ตอนที่แล้วบทที่ 229 สัตว์อสูรนิรนาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 231 ระเบิด! ระเบิด! ระเบิด!

บทที่ 230 หาเรื่องตายอีกแล้ว!


สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว

ณ เวลานี้ ขบวนคุ้มกันเจ้าสาวของอาณาจักรเสินหวู่ได้เดินทางมาถึงฝั่งใต้ของหุบเขาสามหมื่นลี้แล้ว

เจียงอี้มีเจ้าเหลืองใหญ่อยู่ข้างกายทำให้การท่องอยู่ใต้พิภพไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางอ้อมไปยังหุบเขาทลายวิญญาณ แต่สามารถตรงเข้าสู่ดินแดนของอาณาจักรต้าเซี่ยได้เลย

ทุกสองชั่วโมง เจียงอี้จะบังคับให้เหลืองใหญ่ขึ้นมาบนพื้นผิวดิน จากนั้นก็ใช้แผนที่ที่เฉียนว่านก้วนจัดหามาให้เพื่อคาดคะเนว่าตัวเองกำลังอยู่ในตำแหน่งไหน

ภูเขาอัคคีเมฆาตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของอาณาจักรต้าเซี่ย ดังนั้นเขาอาจจะใช้เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนในการไปถึงที่นั่น

“ข้ามาถึงทะเลสาบจันทร์กระจ่างแล้ว นั่นก็หมายความว่าภูเขาอัคคีเมฆาคงอยู่ห่างออกไปไม่ไกล! หากข้าต้องการที่จะลงมือกับขบวนทัพที่มีทหารนับหมื่น ดูเหมือนว่าหุบเขาทลายวิญญาณคงจะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดแล้ว!”

เจียงอี้พึมพำกับตัวเองในขณะที่เขาโผล่ขึ้นมาบนเนินเขาเล็กๆและมองไปยังทะเลสาบตรงหน้าพร้อมกับครุ่นคิด

หุบเขาทลายวิญญาณเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการลงมือสกัดขบวนคุ้มกันเจ้าสาว ก่อนหน้านี้เขาเองก็เกือบถูกคนของจ่างซุนอู๋จี้และเจียงนี่หลิวสังหารที่นั่นเช่นกัน

หุบเขาแห่งนั้นมีความยาวที่ไกลสุดลูกหูลูกตาและมีความกว้างเท่ากับรถม้าเพียงแค่สามคันเท่านั้น ขบวนคุ้มกันเจ้าสาวของเซี่ยอู๋หุ่ยประกอบไปด้วยทหารจำนวนสองหมื่นนาย ดังนั้นทางเดียวที่เจียงอี้จะสามารถจัดการกับกองทัพเหล่านี้ได้คือเขาจำเป็นต้องลงมือที่หุบเขาทลายวิญญาณเท่านั้น!

แต่ต้องอย่าลืมว่าเจียงอี้อยู่ตัวคนเดียวและปราศจากข้อมูลใดๆ จึงทำให้เขาต้องทำทุกอย่างด้วยการคาดเดา แม้แต่ตำแหน่งของขบวนคุ้มกันเจ้าสาวเขาก็ทำได้เพียงแค่อาศัยการคาดคะเน เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทราบถึงตำแหน่งที่แท้จริงของคนเหล่านั้น

“ช่างมันเถอะ ข้าควรที่จะไปหาเพลิงโลกาเป็นอันดับแรก! หากปราศพลังทำลายล้างของมัน แม้ว่าข้าจะไปหุบเขาทลายวิญญาณ มันก็เปล่าประโยชน์!”

ดวงตาของเจียงอี้เผยความแน่วแน่และออกคำสั่งกับเหลืองใหญ่อีกครั้ง “ใช้ความเร็วสูงสุด มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก!”

"มอ-มอ!"

เจ้าเหลืองใหญ่ส่งเสียงร้องและดำดินลงไปหลายร้อยเมตรก่อนที่จะตรงดิ่งไปยังทิศตะวันตกในทันที

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงอี้ก็โผล่ขึ้นมาเหนือดินอีกครั้งและกวาดสายตามองไปยังยอดเขายักษ์เบื้องหน้า แม้ว่าจะอยู่ห่างออกมา แต่เขาก็ยังคงสัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่อยู่ในอากาศและหวนรำลึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ไม่กี่เดือนก่อน เขามาที่นี่ด้วยตัวเองและฉกชิงเห็ดหลินจืออัคคีไปต่อหน้าต่อตาของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวจากอาณาจักรต้าเซี่ยและนายน้อยของพวกมัน

ตอนนี้เขากลับมาที่นี่อีกครั้ง แต่ก็ไร้ซึ่งความตื่นเต้นเหมือนครั้งแรก กระทั่งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ภูเขาอัคคีเมฆาก็ยังคงเป็นภูเขาอัคคีเมฆา คาดว่าวิหคเพลิงอมตะทั้งสองตัวนั้นก็ยังคงอยู่ในรังของพวกมัน แต่สิ่งที่ต่างจากคราวก่อนก็คือเจียงอี้ไม่ใช่ ‘เจียงอี้’ ในตอนนั้นอีกแล้ว เขาไม่ได้หวาดกลัวพวกมันเลยแม้แต่นิดเดียว

ฟึ่บ!

เขาเก็บเจ้าเหลืองใหญ่กลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณและตรงดิ่งไปยังเขาอัคคีเมฆา เพียงแค่หนึ่งชั่วโมง เขาก็มาถึงยอดเขา

เจียงอี้ก้มหน้ามองปากปล่องภูเขาไฟโดยไร้ซึ่งความกลัวพร้อมทั้งหย่อนเชือกลงไป

เป็นอย่างที่เขาคิด วิหคเพลิงอมตะทั้งสองตัวยังคงอาศัยอยู่เบื้องล่าง แต่ด้วยพลังของดาบมังกรเพลิงและไข่มุกวิญญาณเพลิงทำให้เขามีภูมิคุ้มกันจากพลังความร้อนของอัคคีธาตุ

นอกจากนี้กลิ่นอายสังหารของเจตจำนงสังหารกับหินวิญญาณเพลิงยังสร้างความตื่นกลัวและตกตะลึงให้กับวิหคเพลิงอมตะทั้งสองตัวที่อยู่เบื้องล่างจนทำให้พวกมันแหงนหน้าขึ้นมามองโดยพลัน

“ย๊า!”

เจียงอี้หยิบดาบมังกรเพลิงออกมาเตรียมพร้อมขณะที่ค่อยๆไต่เชือกลงไป แม้ว่าผนังหินรอบด้านจะแข็งราวกับเหล็กกล้าแต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางรอดพ้นไปจากคมดาบมังกรเพลิงได้

ถึงแม้ว่าดาบเกล็ดทมิฬจะไม่สามารถทำลายผนังหินเหล่านี้ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอิทธิฤทธิ์ของดาบมังกรเพลิง มันก็เปรียบเสมือนกระดาษแผ่นบางๆเท่านั้น

“ไป!”

เจียงอี้ไต่ลงมาในความลึกกว่าหนึ่งพันเมตร เมื่อเหลือบมองลงไป เขาก็พบจุดสีแดงสองจุด อีกทั้งยังมีกลิ่นของกำมะถันเตะเข้ามาในจมูก

“แกว๊ก-แกว๊ก!”

เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวดังมาจากเบื้องล่างพร้อมกับจุดสีแดงสองจุดที่กำลังขยายตัวจนเผยให้เห็นร่างที่แท้จริง

ในเวลาเดียวกันดาบมังกรเพลิงกับไข่มุกวิญญาณเพลิงก็ส่องสว่างพร้อมทั้งสร้างม่านพลังออกมาคุมร่างกายของเจียงอี้เพื่อปกป้องเขาจากไอความร้อนที่น่ากลัว

“ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เดิมทางเจียงอี้ต้องการที่จะขว้างหินวิญญาณเพลิงลงไป แต่เมื่อนึกได้ว่าเปลวไฟของวิหคเพลิงอมตะไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ เขาจึงไม่อยากใช้มันอย่างสิ้นเปลือง

ดังนั้นเขาจึงโคจรแก่นแท้พลังอย่างบ้าคลั่งและใช้ดาบมังกรเพลิงปลดปล่อยมังกรเพลิงทั้งสองตัวออกมาแทน

“แกว๊ก-แกว๊ก!”

วิหคเพลิงอมตะที่เตรียมจะพ่นลูกไฟออกมาถึงกับหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างเสมือนของมังกรเพลิง โดยไม่ต้องคิด พวกมันรีบบินโฉบกลับลงไปด้วยความหวาดกลัวเพราะสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงจากมังกรเพลิงเหล่านั้น!

“โฮกกกกก!”

แม้ว่าจะเป็นเพียงกระบวนท่าโจมตี แต่มีหรือที่ราชันแห่งสรรพสัตว์อย่างมังกรเพลิงจะปล่อยให้เหยื่อหนีไปได้โดยง่าย?

แม้ว่าวิหคเพลิงอมตะจะมีความเร็วที่น่าเกรงขาม แต่เมื่อติดอยู่ในภูเขาไฟ พวกมันจะหนีรอดไปจากเงื้อมมือของมังกรเพลิงได้อย่างไร?

“แกว๊กกกกกกก!”

วิหคเพลิงแผดเสียงร้องด้วยความสิ้นหวัง ทันใดนั้นมันก็พ่นลูกไฟออกมาเพื่อต้านทานมังกรเพลิงทั้งสองตัวอย่างไม่มีทางเลือกแม้จะรู้ว่าไร้ประโยชน์ก็ตาม

“ตู้มมมมมม!”

เสียงระเบิดอันทรงพลังดังกึกก้องอยู่ในภูเขาไฟและทำให้มันสั่นสะเทือนไปถึงเชิงเขา ในขณะเดียวกันร่างของเจียงอี้ก็ถูกส่งออกมาจากภูเขาไฟด้วยคลื่นกระแทกอันรุนแรง

แต่ก่อนที่จะกระเด็นออกมานั้น เขาก็เห็นกับตาว่าร่างของวิหคเพลิงอมตะตัวหนึ่งถึงกับมอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนอีกตัวนั้นโชคดีกว่าเล็กน้อย มันถูกกระแทกตกลงไปในลาวาเบื้องล่างและทำให้เกิดคลื่นลาวาสาดกระเซ็นไปทั่ว

ฟึ่บ!

เจียงอี้พลิกตัวกลางอากาศและลงถึงพื้นอย่างปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับการปกป้องจากไข่มุกวิญญาณเพลิง แต่เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บจากคลื่นกระแทกซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันรุนแรงขนาดไหน

ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง, ความทนทานของร่างกายหรือความเร็ว ทั้งหมดล้วนแต่แปรผันไปตามระดับการบ่มเพาะพลัง หากว่าเจียงอี้บรรลุขอบเขตเสินโหยว แน่นอนว่าแรงกระแทกเพียงเท่านี้ไม่อาจระคายผิวเขาได้

เชือกที่ถูกหย่อนลงไปก่อนหน้านี้ถูกทำลายไปแล้ว หลังจากที่กลืนเม็ดยาเพื่อฟื้นฟูพลัง เจียงอี้ก็หย่อนเชือกเส้นใหม่ลงไปและกระโดดลงไปในปล่องภูเขาไฟอีกครั้ง

มีโอกาสที่วิหคเพลิงอมตะอีกตัวจะยังไม่ตายแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวใดๆ

และก็เป็นไปตามคาด!

เมื่อเจียงอี้ลงมาถึงเบื้องล่าง เขาก็มองเห็นร่างของวิหคเพลิงอมตะที่ชุ่มไปด้วยเลือด มันกำลังหลับตาลงพร้อมทั้งดูดซับเปลวเพลิงที่อยู่ใกล้ๆเพื่อฟื้นฟูบาดแผล

“ตายซะ!”

นัยน์ตาของเจียงอี้เผยให้เห็นความเย็นชา แต่ในขณะที่เขากำลังจะกวัดแกว่งดาบเพื่อที่จะปลิดชีพสัตว์อสูรตัวนั้น จู่ๆความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา

ในเมื่อมันบาดเจ็บเช่นนี้… ทำไมข้าถึงไม่ทำให้มันกลายเป็นสัตว์วิญญาณของข้าเสียเลย?

เจียงอี้ยังเหลือเครื่องรางสัตว์วิญญาณอยู่อีกสองชิ้น วิหคเพลิงอมตะตัวนี้เองก็เป็นสัตว์อสูรระดับสามที่ไม่เลวเลย แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่สัตว์อสูรระดับสามขั้นต่ำ แต่ถ้าหากสยบมันได้ กำลังรบของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน!

“จะยอมสยบแก่ข้าหรือไม่?”

ดวงตาของเจียงอี้กลายเป็นสีแดงฉานพร้อมกับปลดปล่อยรังสีสังหารออกมาเต็มพิกัด เมื่อผสานกับกลิ่นอายที่ทรงพลังของดาบมังกรเพลิงและไอร้อนที่น่าหวาดกลัวของหินวิญญาณเพลิง ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ช่างดูทรงพลังอย่างแท้จริง

แต่ถ้าหาก… เหล่าคณาจารย์ของสำนักจิตอสูรเห็นการกระทำของเจียงอี้ในตอนนี้ พวกเขาก็คงจะกระอักเลือดออกมาก่อนที่จะดุด่าในความโง่เขลาของเขาเป็นแน่

แม้ว่าเจียงอี้จะฝากตัวเป็นศิษย์กับสำนักจิตอสูร แต่เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับสัตว์วิญญาณมากนัก หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีความรู้พื้นฐานเลยแม้แต่นิดเดียว

เขาไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องการสร้างพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณสองตัวในเวลาเดียวกันนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะดวงจิตของสัตว์วิญญาณทั้งสองจะเกิดการขัดแย้งกันภายในดวงจิตของเขา จนในที่สุดดวงจิตของเขาก็จะพังทลาย

ในตอนที่เจียงอี้ขอเครื่องรางสัตว์วิญญาณทั้งสามชิ้นจากเฉียนว่านก้วน เขาก็มีความคิดที่จะฝึกฝนสัตว์วิญญาณถึงสามตัวอยู่แล้ว

แต่ทางด้านของเฉียนว่านก้วนกลับประเมินความซื่อบื้อของเจียงอี้ต่ำเกินไป ที่เขายอมมอบเครื่องรางสามชิ้นให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ตะขิดตะขวงใจก็เป็นเพราะเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงต้องการที่จะเก็บเอาไว้ใช้สำรองในยามที่สัตว์วิญญาณเกิดตายไป

หากเขารู้ว่าเจียงอี้ต้องการที่จะสร้างพันธสัญญากับสัตว์อสูรตัวที่สอง เขาคงจะก่นด่าลูกพี่คนนี้ด้วยความโกรธจนความดันขึ้นอย่างแน่นอน!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด