายเครื่องเขียนที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียน เพื่อซื้อกระดานวาดรูปขนาดเล็ก กระดาษสีขาว และพู่กันสำหรับทาสีกับถาดใส่สีชุดเล็ก ซึ่งเป็นราคาไม่กี่ดอลลาร์เท่านั้น ส่วนของที่เหลืออยู่ เธอกะว่าจะเดินทางไปดูแถวตลาดที่อยู่ในเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้กับหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำและมหาวิทยาลัยเก่าแก่หลายแห่ง ซึ่งไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ขึ้นรถบัสไปใช้ประมาณยี่สิบนาทีได้

[ราคาเริ่มต้นที่ห้าดอลลาร์ (ไม่เกิน)]

เฉิงเจียวหยางนั่งลงข้างถนนใกล้กับแปลงดอกไม้ และเธอก็วางแผ่นกระดาษที่เท้าของเธอ พร้อมกับเขียนคำเหล่านั้นไว้ จากนั้นเธอก็ตั้งกระดานให้เข้าที่พร้อมกับเริ่มวาดภาพ

ใบหน้าของบุคคลเผยให้เห็นทีละเล็กทีละน้อยภายในพู่กันอันงามสง่า สีหน้างามสง่า จมูกตรงเป็นสัน เส้นของริมฝีปากที่คมชัด…

เฉิงเจียวหยางไม่รู้เลยว่าเธอได้วาดรูปอะไรขึ้นมา จนกระทั่งหลังจากวาดเสร็จ

นิ้วของเธอลูบเบาๆ ไปบนภาพวาด เค้าโครงรูปร่างของภาพบ่งบอกถึงคุณสมบัติของคนๆนึง และเธอก็ได้พึมพำออกมาเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบ “หลินหยาน…”

“หล่อมาก เขาคือคนจริงๆเหรอ?” ทันใดนั้นเสียงที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็ดึงสติเธอออกจากความทรงจำนั้นทันที

เฉิงเจียวหยางกระพริบตาแล้วหันหน้าไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ยืนข้างๆเธอในตอนนี้ เธอมัดผมหางม้าสูง เธอกัดไปที่หลอดในกล่องนมถั่วเหลืองของเธอ และจ้องมองไปที่ภาพวาดในมือของเฉิงเจียวหยางอย่างตั้งใจ

“พี่คะ หนุ่มหล่อในภาพนี้ เป็นคนรักของพี่เหรอคะ?” เด็กผู้หญิงเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย

“น่าเสียดายนะคะ ที่เขาไม่ใช่” เฉิงเจียวหยางรีบตอบกลับอย่างนิ่งๆ

“งั้น เขาคือคนที่พี่ชอบสินะคะ!”

ความนิ่งสงบของเฉิงเจียวหยางได้พังลง

หญิงสาวผู้เปิดเผยความจริงด้วยคำพูดสั้นๆนั้น  พลางดูดหลอดและยิ้มแย้มแจ่มใส ในขณะที่เธอพูดต่อว่า “หากมีคนหล่อแบบอยู่รอบตัวฉัน ฉันก็จะหลงรักเขา”

ดูอายุของเธอก่อน! เฉิงเจียวหยางได้หัวเราะออกมา เธออดจะเตือนหญิงสาวเรื่องอายุอย่างช่วยไม่ได้ มันให้เธอนึกถึงน้องสาวของเธอ ทำไมเธอถึงชอบหลินหยานล่ะ? ในตอนแรกมันดูเหมือนรักแรกพบ เมื่อเธอได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลานั้น ...

เธอกระแอมกระไอ เฉิงเจียวหยางได้หันไปมองหน้าของเธอ “พี่จะวาดมันให้เสร็จใช่ไหม?”

“คุณหมายถึงอะไรเหรอ ราคามันไม่ต่ำไปกว่านี้?”

“ตราบใดที่ มันไม่น้อยกว่าห้าดอลลาร์ ฉันก็ไม่ว่าอะไรถ้าเธอจะจ่ายมันเท่าไหร่”

เด็กหญิงคนนั้นเงยหน้าของเธอขึ้นมามองเธอ แล้วตัดสินใจพูดออกไปว่า “งั้นพี่วาดรูปให้ฉันหน่อยสิ วาดฉันในท่านี้นะคะ” หลังจากนั้นเด็กสาวก็เอนตัวใกล้กับกิ่งไม้ ที่ยื่นออกมาจากแปลงดอกไม้ และวางตัวราวกับว่าเธอกำลังจะได้กลิ่นดอกไม้

“อยู่นิ่งๆ แบบนั้นสักสิบวินาทีนะ” จากนั้น พู่กันในมือของเฉิงเจียวหยาง ก็จรดลงบนแผ่นกระดาษอย่างรวดเร็ว

“สิบวินาทีเองเหรอคะ?” เด็กหญิงคนนั้นคิดว่าเธอได้ยินผิด ดังนั้นเธอจึงหันหน้าไปหาเฉิงเจียวหยางเพื่อยืนยัน

“อย่าขยับสิ สิบวินาทีก็เพียงพอแล้ว”

สิบ เก้า แปด…สาม สอง…

“หนึ่ง!” เด็กผู้หญิงคนนั้นนับเสร็จจึงเดินกลับไปที่เฉิงเจียวหยางอย่างตื่นเต้น เมื่อได้ดูรูปภาพของเธอที่ปรากฏอยู่บนกระดาษ มันทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมากจนดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้น เธอมั่นใจว่าไม่มีใครที่มีความสามารถแบบเฉิงเจียวหยางแน่ ที่สามารถใช้พู่กันบนกระดาษได้อย่างราบรื่นเหมือนน้ำไหล หญิงสาวได้รู้สึกชื่นชมเธอเป็นอย่างมาก

ทุกวันนี้ ด้วยข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย ความสามารถที่คนส่วนใหญ่สามารถที่เก็บเอาไว้นั้นมีค่าเท่ากับเมล็ดถั่วเล็กๆ ผู้คนจำนวนมากสามารถที่จะพูดอะไรก็ได้ แต่ก็ลืมไปได้ง่ายๆภายในไม่กี่วินาที ในความเป็นจริงเพียงแค่มีความสามารถในการจดจำจำนวนมากในครั้งเดียวเป็นปัญหาที่หลายคนดิ้นรน มันยากที่จะจดจำท่าทางของคนอื่นภายในเวลาเพียงสิบวินาทีและสามารถรายละเอียดออกมาได้อย่างครบถ้วน นี่มันเกินขอบเขตของทักษะที่ธรรมดาไปแล้ว นี่มันเป็นพรสวรรค์ มันเป็นพพรสวรรค์ที่หลายคนอิจฉา!

“ปาฏิหาริย์!” มีหลายคนที่หยุดดู ต่อมาก็ค่อยๆกลายเป็นฝูงชน เนื่องจากมีคนเริ่มสังเกตเห็นความชุลมุนวุ่นวายรอบตัวทั้งคู่

เมื่อเฉิงเจียวหยางวาดรูปเสร็จแล้ว เธอก็เซ็นชื่อที่มุมขวาล่างอย่างติดนิสัย จากนั้นเด็กหญิงคนนั้นก็ตรวจดูภาพในทันทีแม้ว่าเฉิงเจียวหยางจะเพิ่งวางพู่กันลง

“การออกแบบลายเซ็นของพี่ดูเหมือนงานศิลปะจริงๆ! อ่านว่าเจียวหยางหรือเปล่าคะ? พี่ออกแบบมันเองใช่มั้ยคะ พี่ช่วยออกแบบให้หนูด้วยได้ไหมคะ”

“คุณกำลังถามคำถามมากมายในเวลาเดียวกันนะ คุณต้องการให้ฉันตอบคำถามไหนก่อนดี...?” เฉิงเจียวหยางมองไปที่เด็กผู้หญิง เธอถึงกับพูดไม่ออกเลย หลังจากทำร่างใหญ่เสร็จแล้ว ส่วนที่ใหญ่เรื่องที่เธอจะได้รับการชื่นชมอย่างไม่คาดคิดก็คือลายเซ็นที่ของเธอเนี่ยแหละ! ตอนนี้เธอควรจะดีใจหรือเสียใจดีนะ?

“โอ้…เอ่อ ช่วยฉันออกแบบลายเซ็นก่อนนะ! ฉันยินดีจ่ายเงินมากขึ้น หากมันยอดเยี่ยม!” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ อย่างอ้อนวอน

เพื่อให้ได้เงินเฉิงเจียวหยางไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากขายภาพวาดของเธอบนถนน แน่นอนว่าเธอจะไม่พลาดโอกาสในการสร้างรายได้พิเศษอยู่แล้ว

อย่างแรกเธอให้เด็กผู้หญิงเขียนชื่อของเธอลงบนแผ่นกระดาษ แล้วถามว่าเธอมีแบบที่เธอต้องการในใจมั้ย จากนั้นเจียวหยางก็วาดชื่อของหญิงสาวอย่างมีศิลปะด้วยปลายพู่กันเพียงไม่กี่ครั้ง และวาดสิ่งที่นอกเหนือจากชื่อที่เขียน

“คุณชอบแบบนี้ไหม หลิวลู่?” นิ้วของเฉิงเจียวหยางชี้ไปที่ลายเซ็น

ตัวอักษรจีนสำหรับ คำว่า ลู่ ในชื่อ หลิวลู่ นั้นเธอใช้พู่กันวาดหลายครั้ง อย่างไรก็ตามภายใต้ฝีมือของเฉิงเจียวหยางมันก็กลายเป็นชื่อที่เรียบง่าย และเต็มไปด้วยไหวศิลปะที่มีพรสวรรค์

“ฉันชอบมากค่ะ! พอใจมากด้วยค่ะ!” หลิวลู่ตะโกน ในขณะที่เธอหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขจนไม่สามารถปิดบังไว้ได้ เธอชื่นชมงานศิลปะและลายเซ็นของเธอทันที เธอดึงธนบัตรหลายฉบับออกมาจากกระเป๋าเงินของเธอและส่งไปให้เฉิงเจียวหยาง

แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะเทียบไม่ได้กับจำนวนเงินที่เธอเคยขายภาพเขียนของเธอได้ แต่เงินนี้เป็นเงินที่เธอได้รับจากการจัดการขายผลงานเป็นครั้งแรกโดยไม่มีไม่ได้เป็น ตัวตนของเฉิงเจียวหยาง ธนบัตรที่อยู่ในมือของเธอกลายเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในสายตาของเฉิงเจียวหยางในตอนนี้ ในขณะที่เธอรู้สึกเข้าใจแลรู้คุณค่าที่แท้จริงของเงินและได้เข้าสู่โลกของคนธรรมดา

“อ่า! ฉันเกือบจะลืมบอกพี่ไปเลย! ภาพที่พี่วาดให้กับฉันนั้น ดูดีกว่าที่ฉันเห็นด้วยตัวเองอีกนะ” หลิวลู่กล่าว ในขณะที่เธอนำโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาและถ่ายรูปภาพเขียนของเธอกับลายเซ็นสองสามภาพ จากนั้นเธอก็กดโพสต์รูปภาพลงในบัญชีโซเชียลของเธอ

เฉิงเจียวหยางได้ยินแบบนั้นก็เรียกยิ้มของเธอออกมาเล็กน้อย  “สิ่งที่ฉันวาด ก็เหมือนกับคุณมองฉัน”

หลิวลู่มองเธออย่างว่างเปล่า เธอพิจารณาหญิงสาวตรงหน้า ที่มีผมสั้นก่อนที่ เธอนั้นดูอ่อนกว่าวัย แต่ดวงตาที่ยิ้มแย้มนั้น มันทำให้เธอมีเสน่ห์เป็นพิเศษ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด