ตอนที่แล้วตอนที่ 5 ตุลาการสูงสุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7 พาน้องหมาไปเดินเล่น

ตอนที่ 6 ทำงานทำการ


“ท่านผู้พิพากษา! พวกเราชาวเดมิแรมได้ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงแพะจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน ในวันนั้นเองที่พวกเราใช้แรงกายแรงใจไปมากมายจนในที่สุดเราก็ได้พบกับผืนทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ ตอนนั้นเองที่พวกเราลดความระมัดระวังลงจากเหล่าดวงใจของพวกเรา พวกนังปิศาจเหล่านั้นก็เข้ามา!!”

“ใช่แล้วๆ นางได้ขโมยเหล่าทูนหัวของพวกเราไป แม้แต่สินทรัพย์ของพวกเราก็จะยังเอาไป ดูสิท่าน นางยังมีหน้ามาบอกว่านางเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอีก มีที่ไหนกันผู้บังคับใช้กฎหมายที่ประพฤติตนเช่นหัวขโมยเยี่ยงนี้?”

ตรงหน้าข้าตอนนี้คือกลุ่มของเดมิแรมที่กำลังเดือดดาล มนุษย์สัตว์ตัวจิ๋วเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความเจ้าเล่ห์และพูดมากไร้สาระจนน่ารำคาญ แต่บัดนี้บนแก้มของเจ้าพวกมนุษย์สัตว์นี่อาบไปด้วยน้ำตาและใบหน้าที่แสดงถึงความขุ่นเคืองคับแค้นใจนั้น ราวกับว่าพวกตนไปพบกับความไม่เป็นธรรมครั้งใหญ่มา

“ท่านผู้พิพากษา ท่านต้องช่วยให้ความเป็นธรรมกับเราด้วย! สมบัติทรัพย์สินทั้งชีวิตของพวกเราถูกพวกนังปิศาจแย่งชิงไปหมดไม่มีเหลือแล้ว”

“ใช่แล้วๆ เซียร์ตัวน้อยที่น่าสงสารของข้า ตัวเจ้าพึ่งอายุได้แค่ 2 เดือนเอง ตัวเจ้ายังไม่อย่านมเลยเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวน้อยก็ต้องถูกพลัดพรากจากอ้อมอกแม่โดยพวกนังปิศาจนั้น ตัวท่านยอมให้เกินเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!?”

“เมื่อสายลมพัดจากทิศทักษิณ หิมะล่องลอยมาพร้อม เหล่าแพะเอ่ยเจ้ายังเยาว์วัยนัก แต่เหล่าหมาป่าไร้หัวใจเหยียบย่ำมาถิ่นบ้านเรา.....”

ตัวข้าเองนั้นได้เห็นคนน่าสงสารมาก็มากในชั้นศาลนี้ แต่ภาพที่เหล่าเดมิแรมรวมกลุ่มกันร้องไห้น้ำตานองพร้อมประสานเสียงคร่ำครวญกันอีกแบบนี้ไม่ใช่ภาพที่จะพบเห็นได้ทุกวันเลยนะเนี่ย แต่ก็สมแล้วที่เป็นเดมิแรมผู้สร้างสรรค์ด้านศิลปะ ดูสิเริ่มจับกลุ่มกันร้องเพลงประสานเสียงความคับแค้นใจของพวกตนให้ออกมาเป็นถ่วงทำนองแล้วตอนนี้

ความจริงในช่วงแรกๆ ข้าก็รู้สึกจับจิตจับใจอยู่หรอกนะไอ้การแสดงดนตรีเนี่ย แต่หลังจากดูไปสักครึ่งวันเห็นจะได้ ข้าก็รับรู้ว่าความสามารถของเจ้าพวกนี้ก็งั้นๆ เนื้อร้องก็วนซ้ำๆซากๆ ด้วยการที่ข้านั้นหมดความสนใจในเจ้าพวกนี้แล้ว ข้าขอหาวสักทีก่อนแล้วก็ประกาศคำตัดสินออกไป

“ข้าขอประกาศให้เหล่าผู้บังคับใช้กฎหมายไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เดมิแรมเผ่าคาร์มูซี พวกเจ้าสามารถไปรับตัวแพะของพวกเจ้าคืนได้หลังจากจ่ายค่าปรับให้เรียบร้อย คำตัดสินนี้ถือเป็นที่สุด โจทก์ไม่สามารถร้องเรียนอุทธรณ์ได้อีก”

“ท่านผู้พิพากษา!!”

“ไม่ยุติธรรม!”

ที่แท่นยืนฝ่ายจำเลย รองหัวหน้าแห่งหน่วยรักษาความสงบ หยาเหวินถอนหายใจออกอย่างโล่งอก ส่วนฝ่ายโจทก์ก็ยังคงคร่ำครวญถึงสวรรค์ชั้นฟ้าเกี่ยวกับคำตัดสินของข้า แต่ข้าไม่ยอมขยับออกจากที่พำนักข้าไปไล่พวกเจ้าเองหรอกนะ

“เจ้าหน้าที่ศาล ช่วยพาเหล่าโจทก์ออกไปที คดีต่อไป”

“เจ้าหน้าที่ฉ้อฉลออกใช้อำนาจบาดใหญ่ ระบบกฎหมายไร้ความยุติธรรม! ผู้พิพากษาโง่งมเข้าข้างเจ้าหน้าที่โกงกิน!!”

เฮอะ ก็จบลงแบบนี้เสมอล่ะนะที่ต้องโดนด่าเนี่ย แต่มาว่าข้าเป็นผู้พิพากษาโง่งมต่อหน้าแบบนี้ ข้าเองชักรู้สึกอารมณ์ไม่ดีมานิดๆแล้วนะตอนนี้

“เจตนาหมิ่นประมาทผู้พิพากษา ข้าขอติดสินโทษเจ้าด้วยค่าปรับเป็นจำนวน 10 เหรียญทอง และอีกเรื่อง ถ้าครั้งหน้าพวกเจ้ายังปล่อยปศุสัตว์ออกมาในพื้นที่สีเขียวของนครอีก ปศุสัตว์ของเจ้าจะถูกยึดเป็นของหลวง”

ถึงเจ้าพวกนี้จะได้รับสิทธิ์ในการเลี้ยงปศุสัตว์ก็จริง แต่การมาใช้พื้นที่สีเขียวของนครภูผาหลิวฮวงเพื่อเลี้ยงสัตว์ส่วนตัวแบบนี้ มันไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิเสรีส่วนบุคคลอีกแล้วแต่เป็นเรื่องการทำลายสมบัติสาธารณะแทนแล้วต่างหาก

ในเวลาเพียงแค่ 6 เดือน ทางการต้องให้เงินไปนับร้อยนับพันสำหรับพื้นที่ทุ่งหญ้าและสวนที่เสียหาย ซึ่งนี่เป็นแค่การคำนวณแบบหยาบๆจากทรัพยากรและแรงงานที่ต้องใช้ในปฏิบัติการฟื้นฟู ในทางกลับกัน ที่พวกเดมิแรมทำเช่นนี้ก็ประหยัดค่าหญ้าไปได้เพียงไม่กี่ร้อยเหรียญทองเท่านั้น

ครั้งนี้ เหล่าเดมิแรมที่เชี่ยวชาญในการเถียงจากผิดเป็นถูกได้หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ ที่กล้ามาร้องเรียนว่าหน่วยรักษาความสงบได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการบังคับใช้กฎหมายเนี่ย เจ้าพวกนี้คงคิดว่าข้าเป็นไอ้โง่งั้นสินะ

“แล้วก็ คนที่บอกว่าข้าเป็นผู้พิพากษาโง่งมเมื่อครู่นี้ เจ้าต้องไปทำงานอาสาไร้ค่าแรงที่ศูนย์ชุมชนเป็นเวลาอีก 2 เดือน แล้วถ้าใครยังจะพูดจาอะไรไร้สาระอีกก็ต้องประสบชะตาเฉกเช่นเดียวกับมัน และครั้งหน้า ช่วยกรุณาไปซื้อหญ้าจากร้านขายหญ้าไม่ก็พาปศุสัตว์ของเจ้าไปกินหญ้านอกนครด้วยล่ะ ถ้าพวกเจ้ายังปล่อยปศุสัตว์มาทำผิดซ้ำเดิมอีก เผ่าของเจ้าทั้งเผ่าต้องออกไปจากนครภูผาหลิวฮวง”

สำหรับเหล่าเดมิแรมแสนเจ้าเล่ห์แต่ดันขี้เกียจแล้ว แค่พาปศุสัตว์ออกไปกินหญ้าพร้อมไปงีบหลับยังถือเป็นงานที่เหนื่อยยากสำหรับเจ้าพวกนี้เลย

แล้วที่ให้พวกเจ้านี้ไปทำงานเพื่อเผ่าพันธุ์อื่นก็ถือได้ว่าเป็นบทลงโทษที่สาหัสมากแล้ว ยิ่งให้เจ้าพวกละโมบโลภมากนี่ไปทำงานเพื่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนอีกรับรองได้เลยว่าบทลงโทษนี้สำหรับเจ้าพวกเดมิแรมแล้วสาหัสยิ่งกว่าโทษตายซะอีก

เมื่อได้รับรู้ว่า ยิ่งพูด ยิ่งโดนโทษหนัก ทันตาเห็น เสียงร้องไห้และเสียงเพลงหยุดลงทันทีพร้อมเหล่าเดมิแรมตั้งแถวออกจากศาลไปอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

เมื่อเห็นดังนั้น ข้าก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“คดีต่อไป!”

ระหว่างที่รอการพิจารณาคดีต่อไปอยู่นั้น ข้าได้นั่งดูสำนวนคดีไปพร่างๆ แต่เมื่อข้าจ้องไปที่จำเลยของคดีที่กำลังยิ้มระรื่นอยู่ตอนนี้ หน้าข้ามุ่ยขึ้นทันตา และแล้วความสงสัยที่ว่าทำไมผู้พิพากษาท่านอื่นถึงได้เหลือคดีนี้ให้ข้าจัดการก็หายไปในทันที นี่ไม่ใช่คดีที่จะจัดการได้ง่ายๆจริงๆซะด้วย

“จำเลย เฮรอท์ ปี่เฟิง เผ่าพันธ์ แดร๊กก้อน อาชีพ นักล่า ข้อกล่าวหา ลักพาตัวและพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม”

ทั้งที่หลักฐานในคดีก็เหลือเฟือและเจ้าตัวเองก็รับสารภาพ แต่คดีนี้ก็ยังสามารถสร้างความปวดหัวให้ข้าได้

ถึงวิธีของเจ้าหมอนี่จะสกปรก แต่นักล่าปี่เฟิงผู้นี้ก็สามารถทำความฝันที่นักล่าหลายๆคนทำไม่สำเร็จได้สำเร็จนั้นคือการจับดรูอิดมาเป็นสัตว์เลี้ยงของตนได้ แต่หลังจากที่ทำสำเร็จแล้ว เจ้าหมอนี่กลับปฏิบัติกิจอนาจารร่วมกับสัตว์เลี้ยงของตนท่ากลางสาธารชนหลายครั้งหลายคราว ยิ่งกว่านั้น ยังให้ดรูอิดแปลงกายเป็นหมี บางครั้งก็เสือดำ บางครั้งก็นก ไม่มีครั้งใดเลยที่ทั้งคู่ปฏิบัติกิจกันในร่างมนุษย์....ที่ร้ายแรงกว่านั้นตัวดรูอิดนั้นเป็นผู้ชายและตัวปี่เฟิงเองก็เป็นผู้ชายเช่นกัน....

“ช่างต่ำเกินไปแล้ว! ช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก เหตุการณ์นี้ต้องส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรมที่ดีของนครภูผาหลิวฮวง ข้าขอร้องขอให้ท่านตัดสินเจ้าลักเพศพ่วงด้วยรสนิยมเสพสมกับสัตว์ป่านี้ด้วยโทษตายด้วยเถิด ภายใต้เหตุผล ‘เพื่อทำให้ค่านิยมทางสังคมแห่งนครภูผาหลิวฮวงกลับมาถูกต้องดังเดิม’” อัยการชาวก็อบลินที่อยู่ที่นั่งฝั่งโจทก์เอ่ยออกมาอย่างเร้าร้อน คดีนี้นั้นได้ถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่ผู้พิพากษาชั้นล่างๆจนตอนนี้มาถึงตุลาการสูงสุด และบัดนี้เองก็ถึงช่วงสำคัญที่จะจบคดีนี้แล้ว

“ทุกท่านต้องรับทราบก่อนนะครับว่าด้วยฐานะเผ่าแดร๊กก้อนของตัวจำเลยแล้ว ในสายตาของพวกเขาเหล่านี้นั้น ‘การเป็นคู่ขากับเหล่าสัตว์ป่า’ เป็นประเพณีที่สืบต่อมาและเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะปฏิบัติตาม ทุกท่านด้วยฐานะประชาชนของนครภูผาหลิวฮวงแล้วพวกเรานั้นต่างมีเกียรติภูมิที่สืบกันมาอย่างยาวนานในเรื่องการยอมรับถึงตัวตนวัฒนธรรมประเพณีของเผ่าอื่นๆไม่ใช่หรอกเหรอ แล้วหลักรากฐานของประมวลกฎหมายแห่งนครเรานั้นคือการลงทัณฑ์เฉพาะผู้ที่ล้ำเส้นแห่งกฎหมายในบทประมวล เช่นนั้นพฤติกรรมเสพสมกับสัตว์ป่านั้นมีห้ามไว้ในประมวลรึไม่? ในเมื่อไม่ได้มีห้ามไว้ เช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด เฉกเช่นนี้แล้วเขาผู้นี้ไม่สามารถถูกเรียกว่าผู้กระทำผิดได้ ดังนั้นเขาผู้นี้จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะต้องได้รับการลงทัณฑ์ใดๆอีกด้วย”

เมื่อกล่าวการตีความบทจากประมวลกฎหมายเสร็จแล้ว ทนายความฝ่ายจำเลย โครเซ่ ก็ได้กลับมาถือไพ่เหนือกว่าฝ่ายโจทก์ แต่ในแววตาของทนายความผู้นี้นั้นกลับฉายแววความดูหมื่นดูแคลนต่อจำเลยที่ตนต้องว่าความให้แทน

ในสายตาของเหล่าเอลฟ์ที่นับถือธรรมชาติเองแล้ว การกระทำของนักล่าปี่เฟิงนั้นสมควรตายสักหลายพันครั้งได้แต่ที่นี่คือชั้นศาล ตัวโครเซ่ไม่สามารถที่จะทรยศต่อความเป็นมืออาชีพด้านทนายความเพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้

ก็อย่างที่โครเซ่กล่าวมา เนื่องด้วยไม่มีกฎข้อใดในประมวลที่ลงไว้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด แม้แต่ตัวฝ่ายโจทก์เองยังหาข้อหาที่ชัดเจนในการฟ้องร้องไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการกำหนดโทษที่จำเลยต้องได้รับ

“จะมีประมวลกฎหมายที่ใดกันที่ยอมผ่อนปรนให้การกระทำที่น่าสะอิดสะเอียนอย่างการสมสู่กับสัตว์ป่าเช่นนี้ ถ้าเจ้าสารเลวนี่ถูกตัดสินว่าบริสุทธิ์จริง แล้วเราจะยังคงรักษาเกียรติและความยุติธรรมของกฎหมายได้อย่างไรกัน!”

เมื่อได้ฟังคำแย้งจากฝ่ายจำเลย ผู้ฟ้องร้อง(อัยการ)ชาวก็อบลินลุกโชนไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แม้เจ้าตัวจะใส่หน้ากากเงินที่ปกปิดไม่ให้สามารถเห็นสีหน้าได้ก็ตามแต่ แต่ด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกาจและเส้นเลือดที่ปูดโปนภายใต้หน้ากากนั้น ดูท่าความโกรธนี้ใกล้จะถึงจุดปะทุเต็มที่แล้ว

ก็ควรจะโกรธอยู่หรอก เพื่อคดีนี้แล้ว เจ้าตัวต้องพยายามอย่างหนักถึงขั้นไปให้การในชั้นศาลถึงสองครั้งสองคราว แล้วตอนนี้พวกตนก็ได้มาอยู่ต่อหน้าตุลาการสูงสุดแล้ว คงยิ่งตั้งมั่นเข้าไปอีกว่าจะไม่ปล่อยให้ไอ้วิตถารนี่รอดพันจากเงื้อมมือของกฎหมายไป

เมื่อข้ามองจ้องไปยังไอ้วิตถารหน้ากิ้งก่าและเจ้าตัวหน้ากิ้งก่าเองก็จ้องมองข้ากลับเช่นกัน ใบหน้าของเจ้านี่สงบนิ่งไม่มีเศษเสี้ยวของความรู้สึกเป็นภัยหรือความรู้สึกประมาทที่ปกติจำเลยพึ่งมีปรากฏอยู่เลย

ยิ่งชุดคลุมพิพากษากึ่งเทวะของข้ายังแสดงผลอยู่ด้วยแล้ว ยังคงรักษาความสงบนิ่งภายใต้แรงกดดันของเครื่องสวมใส่เทวะแบบนี้ได้แล้ว ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ชัดได้เลยว่าเจ้าหน้ากิ้งก่านี่เชื่อว่าตนนั้นบริสุทธิ์จริงแถมในใจยังปราศจากความรู้สึกผิดใดๆ เพราะเช่นนี้เองความสามารถของชุดคลุมจึงไร้ผล

“วัฒนธรรมต่างกัน? ไม่ใช่หรอก แล้วมีแดร๊กก้อนตนอื่นมีงานอดิเรกร่วมกันเหมือนเจ้านี่มั้ยล่ะ เจ้าหน้ากิ้งก่านี่คงรู้เรื่องกฎหมายหรือไม่ก็มีนกรู้ไปบอก ถึงได้รู้ว่าข้าไม่สามารถตัดสินให้มันมีความผิดได้ โฮะ โฮะ ต้องอย่างนี้สิต่างโลกต้องมีคดีสนุกๆมาให้ข้าตัดสินบ่อยๆแบบนี้”

“โฮะ โฮะ นี่ข้ากลับได้รึยังเอ่ย? สัตว์เลี้ยงข้ากำลังรอให้ข้าไปให้อาหารอยู่นา”

พอเห็นข้าเริ่มหัวเราะ เจ้าแดร๊กก้อนเองก็เริ่มหัวเราะตามข้าไป

ดูท่าไอ้ใบหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเสียงหัวเราะนั้นจะเป็นการท้าทายข้านะเนี่ย ชักสนุกขึ้นมาแล้วสิ

“ปัง!”

ค้อนพิพากษาฟาดเสียงลั่น พร้อมกับข้าที่ประกาศคำตัดสิน

“คำตัดสิน บริสุทธิ์จริง ให้ทำการปล่อยตัวจำเลยไป”

ในเมื่อตัวบทประมวลไม่ได้บัญญัติไว้ว่าการกระทำนี้เป็นความผิดแต่อย่างใด และด้วยตัวกฎหมายที่ข้าเขียนขึ้นกลับมีช่องว่างเช่นนี้ ตัวข้าก็ขอน้อมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ไป

หลังได้ยินเช่นนั้น เฮรอท์ ปี่เฟิงก็หัวเราะอย่างจริงใจออกมาแต่รอยยิ้มบนหน้าของเจ้านี่กลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“สมแล้วที่ระบบยุติธรรมแห่งนครภูผาหลิวฮวงนั้นเที่ยงตรงที่สุดโลก”

แต่...

“อัยการโลว์ เจ้าอย่าได้โมโหไป เจ้าก็น่าจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าในเมื่อบทประมวลไม่ถือให้การกระทำของชายผู้นี้เป็นความผิด ข้าก็ไม่สามารถตัดสินให้ชายผู้นี้มีความผิดได้”

ตัวโลว์เองก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่เพราะว่ารู้ยังไงล่ะถึงโมโหได้ขนาดนี้ที่ต้องยอมปล่อยให้ตัวผู้กระทำผิดหลุดรอดจากความยุติธรรมไปได้ เท่ากับว่านี้เป็นเหยียบหน้าตัวศาลสูงสุดและระบบความยุติธรรมอย่างเจ็บแสบเลยทีเดียว

“แต่ว่า ท่าน....”

“นี่โลว์ เจ้าเตรียมตัวสำหรับการประชุมร่างกฎหมายที่สำนักนิติบัญญัติในสัปดาห์หน้าเสร็จรึยังล่ะ?”

“หืม? โอ้ ข้าเข้าใจแล้วครับท่าน!!”

เนื่องด้วยคำถามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับสถานการณ์ในปัจจุบันเลย โลว์ได้แต่หยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถึงบางอ้อ(นึกขึ้นได้) แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆเบ่งบานบนใบหน้าของชายผู้นี้

ตัวศาลสูงสุด ไม่ใช่เป็นแค่เพียงองค์กรที่ไว้ตัดสินโทษผู้กระทำผิดเพียงเท่านั้น แต่ยังแยกย่อยไปเป็นอีก 4 สำนักย่อย และสำนักนิติบัญญัตินั้นมีหน้าที่รับผิดชอบในการร่างกฎหมายใหม่ ซึ่งตัวศาลสูงสุดเองนั้นก็ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ตรวจสอบขั้นสุดท้ายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายใหม่รวมทั้งจำกัดความทางกฎหมายให้ชัดเจนขึ้นด้วย

“ใช่แล้ว ในเมื่อสหายเฮรอท์อุตส่าห์ช่วยเหลือพวกเราให้เจอช่องว่างในบัญญัติกฎหมาย สหายอุตส่าห์เหนื่อยยากพวกเราก็ต้องสนองด้วยการปิดช่องว่างนั้นสิ โครเซ่เมื่อกฎหมายใหม่ผ่านร่างแล้ว ข้าคงต้องขอรบกวนให้เจ้าส่งเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบไปแวะเวียนพูดคุยกับสหายผู้นี้บ่อยๆหน่อยเพื่อสหายเราจะได้เยี่ยมเยือนพวกเราบ้าง เพราะยังไงพวกเรายังต้องขอบคุณสหายอีกมากนัก”

คำพูดเหล่านี้ย่อมไม่พ้นจากหูของเฮรอท์ ปี่เฟิง หน้าของปี่เฟิงทื่อลงทันตาเมื่อคิดถึงวินาทีที่ตนต้องถูกจับมาที่นี่อีกครั้ง

สำหรับทางเลือกที่จะไม่ทำพฤติกรรมน่ารังเกียจนั้นอีกน่ะเหรอ? ตั้งแต่ต้นแล้ว สำหรับชายผู้มองว่า ‘การสอดประสานจังหวะร่วมกับสัตว์ทั้งหลาย’ เป็นความสุขสูงสุดในชีวิต ย่อมไม่มีทางเลือกเช่นนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว

แต่ทางทนายความฝ่ายจำเลย โครเซ่ เมื่อได้ยินที่ข้ากล่าวไป ใบหน้าของทนายผู้นี้ก็เปี่ยมไปด้วยความยินดีระคนโล่งอก

“ครับท่าน ข้าจะไปจัดการให้ในทันทีเลย ‘การสอดประสานจังหวะร่วมกับสัตว์ทั้งหลาย’ ช่างเป็นการกระทำที่ผิดธรรมชาติและน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก ผู้กระทำต้องโดนลงทัณฑ์ ยิ่งถ้าทำต่อหน้าสาธารณชนโทษยิ่งหนักเป็นสองเท่า!”

“แล้วก็อย่าลืมเพิ่มกฎใหม่นี้ลงไปในหัวข้อทารุณกรรมสัตว์ด้วยล่ะ การกระทำเยี่ยงนี้สมควรโดนเพิกถอนสิทธิการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยง นี่น่าจะพอเป็นประกันได้แล้วว่าชายบางคนจะไม่สามารถกระทำการซ้ำเดิมได้อีก”

ในฐานะสมาชิกผู้ทรงเกียรติแห่งชมรมเรารักสัตว์เลี้ยงแห่งนครภูผาหลิวฮวงแล้ว ข้าย่อมไม่ยอมให้มันผู้นี้ข่มเหงรังแกบรรดาสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่น่ารักต่อไป ฉะนั้นแล้วเพิกถอนสิทธิการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงมันเลยละกัน

และแล้ว เฮรอท์ ปี่เฟิง ก็เริ่มหลั่งน้ำตา ถ้าตนยังอยากอยู่ในนครภูผาหลิวฮวงต่อไป งานอดิเรก ‘การสอดประสานจังหวะร่วมกับสัตว์ทั้งหลาย’ ต้องหยุดลงตั้งแต่นี้ไป

ด้วยประการฉะนี้ ภายใต้แผนร้ายของข้า ความภาคภูมิแห่งกฎหมายก็ยังคงถูกรักษาไว้ได้

แล้วถ้าเกิดตัวปี่เฟิงตัดสินใจยอมกลายเป็นคนใหม่ล่ะ? ก่อนอื่นเราอย่าไปพูดถึงเรื่องที่ส่วนตัวแล้วข้าคิดว่ามันต้องยากขนาดไหนกันถึงจะเปลี่ยนรสนิยมของเจ้านี่ได้ แต่ถ้าเจ้านี่ทำได้จริง ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี

“คดีต่อไป....” ถึงแม้ว่าคดีเหล่านี้จะชวนปวดหัวและน่าเบื่อแต่ไม่ใช่ว่าทุกอาชีพก็เหมือนกันหรอกเหรอ

น่าเบื่อ ไร้สีสันแต่ในบางเวลางานเหล่านี้ก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่า สิ่งที่เรานั้นมันสำคัญต่อหลายๆคนและมีความหมายต่อหลายๆสิ่งเพียงใด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด