ตอนที่แล้วตอนที่ 19 ความเปลี่ยนแปลง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 21 เหยื่อล่อ

ตอนที่ 20 ชายผู้ไร้เทียมทาน


“ข้าขอร้องล่ะท่านต้องช่วยข้านะ!! ข้าไม่เหลือใครให้พึ่งแล้วจริงๆ”

เอลฟ์ที่อยู่เบื้องหน้าข้ามีรอยน้ำตาแปดเปื้อนอยู่ทั่วทั้งใบหน้า ดวงตาทั้งสองดวงของคนผู้นี้เปี่ยมด้วยเสน่ห์อันเป็นธรรมชาติ เรือนผมสีเขียวอันเรียบลื่นและเงางาม ริมฝีปากสีแดงเปล่งปลัง แค่มองรูปร่างภายนอกเพียงเท่านี้ ก็บอกได้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าข้าตอนนี้เป็นโฉมงามล่มเมืองไม่ผิดแน่

แต่ ณ ตอนนี้ ได้มีหยาดน้ำตาหลั่งรินผ่านแก้มของคนผู้นี้อย่างงดงาม ดวงตาดวงงามคู่นั้นได้จับจ้องมาที่ตัวข้า ด้วยแววตาที่ร้องขอความช่วยเหลือจากก้นบึ้งของหัวใจ พริบตานั้นเองที่ คนผู้นี้ได้พุ่งเข้ามาในอ้อมกอดของข้าแต่ตัวข้ากลับสะบัดชายเสื้อที่คนผู้นี้จับอยู่ ก่อนที่ข้าจะก้าวถอยหลังออกมาเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างสองเรา

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าเจ้าน่ะเป็นทนาย แล้วก็เป็นผู้ชายด้วย!”

ใช่แล้ว เอลฟ์ที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสารอยู่ตรงหน้าข้าก็คือ ทนายฝ่ายจำเลยมือฉมัง โครเซ่ ไอน์ต้า แห่งศาลสูงสุดนั่นเอง

โดยปกติเอลฟ์เพศชายก็ดูสาวอยู่แล้ว แต่ตัวโครเซ่นั้นดันสวยซะจนได้รับการยกย่องว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งกระบวนการกฎหมาย จนมีบ่อยครั้งที่ผู้คนสงสัยว่าเอลฟ์ผู้นี้เขียนเพศในป้ายชื่อทำงานของตนผิดรึเปล่า แถมยังเคยมีเหตุการณ์ที่โครเซ่โดนลากเข้าห้องน้ำหญิงโดยคนอื่นเลย เจ้าตัวที่ต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้จึงพยายามทำตนให้สมชายชาตรีมากขึ้นอยู่ทุกวี่วัน

สำหรับคนอื่นแล้วการใส่หน้ากากนั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการละทิ้งส่วนตนเพื่อความยุติธรรมไม่โอนเอียง แต่เท่าที่ข้ารู้ โครเซ่นั้นยังใส่หน้ากากแม้จะเลิกงานไปแล้วก็ตาม แถมยังมีรสนิยมชอบเก็บสะสมหน้ากากรวมทั้งยังชอบสร้างหน้ากากอีกต่างหาก

ว่ากันว่าโครเซ่นั้นมีหน้ากากของทางระบบกฎหมายสะสมอยู่ทุกรูปแบบ หน้ากากเงินประณีตที่สรรค์สร้างจากศาสตร์งานฝีมือเฉพาะของเหล่าเอลฟ์ ลวดลายอันสลับซับซ้อนบนหน้ากากที่เอลฟ์ตนนี้(โครเซ่) ยอมลงทุนใช้ลวดมิธริล ทองคำบริสุทธิ์ อัญมณี และของล้ำค่าอีกมากมายมาสลักลงไป ด้วยสองมือที่เชี่ยวชาญการสลักเป็นที่สุดขนาดที่โครเซ่สามารถสลักภาพทิวทัศน์ของนครภูผาหลิวฮวงลงไปบนหน้ากากได้ แต่ตัวหน้ากากก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบเช่นกัน เช่นนี้แล้วหน้ากากของโครเซ่จะแตกต่างจากผู้อื่นได้อย่างไรกัน ฉะนั้นแล้วเพื่อไม่กระทบกับการทำงาน ภาพสลักบนหน้ากากของโครเซ่นั้นจึงเล็กซะจนแยกไม่ออกถ้าไม่ใช้แว่นขยายส่อง หรืออีกนัยนึงก็คือ ความพยายามทั้งหมดของโครเซ่ที่เหนื่อยแกะสลักมานั้นเสียเปล่า...

แม้กระนั้น โครเซ่ก็ยังคงมองว่าหน้ากากเหล่านี้เป็นสมบัติสุดล้ำค่าของตนไม่เปลี่ยนแปลง ขนาดที่เจ้าตัวยังต้องหยิบออกมาขัดถูอยู่ทุกวี่วัน วันละหลายๆครั้ง แถมโครเซ่จะไม่ยอมถอดหน้ากากออกแม้เป็นเวลาอาบน้ำหรือเวลานอนก็ตาม... ทำไมถึงทำขนาดนี้ ทุกคนต่างรู้คำตอบดีอยู่ในใจแต่ก็ไม่มีใครโง่เง่าพอที่จะเปิดปากเอ่ยออกมา

ในอดีต หน้ากากเหล่านี้ได้มอบความกล้าให้กับทนายฝ่ายจำเลยเผ่าเอลฟ์ที่รูปลักษณ์คล้ายผู้หญิงผู้นี้ และด้วยนิสัยที่พิถีพิถันใส่ใจในรายละเอียดทำให้เอลฟ์ตนนี้สามารถเข้าใจในกฎหมายได้อย่างลึกซึ้ง ด้วยความมานะทุ่มเทที่โครเซ่มีให้กับกฎหมายทำให้ข้านับถือชายผู้นี้จากใจจริง ในสายตาของข้า ถ้าตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกไป ชายผู้นี้นั้นเป็นทนายฝ่ายจำเลยที่เยี่ยมยอดมาก และนี่เป็นครั้งแรกเลยที่โครเซ่ยอมถอดหน้ากากของตนออกแล้วมาร่ำไห้ร้องขอความช่วยเหลือจากข้าเช่นนี้

“ใจเย็นๆสิ โครเซ่ เอ้า สูดหายใจเข้าลึกๆนะ ลองเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น เรือนจำนครภูผาหลิวฮวงโดนบุกปล้นจนนักโทษหนีไปหมดเช่นนั้นเหรอ?”

แต่ตัวโครเซ่กลับส่ายหน้าอย่างรุนแรงจนหยาดน้ำตากระเด็นไปทั่ว จนชายเสื้อข้าเปียกไปหมด

บริเวณรอบข้างตอนนี้ได้มีผู้คนจับกลุ่มพากันชี้มาทางนี้แล้วเริ่มกระซิบกระซากกันแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดข้อสงสัยเรื่องรสนิยมทางเพศของข้า และเพื่อกันไม่ให้ตัวข้าต้องตกเป็นข่าวร้อนมาแรงของเหล่าสาวน้อยฟอนเฟะของโลกต่างมิติแห่งนี้ ข้าจึงก้าวถอยหลังไปอย่างเงียบๆเพิ่มระยะระหว่างเรามากขึ้นไปอีก

“มังกรชั่วร้ายบุกมาถล่มนครงั้นเหรอ? เจ้าได้ไปแจ้งท่านเจ้านครรึยังล่ะ?”

แต่โครเซ่ก็ยังคงส่ายหน้าต่อไป ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องนี้งั้นสินะ

“หรือว่าสัตว์อสูรบุกเมือง...” ข้าที่เอ่ยถามต่อไปอีกหลายคำถามที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้แต่ตัวโครเซ่กลับเอาแต่ส่ายหน้าไปมา จนในท้ายที่สุดโครเซ่ที่เริ่มสงบใจได้แล้ว ก็เอ่ยกล่าวออกมาว่า

“เป็นปี่เฟิงต่างหาก เจ้าแดร๊กก้อนโรคจิต ปี่เฟิง เฮรอท์ นั้น! มันทำเกินไปแล้ว!”

ในวินาทีนี่เองที่โฉมงามได้ปาดหยาดน้ำตาบนหน้าตน แล้วก็ระลึกขึ้นได้ว่าตนยังอยู่ในชั้นศาล โครเซ่ที่นึกได้เช่นนั้นก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปันรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มจากโฉมงามหลังร่ำไห้ที่เปล่งประกายดั่งฟ้าหลังฝนงดงามดั่งบุปผาที่สะกดสายตาของผู้คนทุกหมู่เหล่า... ข้าที่ได้เสียงตกใจและเสียงกรี๊ดกร๊าดจากรอบข้าง ก็ถอยหลังออกมาอย่างเงียบเชียบ เพิ่มระยะห่างสองเราให้กลายเป็นสามเมตร

หลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่ ‘ชายผู้นี้’ เล่าออกมา ข้าก็พอจะสรุปเรื่องที่เกิดขึ้นได้คราวๆ

หลังจากเหตุการณ์เจ้าแดร๊กก้อนที่มีงานอดิเรกแปลกพิสดาร [กฎหมายหวงห้ามความสัมพันธ์เกินเลยระหว่างสิ่งมีชีวิตรูปแบบมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่รูปแบบมนุษย์] และ [ข้อกำหนดคุณสมบัติในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง] ที่ออกมาเพื่อจัดการเจ้าแดร๊กก้อนตนนี้โดยเฉพาะได้ผ่านการเห็นชอบอย่างรวดเร็ว จนในท้ายที่สุด ชายผู้นี้ก็โดนพราก ‘สัตว์เลี้ยง’ และ ‘คนรัก’ ของตนไป จากเรื่องครั้งนี้ทำให้ปี่เฟิงเศร้าสลดไปมิน้อย แต่เพียงไม่นานชายผู้นี้ก็ลุกขึ้นยืนหยัดอีกครั้ง...

ในตอนนี้ปี่เฟิงมิใช่นักล่าสัตว์อีกแล้ว เจ้าแดร๊กก้อนตนนี้ได้ผันตัวมาเป็นสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจภายในแทน...

ที่จริงแล้ว นักล่าสัตว์เองก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์อย่างลึกซึ้ง และการดูแลสัตว์เองก็ถือเป็นหนึ่งในความเชี่ยวชาญของสายอาชีพนี้เช่นกัน ทำให้การเป็นสัตวแพทย์ของปี่เฟิงนั้นมาถูกสายงานจริงๆ แล้วยิ่งด้วยอดทนอดกลั่นและความหลงใหลในตัวสัตว์ที่เจ้าแดร๊กก้อนตนนี้มี ทำให้วิธีดูแลรักษาที่เปี่ยมด้วยความรักของชายผู้นี้ได้รับคำชื่นชมอย่างมากมาย แม้เจ้าตัวจะเริ่มทำงานเพียงเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ตาม แถมชายผู้นี้ยังได้สรรค์สร้าง ‘สัมผัสแห่งรัก’ วิธีที่ทำให้เหล่าสรรพสัตว์สงบลง แต่...

“ข้าได้พาเสี้ยวไป๋ของบ้านข้าไปหาหมอ แต่ข้ากลับไปเจอเจ้าโรคจิตนั้น เจ้าโรคจิตนี่มาเป็นสัตวแพทย์เนี่ยนะ เจ้าหมอนี่ต้องให้วิธีชั่วช้าลวนลามสัตว์เลี้ยงของทุกคนเป็นแน่ แถมยังหันมาหัวเราะใส่ข้าอย่างเริงร่าในระหว่างที่ลวนลามเสี้ยวไป๋ของบ้านข้าจากนั้นก็... แงงงงง เสี้ยวไป๋เจ้านี่ช่างใสซื่อ ขนาดที่เจ้ายังเลียนิ้วของมันผู้นั้นเลย... ข้า ข้าต้องฆ่ามันเพื่อล้างอายให้เสี้ยวไป๋!!”

ถ้าข้าจำไม่ผิด เสี้ยวไป๋คือชื่อสุนัขที่โครเซ่เลี้ยงไว้...

โครเซ่นั้นร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร ด้วยฐานะที่เกิดมาเป็นดรูอิดเผ่าเอลฟ์ป่า ทำให้เอลฟ์ตนนี้รังเกียจพฤติกรรมผิดธรรมชาติอย่างสุดซึ้ง แต่ด้วยฐานะของทนาย โครเซ่จึงจำใจต้องว่าความปกป้องปี่เฟิง แม้ตัวปี่เฟิงจะทำผิดเต็มประตูก็ตาม และอย่ามัวดูแต่ภาพลักษณ์ของโครเซ่ที่กำลังร้องไห้เหมือนสาวน้อยน่ารักคนนึงล่ะ โครเซ่นั้นจริงจังเรื่องที่จะฆ่าปี่เฟิงอย่างมิต้องสงสัย

จากการที่ข้าเข้าใจนิสัยอันไม่ยืดหยุ่นของชายผู้นี้ หลังจากที่ลงมือสังหารปี่เฟิงโครเซ่ต้องมาหาข้าเพื่อสารภาพผิดแล้วร้องขอโทษตายจากข้าเป็นแน่ แล้วถ้าในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ที่โครเซ่มาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมาลาออกจากการเป็นทนายแล้วไปจัดการสังหารเจ้าโรคจิตนั้นแล้วฆ่าตัวตายตกตามกันไป

ในตอนนี้นั้นตัวข้าพูดไม่ออกไปพอสมควร ถ้าข้ายอมปล่อยให้ลูกน้องมากความสามารถลางานไปฆ่าตัวตายด้วยเหตุผลอันไร้เกียรติเช่นนี้ ตัวข้าก็คงจัดการเรื่องราวต่างๆไม่เป็นแล้วล่ะ

เมื่อถึงขั้นนี้ ข้าจึงหันไปพูดกับผู้คนที่อยู่ด้านหลังข้าอย่างเหนื่อยอ่อน

“อย่ามัวเอาแต่ดูสิ ไปช่วยข้าเชิญเจ้าโรคจิตนั้นมาซะ นี่เป็นหนแรกเลยที่ข้าเจออริที่บังอาจขัดต่อกฎหมายของข้า”

“ครับ ท่าน”

“ขอรับ ท่าน พวกเราจะไปจัดการให้ท่านเดี่ยวนี้”

อย่างที่คาด เจ้าพวกนี้สิบกว่าคนหรือมากกว่านั้นตอบรับกลับมา เจ้าพวกนี้ต้องแอบหลบมุมเพื่อดูรายการตลกเมื่อกี้นี้เป็นแน่

โครเซ่ที่พึ่งรู้สึกตัวว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของฐานะกำนัล ก็รีบลุกขึ้นยืน แต่สายตาของโครเซ่ที่จับจ้องมาที่ข้านั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังและความเชื่อใจ ทำให้ข้าทำตัวไม่ถูกจริงๆว่าควรตอบรับสายตาเช่นนี้อย่างไรดี

ห้องทำงานของข้านั้นไม่ใหญ่มากนัก แล้วในตอนนี้ข้าก็กำลังนั่งเผชิญหน้ากับเจ้าโรคจิตนี่ และในวินาทีนี่เองที่ข้าไม่มั่นใจในตัวเองว่าข้าควรจะพูดอะไรกับเจ้าโรคจิตตรงหน้าข้าดี

หรือว่าข้าควรจะตั้งกฎหมายใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหมอนี่เป็นหมอดีล่ะ? ไม่ได้สิ กฎหมายที่พุ่งเป้าไปที่อาชญากรรมน่ะถึงจะเป็นสิ่งที่รับได้ แล้วถ้าข้าเกิดไปเขียนกฎหมายที่ระบุเจาะจงไปที่ใครคนนึง ตัวข้าย่อมต้องตกเป็นที่หัวเราะของผู้คนเป็นแน่

แล้วการเปลี่ยนกฎหมายบ่อยๆนั้นก็ถือเป็นเรื่องร้ายแรงเช่นกัน เพราะนั้นจะหมายความว่านิติบัญญัติฉบับเดิมนั้นมีปัญหา ซึ่งนั้นจะส่งผลกระทบด้านลบต่อความน่าเกรงขามของตัวกฎหมายและกระบวนการตัดสินความ

หรือว่าจะฆ่าอีกฝ่ายไปเลยดีล่ะ? วิธีนี้ถือว่าเป็นการง่ายแต่เรื่องบทลงโทษของแต่ละความผิดนั้นต้องตัดสินลงไปอย่างเท่าเทียมยุติธรรมกัน เพราะนี่ถือเป็นรากฐานของระบบกฎหมาย แล้วแม้ไอ้หนูนี่จะเป็นโรคจิต แต่ความผิดนี่ก็ยังไม่ถึงโทษตาย

แล้วในแง่กฎหมาย ถ้าเรามิอาจหาหลักฐานมัดตัวผู้กระทำผิดได้แล้วตัดสินให้อีกฝ่ายมีโทษจริง นี่ย่อมเป็นการกระทำแสนโง่เง่าที่บ่อนทำลายระบบกฎหมายทั้งระบบ

จับเจ้านี่ไปขังไว้งั้นเหรอ? ข้าขออภัยแต่เจ้าหมอนี่ไม่ได้ทำผิดอะไร เจ้านี่ก็แค่ทำหน้าที่ของตนในฐานะหมอตรวจภายในสัตว์เลี้ยง และเพื่อเป็นการทำให้เหล่าสัตว์เลี้ยงสงบลง ‘การแตะเนื้อต้องตัว’ นั้นเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้... ข้าคาดว่าอีกฝ่ายต้องตอบมาเช่นนี้ถ้าเรายื่นเรื่องไป และข้ออ้างนี่ก็สมเหตุสมผลเสียด้วย หรือก็คือเราไม่มีหลักฐานอะไรเลย...

ข้าได้แต่นั่งจมดิ่งอยู่บนเก้าอี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้ารู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างอ่อนแอเหลือเกิน

จะฆ่าก็ไม่ได้จะจับไปขังไว้ก็ไม่ได้ นั้นก็หมายความว่าเราได้แต่คอยมองเจ้าโรคจิตนี่ทำเรื่องบัดสีกับเหล่าสัตว์น้อยน่ารักต่อไปงั้นเหรอ? แม้แต่กองทัพพันธมิตรโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่จัดการยากเท่าไอ้โรคจิตนี่เลย

ตอนนั้นเองที่ ปี่เฟิง เฮรอท์ ลืมตาขึ้นราวกับว่าตนได้ตัดสินใจเรื่องบางอย่างแล้ว

“นี่ท่าน ข้าจะกลับได้รึยัง? ข้ายังมีงานต้องทำอยู่นะ แล้วยังมีสัตว์เลี้ยงอีกมากมายนักที่กำลังเฝ้ารอให้ข้ากลับไปตรวจอยู่นะท่าน”

แม้รอยยิ้มของไอ้หนูนี่จะแลดูจริงใจ แต่ที่จริงแล้วรอยยิ้มนี่เป็นการเยาะเย้ยข้าประมาณว่า “คิดว่าศาลสูงสุดแน่นักเหรอ? ดูซิพวกเจ้ายังจัดการกับข้าไม่ได้เลย”

“แม้วิธีปกติจะใช้ไม่ได้ผล แต่ข้าก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิธีสกปรกต่างๆ ไม่ว่าจะการใสร้ายป้ายสี การปล่อยข่าวลือ รวมถึงการลอบสังหาร ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ข้าจะฆ่าเจ้านี่” ในตอนที่ข้ากำลังจะหันไปใช้วิธีสกปรกเพื่อกำจัดเจ้าโรคจิตตรงหน้า จู่ๆก็มีเสียงเสียงนึงดังขึ้นภายในหูข้า

“นายท่านค่ะ ตามแผนการของท่านแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านต้องหาคนมาแฝงตัวเข้าไปในเรือนจำหรอกเหรอค่ะ แล้วชายผู้นี้ไม่เหมาะงั้นเหรอค่ะ...”

ข้าที่ได้ยินเช่นนั้นก็ปันยิ้มมา แล้วหันสายตาไปเพ่งพิจารณาชายตรงหน้าข้าอีกครั้ง

“ทำไมกันนะไม่ว่าข้าจะมุมไหน เจ้าหมอนี่ก็ดูคล้ายกับพวกโรคจิตที่น่าโดนส่งเข้าไปนอนในคุกไปหมดเลย บางทีเจ้าหมอนี่อย่างจะเหมาะก็ได้ อืม ไม่ผิดแน่”

หลังจากที่ข้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าก็ชูสองนิ้วขึ้น

“เอาล่ะเรามาทำข้อตกลงกัน ข้ามี 2 สิ่งที่จะให้เจ้าทำถ้าเจ้าทำสำเร็จ ข้าจะมอบใบอนุญาตเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงให้แก่เจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องไปเป็นสัตวแพทย์อีก แล้วตราบใดที่เจ้าไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของนครเสื่อมเสียด้วยการทำเรื่องอย่างว่าในที่สาธารณะ ส่วนตอนอยู่ที่บ้านเจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจเจ้า ข้าจะยอมปิดตาข้างนึงให้”

ใช่แล้ว งานอดิเรกของปี่เฟิงนั้นถือเป็นความผิดถ้ามองจากด้านศีลธรรม ฉะนั้นแล้วตราบใดที่เจ้าหมอนี่ไม่ทำเรื่องอย่างว่าในที่สาธารณะ จนไปกระทบกับภาพลักษณ์ในสังคมจนเกิดข้อหาสร้างมลทินให้กับบรรยากาศในนครขึ้น เจ้าหมอนี่ก็ยังไม่ข้ามเส้นที่ข้ากำหนดไว้ให้ ฉะนั้นข้าก็ยังจะพอผ่อนปรนให้ได้ แต่...เมื่อต้องดูรอยยิ้มสะแหยะอันน่ารังเกียจของเจ้าโรคจิตที่อยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว ตัวข้าก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา ถ้าข้าทำได้ ข้าคงชี้นิ้วสั่งให้คนมาฆ่าเจ้าโรคจิตนี่ไปแล้ว

ข้าได้แต่หลับตาลงเพื่อจะได้ไม่เห็นรอยยิ้มสะแหยะอันบิดเบี้ยวของเจ้าหมอนี่อีก และเป็นเวลาอีกสักพักเลยกว่าที่ข้าจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงได้ รวมถึงสะกดจิตสังหารของข้าไม่ให้หลุดลอดออกมาด้วย

“ข้อแรก เจ้าจงไปขอโทษโครเซ่ซะ อืม ทนายเผ่าเอลฟ์ที่เจ้าทำให้ร้องไห้คนนั้นน่ะ เพราะจะอย่างไรซะ อีกฝ่ายก็ช่วยเจ้าว่าความในชั้นศาลมาก่อน และเจ้ากลับตอบแทนอีกฝ่ายด้วยความเนรคุณเช่นนี้เหรอ เรื่องเช่นนี้จะให้ข้ายอมรับได้อย่างไรกัน”

“ขอรับ ขอรับท่าน ข้าจะรีบไปขอขมาแม่นางโครเซ่เดี่ยวนี้เลย!!”

“นายต่างหาก!” เป็นดั่งคาด หน้าตกใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแดร๊กก้อนตนนี้ แต่ข้าก็ยังกล่าวต่อไป

“ข้อสอง เจ้าจงไปก่อคดีซะ ข้าจะได้จับเจ้าโยนเข้าไปในเรือนจำนครภูผาหลิวฮวง ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยอยู่ข้างในนั้น”

“ว่าไงนะท่าน?!”

“เจ้าจงไปปล้นคุกซะ!!...”

เมื่อครั้งที่ปี่เฟิงจากไป และข้าได้สะสางงานที่สุมเอาไว้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเสร็จ เวลาก็ได้เลยผ่านไปแล้วกว่า 4 ถึง 5 ชั่วโมง จนถึงเวลาที่พระจันทร์ขึ้นมาแล้ว

เมื่อมายืนข้างหน้าต่าง ตัวข้าก็รู้สึกอารมณ์สั่นไหวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพความรุ่งเรืองที่อยู่ข้างนอกหน้าต่างนั้น

“นครภูผาหลิวฮวงนั้นสงบสุขมานานเกินไป สงบสุขเสียจนมีพวกล้ำเส้นออกมาแล้ว”

“ทั้งหมดก็เป็นเพราะความเหนื่อยยากของท่านไม่ใช่เหรอค่ะ นี่ท่านกำลังชมตัวเองอยู่รึค่ะเนี่ย?”

ปากคอยังเราะร้ายไม่มีเปลี่ยน แต่ ณ ตอนนี้ ข้ายังไม่มีอารมณ์ที่จะต่อปากต่อคำกับนาง

“ไม่ใช่ข้าหรอก พวกเราควรจะไปขอบคุณอดัมกับมากาเร็ตต่างหาก ทั้งคู่น่ะเป็นคนที่คอยต่อสู้กับนครใต้พิภพที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งเพื่อปกป้องนครแห่งนี้ แต่กลับมีพวกบัดซบบางตนที่ลืมเลือนไปแล้วว่าพวกตนน่ะได้รับความกรุณาจากทั้งคู่มากเพียงใด นี่คงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเตือนสติพวกมันเรื่องนี้เสียหน่อย”

อิลิซ่าได้พยักหน้าของนางตอบกลับมา

“คนทรยศมิอาจได้รับการอภัย ที่จริง ตามกฎของนครใต้พิภพเมืองอื่นๆแล้ว พวกเราก็แค่กำจัดพวกมันทิ้งไปซะ นี่ก็เป็นความเห็นจากสายลับผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่เช่นกันค่ะ...”

“ที่นี่คือนครภูผาหลิวฮวงสถานที่ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ที่แห่งนี้ไม่มีอภิสิทธิ์ชนผู้มีอำนาจบาดใหญ่ อืม ถึงอย่างน้อยจะเป็นเช่นนั้นแค่ผิวเผินก็เถอะ มันยากลำบากนักกว่าที่พวกเราจะได้ความสงบสุขนี้มา เอาเถอะ แม้นี่จะเป็นเพียงความสงบสุขแค่เปลือกนอกก็ตาม แต่พวกเราก็ควรจะหวงแหนความสงบที่ได้มานี้ให้มากกว่านี้ ฉะนั้นเรามาจัดการเรื่องนี้ภายใต้กฎของนครภูผาหลิวฮวงกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องให้เกิด ’อุบัติเหตุ’ บางอย่างขึ้นเพื่อที่พวกเราจะได้ออกไปหาหลักฐานมัดตัวเจ้าพวกคนทรยศนั้น รวมทั้งไปจัดการคนบางคนให้ตายอย่างเป็นอุบัติเหตุด้วย”

“เช่นนั้นค่ะ เมื่อครั้งที่ความวุ่นวายเกิดขึ้นแล้ว เหล่าสายลับของดิฉันจะเริ่มออกรวบรวมหลักฐานในทันที ตราบใดที่พวกเราสามารถหาหลักฐานมัดตัวมาได้ นั้นก็ถึงเวลาที่สำนักผู้บังคับใช้กฎหมายและสำนักพิพากษาออกโรงแล้วค่ะ”

“เจ้าเตรียมการเรื่องนักแกะรอยกับเวทยนต์ตราประทับตามตัวเสร็จแล้วรึยัง? ข้าไม่อยากให้มีนักโทษคนไหนหนีพ้นไปได้จริงๆ”

“ค่ะ ดิฉันได้เตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เวทยนต์ตราประทับตามตัวได้ถูกผสมลงในน้ำดื่มของพวกนักโทษเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะไม่เลือนหายไปอีกกว่า 3 เดือน ซึ่งนั้นคงเกินพอที่จะจับนักโทษทั้งหมดกลับมาค่ะ โดยสมาชิกทั้งหมดของหน่วยสายลับผู้สังเกตการณ์กว่า 3600 ชีวิตจะเข้าร่วมในปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ด้วยค่ะ แล้วตราบใดที่ผู้ที่แหกคุกออกมายังไม่เกินพันคน ย่อมไม่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์คนไหนต้องได้รับบาดเจ็บค่ะ”

“อืม ถ้างั้นก็ปล่อยให้หมาออกไปกัดละกัน ในเมื่อนครภูผาหลิวฮวงสงบสุขมามากเกินไป เช่นนั้นข้าก็จะเป็นคนตัดก้อนเนื้อร้ายนี้ให้เอง”

ปล่อยให้นักโทษแหกคุกออกมาเพื่อล่องูออกจากรัง นี่เป็นทางเลือกที่อันตรายนัก เมื่อครั้งที่ข้าอธิบายแผนการนี้ให้เหล่าสี่จตุรเทพฟัง ข้าต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลยกว่าที่ทั้งสี่คนจะหันมาสนับสนุนแผนการนี้

“ค่ะ ทางผู้สังเกตการณ์จะเป็นคนบังคับให้เหล่าอาชญากรพิเศษไปที่สถานที่เหมาะๆเองค่ะ แม้พวกอาชญากรจะไม่มาตามที่เราต้องการ เหล่าสายลับที่แฝงตัวอยู่ก็จะเป็นคนล่อมาเองค่ะ แต่ว่านะคะ ดิฉันเป็นห่วงทางปี่เฟิงมากกว่าค่ะ ว่าจะปล้นคุกออกมาสำเร็จรึเปล่า”

“อย่าดูถูกเจ้าหมอนั้นไป เจ้าลองดูนี่ซะสิ”

เมื่อได้เห็นเอกสารที่อยู่ตรงหน้า แม้แต่อิลิซ่าที่ปกติสีหน้าไร้อารมณ์ยังส่งเสียงร้องตกใจออกมา

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าโรคจิตนั้นเป็นนักล่ามนุษย์สัตว์ชั้นทองคำ! นักฝึกสัตว์?”

“ใช่แล้ว นี่แหละคือข้อได้เปรียบของเหล่าผู้ที่เกิดมามีอายุยืนนาน ตราบใดที่เจ้าอายุยืนพอเจ้าก็จะแข็งแกร่งได้เองในที่สุด ส่วนนักล่ามนุษย์เองก็ถือเป็นผู้ฝึกสัตว์โดยธรรมชาติเช่นกัน แล้วยิ่งความรักที่เจ้าหมอนี่มีให้กับเหล่าสรรพสัตว์อีก... ช่างเถอะ เราอย่าไปพูดถึงเรื่องกันเลย มันน่าขยะแขยงเกินไปน่ะ เจ้าลองดูที่รายงานอีกครั้งสิ...”

“ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากที่เป้าหมาย X เข้าสู่ที่คุมขังเหล่าเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ร่วมห้องขังกับเป้าหมายต่างก็ร้องขอที่จะเปลี่ยนห้อง ขนาดที่มีคนร้องตะโกนออกมาว่า ‘อย่าจับข้ามาอยู่รวมกับเจ้าโรคจิตแบบนี้! ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมเปลี่ยนห้องให้ข้า ข้าจะตายจริงๆด้วย’ พร้อมกันนั้นก็มีนักโทษเอาหัวโขกกำแพงจะฆ่าตัวตายจริงๆ... นี่มันเกินจริงไปแล้วนะคะ!!”

“...ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีเสียง ‘จิ๊ด จิ๊ด’ เอามาจากห้องขังเจ้าหมอนี่อีก เจ้าหมอนี่คงจะเป็นคนเรียกพวกหนูมาเป็นตัวช่วยน่ะ... ข้าหวังว่าเจ้าหมอนั้นจะเรียกหนูมาเพื่อช่วยแหกคุกนะ ข้าไม่อยากไปคิดจริงๆว่าเจ้าหมอนี่จะเรียกหนูมาทำการอื่น”

เมื่อข้าคิดถึงเรื่องนั้น จิตสังหารที่ข้าสะกดไว้อย่างยากเย็นก็เกือบจะปะทุออกมาอีกครั้ง

“นี่ต้องทำแบบนี้จริงๆรึคะ? ไม่มีความลับใดที่จะเป็นความลับได้ตลอดกาลหรอกนะคะ ถ้าเราปล่อยนักโทษออกไปจนเกิดข่าวลือขึ้นมา ชื่อเสียงของท่านคง...”

“ถึงแม้พวกเราจะสามารถปิดข่าวเอาไว้ได้ แต่เรื่องที่เรือนจำของระบบกฎหมายถูกปล้นก็ยังคงเป็นเรื่องจริงมิเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นการลดตำแหน่ง การสอบสวนและการลงโทษนั้นเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ แม้เจ้าอดัมจะไม่ยอมสั่งคำสั่งลงโทษลงมา ข้าก็จะเป็นคนไปร้องขอบทลงโทษด้วยตัวข้าเอง”

แม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่าครึ่งค่อนวัน แต่อิลิซ่าก็ยังถามคำถามข้าต่อไป

“มันคุ้มกันรึค่ะ ที่ท่านจะมาทำลายชื่อเสียงของท่านเช่นนี้น่ะ?”

“ถ้าเกิดลาภยศชื่อเสียงของลูกน้องเหนือกว่าตัวหัวหน้าขึ้นมา นั้นคงเป็นการยากเวลาที่ตัวหัวหน้าจะทำการอันใด ในเมื่อข้าตัดสินใจที่จะผลักดันให้แอนนี่ขึ้นเป็นเจ้านครคนใหม่แล้ว พวกเราก็มาจัดการตามนี้ละกัน แถม...”

“แถม?”

“ยุคสมัยใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึงแล้ว นี่เป็นกระแสที่มิอาจหยุดยั้งได้ ในสถานการณ์การเปลี่ยนยุคสมัยเช่นนี้ ชื่อเสียงของข้าจะมีผลอันใดเล่า นอกจากนี้...”

“นอกจากนี้ ท่านยังคิดว่าแอนนี่ตัวน้อยจะปลื้มในความเสียสละของท่าน จนมาขอท่านแต่งงานสินะ”

ใบหน้าของข้าตอนนี้เต็มไปด้วยความตกใจ แต่แล้วข้าก็ได้ยินคำที่ตามมาของนาง

“หึ มาขอท่านแต่งงานเนี่ยนะ? โฮะโฮะ ถ้าดูจากนิสัยของแอนนี่แล้ว นางก็คงแค่โกรธท่าน หงุดหงิดท่าน จนเมินท่านในที่สุดเท่านั้นแหละ หึ! ขอให้ท่านโดนเมินไปตลอดทั้งชีวิตของท่านเลย!”

เมื่อได้เห็นใบหน้าสีแดงชาดของแม่สาวครึ่งปิศาจที่ต่างไปจากใบหน้าอันไร้อารมณ์ในยามปกติ ตัวข้าที่ราวกับโดนคำสาป ก็พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา

“เจ้าเนี่ยน๊า นี่เจ้าหึงข้ารึไง? หึงที่ข้าดีต่อแอนนี่มากกว่าที่ดีต่อเจ้า?”

เมื่อสิ้นคำข้า ราวกับว่าบรรยากาศภายในห้องนี้ได้แข็งค้างไปในทันที... เมื่อมองดูความแดงกล่ำที่ปรากฏบนใบหน้าของคุณสาวใช้ปากร้ายที่ตอนนี้ได้ลามไปถึงใบหูทั้งสองของนางแล้ว รวมทั้งความเขินอายที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ข้าก็เริ่มสวดมนต์ขอพรขอให้เหล่าคอลเลคชั่นของสะสมของข้าอยู่รอดปลอดภัยด้วยเถอะ

“ซวยแล้ว ข้าไม่น่าปากพล่อยเลย นางต้องเอาคืนข้าเรื่องนี้แน่ๆ!!”

แปลกยิ่งนัก ที่นางเลือกที่จะเงียบกริบเช่นนี้ จนเป็นเวลาอีกกว่าครึ่งวันกว่าที่นางจะค่อยๆปริปากพูดออกมา

“ถ้าดิฉันหึงท่านจริงๆ ท่านจะ...”

น้ำเสียงของอิลิซ่านั้นค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ จนส่วนท้ายมิอาจได้ยินได้อีก

“เจ้าว่าไงนะ?”

ในตอนที่สมองของข้ากำลังประมวลผลเพื่อหาคำพูดหรือมุกตลกมากล่าวเพื่อดึงบรรยากาศภายในห้องให้กลับมาเหมือนเดิม แต่จู่ๆประตูห้องทำงานข้าก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน พร้อมกับโครเซ่ที่เร่งรีบเข้ามา พร้อมกันนั้นอิลิซ่าที่กำลังหน้าแดงก็รีบหายเข้าไปในร่มเงาภายในห้องอย่างรวดเร็ว

“ท่าน เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เรือนจำนครภูผาหลิวฮวงโดนบุกปล้น!!!”

“อะไรกัน ทำไมเจ้าต้องตื่นตกใจด้วยเล่า? นี่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผนการหรอกรึ”

“แต่... แต่นี่ไม่ได้อยู่ในแผนการ! เจ้าโรคจิตนั้นยังไม่ได้เริ่มขุดทางหนีเลยท่าน แต่เรือนจำส่วนอื่นกลับถูกบุกปล้นแล้ว มีคนมาบุกคุกจริงๆ! นี่เป็นการปล้นคุกจริงๆเลยท่าน!! เหล่านักโทษได้หลบหนีไปกันหมดแล้ว!! ตอนนี้พวกเราควบคุมสถานการณ์ใดๆไม่ได้อีกแล้วท่าน”

ปั๊ก!” นี่คือเสียงที่ข้าเผลอใช้แรงมากเกินไปจนที่วางแขนของเก้าอี้ข้าแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับข้าที่เสียการควบคุมจนทำให้เกิดสุญญากาศพลังเวทย์ขึ้น

แล้วในวินาทีต่อมา ทั่วทั้งห้องก็ถูกปกคลุมด้วยสีเพียงสองสี สีดำและขาว แบ่งแยกห้องแห่งนี้ออกจากโลกอันหลากสีสัน อิลิซ่าได้ถูกผลักออกจากเงาที่หลบอยู่ ส่วนโครเซ่ก็ถูกพลังเวทย์ส่งลอยออกจากห้องนี้ผ่านทางประตูห้องไป

“ไอ้พวกบัดซบนี่พวกเจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อกันแล้วใช่มั้ย ถึงได้มาหาเรื่องกับศาลภายใต้อาณัติข้า!! เจ้าพวกโง่บัดซบหูหนวกตาบอด ข้าจะฆ่าล้างตระกูลพวกเจ้า!!”

และแล้วคำประกาศที่ราวกับนักเลงนี้ก็กลายเป็นประวัติศาสตร์อันดำมืดในชีวิตของท่านตุลาการสูงสุดวูเมี้ยนเจ้อผู้สุภาพนอบน้อมไปในที่สุด...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด