ตอนที่แล้วบาทที่ 20
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบาทที่ 21

ทุติยบท สำนักเซียน


ทุติยบท สำนักเซียน

พวกเขาเดินไปยังลานประลองซึ่งบัดนี้เปลี่ยนสภาพเป็นสถานที่รับสมัครไปแล้ว ซึ่งแต่ละสำนักได้ตั้งโต๊ะพร้อมป้ายสำนักไว้ หากว่าใครต้องการเข้าสู่สำนักไหนก็สามารถไปลงชื่อได้ทันที

สำนักทุกสำนักจะดูพลังเซียนที่แผ่ออกมาจากร่างว่าเป็นพลังเซียนของสำนักตนหรือไม่ ซึ่งถ้าหากว่าใช่ก็จะรับเข้าโดยทันที แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะถามเหตุผลและตรวจสอบพรสวรรค์ว่าเหมาะสมหรือไม่ก่อน ด้วยไม่อยากบาดหมางกับสำนักอื่น อย่างเช่นถ้าพวกเขาพบร่างเซียนจักรพรรดิของหงเซียว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรับเข้าสำนักโดยไม่สนใจเงื่อนไขใด

สำนักใหญ่มีห้าสำนัก ก็คือสำนักที่พวกเธอทั้งสี่ได้สร้างภูษาเซียนไว้ นั่นคือ สำนักเซียนห้าธาตุ สำนักเซียนสรรพสัตว์ สำนักเซียนมายา สำนักเซียนโชติช่วง และสำนักพรตปราบภูต

สำนักที่หงเซียวเลือกนั้น เป็นสำนักขนาดกลาง สำนักเซียนสร้างสรรค์ แต่ว่าความร่ำรวยเหนือกว่ากระทั่งสำนักใหญ่เอง ก็เพราะว่าพลังความสามารถในการต่อสู้ของสำนักนี้ด้อยกว่าสำนักใหญ่ทั้งห้ามาก

สำนักของชิวเยว่ สำนักเซียนเจ็ดเมฆานั้นก็เป็นสำนักขนาดกลางสำนักหนึ่ง แต่ก็อยู่ในระดับต้นๆใกล้เคียงกับห้าสำนักใหญ่

“พี่ชาย พวกเราจะไปสำนักที่เลือกแล้วนะ ไม่รู้ว่าจะได้พบกับพี่ชายอีกเมื่อไหร่” จินหลินกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ นับตั้งแต่เธอพ้นจากความเป็นขอทาน เธอก็แทบจะไม่เคยจากเขาไปไกลเลย คราครั้งนี้เมื่อพวกเขาจะต้องแยกย้ายกันไปตามสำนักทำให้เธออดใจหายไม่ได้

“มาสิ” หงเซียวกล่าว เขากางแขนออกเป็นสัญญาณให้เธอเข้ามาในอ้อมกอดของเขา จินหลินเดินเข้ามาราวกับถูกสะกด

เขารวบเอวแข็งแรงแฝงแววดีดสะท้อนของเธอเข้ามาชิดพร้อมกับประกบริมฝีปากลงไปยังริมฝีปากสีออกแสดแดงเรียวบางได้รูปนั้น หญิงสาวไม่เคยได้รับรสจูบเช่นนี้มาก่อนตลอดเวลามานี้ เธอพลันสั่นสะท้านร่างอ่อนระทวยจนต้องพยายามใช้มือรวบคอของเขาไว้

ยังดีที่พวกเขายังอยู่บริเวณร่มไม้ข้างทางห่างไกลจากสนามประลองพอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนที่ผ่านไปมา หากไม่งงงันจนยืนนิ่งเบื้อใบ้ก็จะต้องรีบเบือนหน้าทำหน้าแดงรีบหลีกไป

แม้จะเลิกราจากการใช้ชิวหามานาน แต่ฝีมือของเขาก็ตกไปไม่มากนัก พวกเขาดูดดื่มอยู่นับสิบนาทีเพราะว่าสาวที่ไม่เคยผ่านชายไม่คิดเลิก แต่สุดท้ายหงเซียวก็จำเป็นต้องปล่อยเธอไป เพราะว่ายังมีหญิงสาวรออยู่อีกสามคน และพวกเธอก็สะกิดเขามาหลายครั้งแล้ว สุดท้ายพวกเธอจึงสะกิดจินหลินด้วยความอิจฉา นั่นจึงทำให้เธอยอมเลิกเพราะความอาย

เธอทำหน้าแดงผละออกอย่างอิดออด ไปหลบอยู่หลังเหมยเหมย

“พี่ชาย ข้าจะคิดถึงท่าน...” ซิ่วจูทำหน้าแดงเดินเข้ามาหา มือกำชายเสื้อไว้แน่น ก้มหน้างุด

หงเซียวไม่กล่าวกระไร เขาใช้มือเชยคางของเธอขึ้นแล้วก้มหน้าไปหาริมฝีปากแดงเรื่อโหยหานั้น ก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปจนเธอร่างสั่นสะท้านหลับตาแนบแน่น มือที่จับชายเสื้อนั้นตกห้อยข้างตัวไว้เพราะเธอรู้สึกเหมือนหมดแรง

มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มโอบสะโพกอวบอิ่มของเธอไว้ทันควัน ส่วนอีกมือก็ประคองหลังเธอไว้ไม่ปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาด ดึงร่างของคนทั้งคู่เข้ามาแนบชิด

ระหว่างนั้นสามสาวต่างก็พากันจ้องตาเขม็ง สองในนั้นดูกล้าๆกลัวๆแต่อีกหนึ่งแม้จะซ่อนอยู่หลังคนอื่นแต่กลับมีดวงตาวาววับ

เมื่อเวลาผ่านไปมือที่ตกห้อยข้างตัวของซิ่วจูก็ยกขึ้นมากอดตอบหงเซียวและสุดท้ายก็กอดเขาแนบแน่น ริมฝีปากของเธอส่ายไปมาด้วยความโหยหา

เมื่อเวลานานพอแล้ว คนที่อยู่ด้านหลังก็พากันรีบสะกิด สร้างความขำให้กับหงเซียวยิ่งนัก แต่ซิ่วจูดูเหมือนไม่สนใจจนกระทั่ง

“นี่ซิ่วจู เธอจะไม่ปล่อยพี่ชายเลยหรือไงฮึ” จินหลิวส่งเสียงขึ้น

ซิ่วจูพลันได้สติรีบปล่อยมือออกถอนปากออกทันทีจนเห็นน้ำลายยืดเป็นเส้นยาว เธอหน้าแดงรีบเช็ดริมฝีปาก

“ตาข้า… พี่ชาย...” ซีชี่ตัดใจก้าวออกไปข้างหน้าหงเซียว มือประกบกันอยู่บริเวณทรวงอกตัวสั่น เหมือนกับลูกหนูเผชิญพบกับแมว

หงเซียวยิ้ม พยักหน้า ใช้สองมือจับมือของเธออย่างอ่อนโยนดึงไปโอบรอบคอของเขาไว้ ก่อนจะย้ายมือไปพยุงหลังศีรษะและด้านหลังของเธอก่อนจะดึงริมฝีปากสีชมพูบางใสนั้นเข้ามาหาปากของตนเองและประทับริมฝีปากของตนเองลงไป

ซีชี่สะท้านดุจสายฟ้าฟาดมือที่กอดคอเขานั้นรัดแน่น ไม่ต่างกับคนอื่นริมฝีปากของเธอบดเบียดราวกับจะหาอะไรบางอย่างที่หายไปจากปากของเขา ร่างของเธอก็บดเบียดตัวเขาเหมือนกับว่ายังไม่อุ่นพอ

เหมยเหมยแปลกใจกับด้านนี้ของคนที่อยู่ด้วยกันมานานจนถึงกับต้องนำนิ้วสี่นิ้วใส่ปากโดยไม่รู้ตัว และที่เธอไม่รู้อีกอย่างก็คือนอกจากจินหลินจะมาเกาะหลังเธอแล้ว ซิ่วจูก็ไปเกาะหลังจินหลินอีกต่อหนึ่งพร้อมกับทำหน้าแดงซุกซ่อนอยู่ด้านหลัง

เวลาสิบนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนซีชี่จะรู้ตัว ทันทีที่จินหลินสะกิด เธอก็รีบผละออกไปในทันทีจนหงเซียวแทบเสียหลัก

“เอ๋” เหมยเหมยถูกผลักออกมาอยู่ตรงหน้าเขาด้วยมือหกข้าง

ขณะที่หงเซียวกำลังจะรวบตัวเธอนั้น เหมยเหมยก็ย่อกายก้มหน้าคารวะแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณพี่ชายที่ดูแลพวกเรามาด้วยดีโดยตลอด นับแต่นี้ไปก็ขอฝากตัวไว้กับพี่ชายอีกครั้งแล้ว”

หงเซียวงงงัน แต่ก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว เหมยเหมยก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขาพร้อมกับรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ เธอก้าวเข้ามาประชิดตัวเขาพร้อมกับใช้มือขาวเรียวเรียบเนียนลูบไล้ไปบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาแล้วค่อยเลื่อนไปทางท้ายทอยของเขาแล้วโน้มเขาเข้าไปหาเรียวปากสีแดงอันอวบอิ่มที่เปิดแง้มเล็กน้อยอย่างยั่วยวน

หงเซียวราวกับต้องมนต์สะกด เขาได้แต่โน้มตัวลงไปอย่างเชื่อฟังประทับริมฝีปากทั้งคู่เข้าด้วยกัน ปกติแล้วสาวๆคนอื่นเขาต้องเป็นฝ่ายชักนำให้พวกเธอได้ทำตาม แต่ทว่านี่กลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม เขาเหมือนแกะที่ถูกดึงเข้าไปยังหลักประหารอย่างไม่รู้ตัว

นี่เธอเป็นผีเสื้อหรือว่าแมงมุมที่ชักใยดักสิ่งมีชีวิตอื่นให้ตกลงไปในกับดักกันแน่

เธอสะท้านเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากทั้งคู่สัมผัสกัน ก่อนจะรุกเร้าเขาอย่างรุนแรงเร่งร้อน หงเซียวอดเอามือเข้าไปกอดรอบเอวคอดกิ่วที่บิดพริ้วไหวเสียดสีกับตัวของเขาไม่ได้ เขาตกอยู่ใต้มนตร์สะกดของเธออย่างสิ้นเชิง เดินไปตามแนวทางที่เธอวางแผนไว้

นี่เป็นจูบแรกของเธอนะ ถ้าเธอช่ำชองกว่านี้ล่ะ

หญิงสาวทั้งสามต่างพากันมองตาโตตะลึงงันไม่คิดว่าพี่สาวคนโตเหมยเหมยที่เรียบร้อยที่สุดจะร้อนแรงที่สุดเช่นกัน เมื่อเห็นลีลาจูบของเหมยเหมยทุกคนต่างพากันหน้าแดงจัด

ไม่เพียงแต่หญิงสาวทั้งสาม กระทั่งคนที่ผ่านมาเห็นต่างก็พากันยืนนิ่งขึงไม่มีใครขยับเขยื้อน ด้วยว่าในยุคสมัยนี้ไม่มีการกอดจูบที่เปิดเผยเช่นนั้นมาก่อน แตกต่างจากยุคสมัยในโลกของศาสตราจารย์ ดังนั้นทุกคนจึงตื่นตะลึงหากไม่งงงันไปก็หลงไหลไปกับฉากวาบหวิวอันเต็มไปด้วยมนตร์สะกดนั้น

เวลาผ่านไปสิบนาที ยี่สิบนาที สามสาวยังคงตื่นตะลึงจึงไม่มีการสะกิด แต่ก็มีคนที่เดินผ่านมาเกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมคนบริเวณนี้จึงนิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหว จึงสะกิดคนข้างหน้ากระซิบถามว่า “พี่ชายเกิดอะไรขึ้น”

เสียงของเขาท่ามกลางความเงียบนั้นทำให้มนตร์สะกดนั้นคลายตัวลง เหมยเหมยคลายมือจากรอบคอของเขาแล้วเลื่อนกายออกไปราวกับผีเสื้อแสนสวย

“พี่ชาย ข้าไปก่อนนะ” เธอพูด ร่างในชุดหลวมกว้างพัดพริ้วนั้นไม่ได้หันกลับมาอีก แต่หงเซียวเห็นรอยยิ้มพึงพอใจที่มุมปากของเธอ

“เด็กคนนี้” หงเซียวพึมพัม เขาเองก็ตกอยู่ในมนตร์สะกดของเธอเช่นกัน

คนรอบข้างเห็นเช่นนั้น บ้างก็เก็บความอิจฉาเอาไว้แล้วพยายามคิดแต่เรื่องของการฝึกฝีมือ บ้างก็คิดว่าจะต้องไปหาใครสักคนมาลองทำแบบนี้ดูบ้าง บ้างก็คิดเคลิ้มฝันว่าตนเองเป็นหงเซียว หญิงสาวบางคนก็พยายามคิดว่าตนเองเป็นเหมยเหมย หลากหลายความคิดแตกต่างกันไป

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าอยู่ต่อที่นั่นต่างพากันแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันชายหนุ่มที่เข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นก็งงงันเช่นกัน เมื่อไม่มีใครให้คำตอบแก่ตนเองแม้สักคำ ต่างพากันแยกย้ายกันไปจนหมด ได้แต่เกาหัวแกรกก่อนจะเดินจากไป

หงเซียวมองตามเงาหลังของเหมยเหมยที่เดินไปยังสำนักที่เธอเลือกไว้แล้วก็ถอนใจ

แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรต่อไป ก็มีสะกิดที่แขนของเขา ดึงเขากลับมาจากการมองไปไกลนั้น

“พี่ชาย พี่เหมยเหมยใช้เวลาไปตั้งยี่สิบนาที ข้าเดาว่าเป็นเช่นนั้น แต่ว่าข้าเพิ่งผ่านไปแค่สิบนาทีเอง”

เป็นจินหลินเองที่มายืนอยู่ตรงหน้าเขา ยิ้มกริ่มพร้อมสายตาออดอ้อน ด้านหลังเธอมีหญิงสาวอีกสองคนยืนต่อท้าย

เฮ้อ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด