ตอนที่แล้วบทที่ 11 : เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (1/2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 : ให้ไข่ไก่เป็นของขวัญ (1/2)

บทที่ 12 : เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (2/2)


บทที่  12  :  เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (2/2)

 

                เหลียนเซ่อพยักหน้ารับ  “ถ้าหากว่าพวกเราซ่อมรั้วเสร็จแล้ว  แต่ลูกเจี๊ยบพวกนี้มันยังเข้ามาในสวนเราได้อีก  ก็แสดงว่าป้าจงใจเปิดรั้วให้ไก่มันเข้ามาในสวนของเราแน่ๆ  แต่พี่บอกว่าอีกสองสามวันจะเริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ผักแล้วไม่ใช่หรอ  ถ้าอย่างนั้นพวกเราพาซีเออร์กับชิงเออร์ไปช่วยเก็บกิ่งไม้บนภูเขาด้วยกันดีไหม?”

จู่ๆเหลียนฟางโจวก็มีคิดใหม่ผุดขึ้นในหัวเธอ  ก่อนเธอจะหัวเราะเบาๆ และพูดว่า“ไม่เป็นไรยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก  เดี๋ยวเราค่อยหว่านกันตอนไหนก็ได้”

เหลียนเซ่อจ้องหน้าเธออย่างงุนงงว่าทำไมจู่ๆเธอถึงเปลี่ยนใจ  ‘พี่สาวกำลังวางแผนอะไรอยู่นะ?’

เมื่อเห็นว่างานในสวนเหลือไม่มากแล้วเหลียนฟางโจวจึงเดินกลับบ้านไปก่อน  และปล่อยให้เหลียนเซ่อจัดการงานที่เหลือต่อคนเดียว

แม้ว่าบ้านของพวกเขาจะหลังไม่ได้ใหญ่มากนัก  แต่ก็ยังจำเป็นต้องทำความสะอาด  ซึ่งเมื่อเช้านี้เธอปัดกวาดแล้วก็เก็บบ้านลวกๆเท่านั้น  ดังนั้นตอนนี้บ้านเลยยังไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่นัก

เหลียนฟางชิงกับเหลียนซีอยู่เฝ้าบ้านกันสองคน  เด็กน้อยไม่ได้ออกไปเล่นที่ไหน  และเมื่อเห็นพี่สาวกลับมา  พวกเขาก็เดินตามเธอเป็นเงา  พร้อมทั้งช่วยเธอทำความสะอาดบ้านไปด้วย

เมื่อเห็นเด็กตัวเล็กๆต้องมาทำงานแบนี้  เธอก็อดเศร้าใจไม่ได้  แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธความหวังดีของพวกเขาได้  เธอยิ้มให้พวกเขาอย่างเอ็นดู  และบางครั้งก็อนุญาตให้พวกเขาช่วยทำงานได้บ้างในบางส่วน  เห็นได้ชัดเมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเธอ  พวกเขามีความสุขมาก  อีกทั้งยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่รอบๆ ตัวเธออย่างร่าเริง

หลังจากทำความสะอาดและเก็บบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เหลียนฟางโจวก็เดินไปต้มน้ำ  ในระหว่างที่รอน้ำเดือดเธอก็คิดคำนวณในใจไปด้วยว่าเงินสิบสองตำลึงนี้จะเอาไปทำอะไรบ้าง

หลังคากับหน้าตาน่าจะเป็นสิ่งที่ต้องซ่อมแซมด่วนที่สุดเพราะไม่อย่างนั้นพอถึงฤดูหนาว  คนในบ้านได้ป่วยกันหมดแน่  เพราะไม่ว่าไหนจะลมหนาว  ไหนจะหิมะตก  หลังคากับหน้าต่างผุๆพังๆแบบนี้กันความเย็นไม่ได้แน่

แล้วไหนยังจะพวกเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว  ผ้าห่ม  และของจำเป็นอื่นๆอีก  เธอจำเป็นต้องซื้อทุกอย่างนี้  ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ  ป้องกันการเจ็บป่วย!  แล้วยิ่งบ้านนี้มีแต่เด็กเล็กเจ็บป่วยได้ง่ายแล้วด้วย  เธอยิ่งต้องรีบเตรียมพร้อม

อ่า  เกือบลืม  เราต้องตุนอาหารไว้เป็นเสบียงในหน้าหนาวด้วยนิ  ทุกคนจะได้มีอาหารกินอิ่มท้องกันทุกมื้อ

แล้วเธอก็ยังจะต้องหาเมล็ดพันธุ์ผักแล้วก็ข้าวมาปลูกเพิ่มด้วย

และหลังจากที่ได้สอบถามเหลียนฟางชิงมาเมื่อคืน  ก็ทำให้เธอพอจะเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวนี้ได้คร่าวๆ

ที่บ้านมีนาข้าวอยู่  3  หมู่  แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจนักว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวมาปลูก  แล้วไหนจะเครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตรอีกล่ะ  อีกอย่างในใจเธอก็อยากซื้อเป็ดกับไก่เพิ่มด้วย

เหลียนฟางโจวถอนหายใจเบาๆ  “เฮ้อ....ดูเหมือนว่าเงินสิบสองตำลึงนี้  ไม่น่าจะพอแล้วมั่งเนี่ย”

ถ้าก่อนหน้านี้ขอค่าถอนหมั้นสักยี่สิบตำลึงก็น่าจะดี  แต่ว่านางหยางคงจะไม่ยอมจ่ายง่ายๆแน่ๆ  ช่างเถอะๆไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วจะมาคิดให้มันได้อะไรขึ้นมาอีก

เหลียนฟางโจวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง

ในระหว่างที่เธอกำลังจะเตรียมทำอาหารเย็น  เธอก็ได้มองไปเห็นว่าตอนนี้มีข้าวเหลือติดอยู่ที่ก้นถังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  อีกทั้งเมื่อมองไปที่ห้องใต้หลังคาก็เห็นมีข้าวสำรองถุงเล็กเหลืออยู่แค่เพียงสี่ถุง  เมื่อเห็นอย่างนั้นเธอก็อดที่จะรู้สึกหดหู่กับสภาพความเป็นอยู่ที่เร้นแค้นแบบนี้ไม่ได้

ตอนนี้มีเสบียงสำรองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  แม้ว่าพวกเขาจะทำโจ๊กมันเทศกินกันทุกวัน  แต่ด้วยอาหารที่เหลืออยู่เพียงเท่านี้  มันคงไม่พอให้พวกเขาสี่พี่น้องกินไปจนถึงปีใหม่แน่  เธอไม่แทบไม่กล้าคิดเลยว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดไปถึงฤดูเก็บเกี่ยวถัดไปได้ไหม

เหลียนฟางโจวได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเหลียนฟางโจวก็ให้เหลียนซีไปต้มน้ำให้เหลียงฟางชิงอาบ  ส่วนตัวเธอก็เตรียมตัวจะออกไปหาป้าจางที่บ้าน

แม้ว่าบ้านจะยากจนแค่ไหนเหลียนฟางโจวก็ไม่อนุญาติให้พวกเขาตัวสกปรกมอมแมมเหมือนแมวลายที่มีแต่กลิ่นเหงื่อไคล  พวกเขาต้องอาบน้ำแต่งตัวสะอาดสะอ้านเสมอ

แม้ว่าน้ำที่เอามาอาบจะไม่เสียเงิน  แต่ว่าพวกฟืนยังต้องเสียเงินด้วยหรือ?

เหลียนฟางชิงเมื่อได้ยินว่าพี่สาวจะออกไปข้างนอก  นางก็รีบวิ่งมาจับมือเหลียนฟางโจวแน่น  พลางออดอ้อนขอติดตามพี่สาวออกไปด้วย

เหลียนฟางโจวคิดว่าการที่เหลียนฟางชิงไปด้วยก็น่าจะอุ่นใจกว่า  เพราะเธอเองก็ไม่ได้มีความทรงจำของเจ้าของร่างด้วย  เผื่อมีอะไรจะได้ถามเหลียนฟางชิงได้เลย  เมื่อคิดได้ดังนั้น  เธอก็จูงมือเหลียนฟางชิงเดินออกจากบ้านไป

คนที่มาเปิดประตูบ้านให้พวกเธอหน้าตาไม่ค่อยยิ้มแย้มนัก  นางเป็นหญิงคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำตาลแดง  และมวยผมไว้ด้านหลังเหมือนซาลาเปา

ขณะที่เหลียนฟางโจวกำลังคิดอยู่ว่าจะทักทายผู้หญิงตรงหน้ายังไง  เหลียนฟางชิงตัวน้อยก็ส่งเสียงทักอย่างสดใสออกมาก่อน“  พี่จ้าว”

เมื่อได้ยินแบบนั้นเหลียนฟางโจวถึงได้รู้ว่า  ผู้หญิงตรงหน้านี่เป็นลูกสะใภ้ของป้าจางนั่นเอง  เธอยิ้มแล้วก็เอ่ยปากขึ้นบ้าง  “สวัสดีคะ  พี่จ้าว”

นางจ้าวยิ้มตอบอย่างแกนๆ  แววตาของนางก็แฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม  ก่อนนางจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า  “พวกเจ้ามาหาอาฮวนอย่างงั้นหรือ?”

เหลียนฟางโจวอดที่จะสงสัยไม่ได้  เธอเองก็น่าจะไม่เคยไปมีเรื่องบาดหมางกับนางจ้าวคนนี้มาก่อน  ทำไมนางถึงแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อเธอขนาดนี้  เหลียนฟางโจวเก็บงำความสงสัยไว้ในใจ  ก่อนจะยิ้มอย่างสุภาพและพูดว่า  “ไม่ใช่เจ้าค่ะ  พอดีข้าจะมาหาป้าจาง  ท่านป้าอยู่ไหมเจ้าคะ”

“นั่นฟางโจวหรอกหรือ  รีบเข้ามาข้างในสิ”  พอป้าจางได้ยินเสียงเธอ  นางก็รีบส่งเสียงเรียกออกมาอยากดีอกดีใจ

เหลียนฟางชิงตัวน้อยรีบปล่อยมือจากพี่สาว  แล้ววิ่งเข้าไปกอดป้าจางอย่างพะเน้าพะนอป้าจางเองก็กอดเธอกลับ  พร้อมทั้งหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

ขณะที่เหลียนฟางโจวกำลังจะเดินเขาไปด้านใน  เธอก็ได้ยินเสียงบ่นแว่วๆดังเข้าหูว่า  “ไม่รู้จะมาขอร้องให้ช่วยอะไรอีก  หาเรื่องเดือดร้อนมาให้คนอื่นได้ทุกวี่ทุกวัน  ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจบ้างเลย!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด