ตอนที่แล้วบาทที่ 5
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบาทที่ 7

บาทที่ 6


บาทที่ 6

“อื้อ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าทำอะไรได้บ้าง” ชิวเยว่ถามภูษาเซียน หลังจากที่สร้างผึ้งเซียนครบจำนวนแล้ว

“ข้ามีพลังเซียนสำนักเจ็ดเมฆา ระดับเก้าปฐมเซียน นายหญิง” ภูษาเซียนกล่าว

“ภูษาเซียนจะมีระดับพลังเริ่มต้นเท่ากับระดับที่นายของตนเคยไปถึงเสมอไม่ว่าจะเป็นพลังอะไรก็ตาม” หงเซียวกล่าวเสริม “แต่ต่อจากนั้นมันก็จะสามารถฝึกฝนให้มีระดับสูงขึ้นไปกว่าเดิมในทีหลัง”

“อย่างนั้นหรอกหรือ” ชิวเยว่แปลกใจ

“แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีข้อยกเว้น เราสามารถเพิ่มพูนความสามารถของภูษาเซียนได้แบบก้าวกระโดดในตอนเริ่มต้นด้วย” หงเซียวกล่าวอย่างลึกลับ

“ยังไงเหรอ พี่ชาย” แทบทุกคนถามพร้อมกัน

“ก็คือในตอนสร้างนั้น เราให้ผู้ที่มีพลังที่มีมากกว่าเราถ่ายทอดพลังตั้งต้นให้” หงเซียวกล่าว “อย่างเช่น ถ้าชิวเยว่เพิ่มระดับในเร็วๆนี้ได้อีกหนึ่งระดับ และได้รับภูษาเซียนอีกผืน ถ้าให้ภูษาเซียนนั้นฝึกวิถีเซียนไร้ลักษณ์ และให้ใครสักคนที่เรียนรู้วิถีเซียนไร้ลักษณ์ถ่ายทอดพลังของวิถีเซียนไร้ลักษณ์ให้ ภูษาเซียนนั้นก็จะเป็นผู้ใช้วิถีเซียนไร้ลักษณ์ระดับเท่ากับผู้ที่ฝึกวิถีเซียนไร้ลักษณ์นั้น แต่ไม่เกินระดับเก้าปฐมเซียน”

“สุดยอดเลย แต่ทำไมจึงถึงแค่ปฐมเซียนระดับเก้าล่ะพี่ชาย” จินหลินสงสัย

“ก็เพราะว่าขั้นที่สูงกว่านั้นชีพจรเกิดการเปลี่ยนสภาพไปแล้ว เราไม่อาจสร้างภูษาระดับนั้นได้ และไม่สามารถหลอมร่างเซียนผู้ที่ก้าวเข้าสู่ชั้นที่สูงกว่าปฐมเซียนไปแล้วด้วย” หงเซียวอธิบาย

“ถ้าเช่นนั้น ชิวเยว่ต้องรีบสร้างชีพจรเซียนอีกหนึ่งให้ไวๆนะ จะได้มีวิชาวิถีเซียนไร้ลักษณ์ที่เหนือกว่าพวกเรา” ซิ่วจูให้กำลังใจ

“พี่ชาย นี่หมายความว่า ถ้าพวกท่านสร้างชีพจรเซียนสำเร็จเมื่อไหร่ ท่านก็สามารถที่จะสร้างภูษาเซียนที่เรียนวิชาเซียนสำนักเจ็ดเมฆาระดับเก้าปฐมเซียนได้ใช่ไหม หากข้าเป็นคนถ่ายทอดพลังให้” ชิวเยว่ทำตาโต

“ใช่ เป็นแบบนั้น” หงเซียวกล่าว

“นี่มันโกงกันเกินไปแล้ว” สาวทุกคนอุทานออกมา

เนื่องเพราะว่าผู้ใช้ภูษาเซียนสามารถสวมภูษาเซียนได้ และเมื่อสวมภูษาเซียน พวกเขาก็จะสามารถใช้พลังในระดับที่ภูษาเซียนอยู่ได้โดยไม่ต้องรอให้ตนเองก้าวไปถึงระดับนั้น และต่อให้ไม่สวมภูษาเซียน พวกเขาก็สามารถร่ายคาถาของภูษาเซียนใช้ได้เช่นกัน ด้วยพลังในระดับของผู้ฝึกเซียนที่ตนเองเป็นอยู่ ทุกคนจึงรู้สึกเหมือนกับว่าวิชานี้โกงถึงที่สุด

ความจริงก็คงเป็นเช่นนั้น แต่ว่าวิชาวิถีเก้าภูษานั้นออกแบบมาให้ใช้กับชีพจรเซียนที่แข็งแกร่งถึงที่สุด ชีพจรเซียนที่ถูกสร้างด้วยพลังเซียนบริสุทธิ์ และเมื่อคิดถึงว่าการสร้างชีพจรเซียนจุดแรกโดยการใช้พลังเซียนบริสุทธิ์นั้นต้องใช้เวลาร้อยปีในสภาพปกติ ดังนั้นหากจะหาว่าวิชานี้โกงก็คงไม่ถูกต้องแล้วเช่นกัน

“พี่ชาย ข้าต้องตั้งชื่อให้ภูษาเซียนหรือไม่” ชิวเยว่ถามหงเซียว

แต่ก่อนที่หงเซียวจะทันได้ตอบ ภูษาเซียนก็กล่าวว่า “ข้าอยากมีชื่อ”

“พรืด ฮ่าฮ่าฮ่า” จินหลินกับคนอื่นๆต่างพากันหัวเราะ ขณะที่หงเซียวยิ้มกล่าวว่า “ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรแล้วใช่ไหม”

“ฮิฮิ เช่นนั้นข้าขอตั้งเจ้าชื่อว่า... เมฆชิว ก็แล้วกัน” ชิวเยว่ก็อดขำไม่ได้ แต่เมื่อเธอจะตั้งชื่อ เธอก็รู้สึกปวดหัว เพราะว่าต่อไปจะต้องมีภูษาเซียนอีกแปดมาให้เธอตั้งชื่อให้ ดังนั้นเมื่อนี่เป็น ภูษาเซียนฝึกวิชาของสำนักเจ็ดเมฆา ดังนั้นตั้งชื่อมันว่าเป็นเมฆของชิวก็ไม่เลวนัก

“พี่ชาย ถ-ถ้าเราให้ภูษาเซียนของเราฝึกวิชาวิถีเก้าภูษาด้วยจะได้ไหม” ซีชี่ที่ปกติจะเงียบและเรียบร้อยที่สุดเอ่ยขึ้น

“เป็นคำถามที่ดี แต่คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะว่าวิถีเก้าภูษาออกแบบมาให้ใช้กับชีพจรที่ถูกสร้างมาให้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ อย่างชีพจรของหอยมุกออโรร่า แต่ว่าชีพจรที่สร้างขึ้นมาเป็นภูษาจากวิญญาณนั้นไม่แข็งแกร่งถึงระดับนั้น” หงเซียวกล่าว

“น่าเสียดาย” ทุกคนต่างรู้สึกเช่นนั้น เพราะว่าถ้าทำเช่นนั้นได้ พวกเธอก็จะมีภูษาเซียนไม่จำกัด

“แล้วเราสวมภูษาเซียนของคนอื่นได้ไหม” เหมยเหมยถามขึ้นบ้าง เธอไม่ได้เป็นคนเงียบเหมือนซีชี่ แต่ว่าการจะกล่าวถ้อยคำอะไรออกไปนั้น เธอพูดไม่ทันจินหลินเพราะเธอมักจะมัวแต่คิดไตร่ตรองอยู่ก่อนเสมอ

“ได้ ถ้าเจ้าของอนุญาต และภูษายินดีให้ความร่วมมือ ในเมื่อต่างก็ฝึกวิชาเดียวกันจึงสามารถทำได้ แต่ว่าเราจะสวมภูษาให้คนที่ไม่ได้ฝึกวิชาเซียนวิถีเก้าภูษานั้นไม่ได้” หงเซียวตอบ

“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราได้สวมภูษาฝึก แล้วเรามีระดับของพลังเซียนน้อยกว่าภูษา เราจะก้าวหน้าเร็วมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือไม่ก็ตาม” หงเซียวกล่าว

“พี่ชาย นี่มันโคตรโกง” ทุกคนตะโกนออกมาอีกครั้ง ต่างพากันหันไปมองดอกแดนดิไลออนยักษ์สีเทาเมฆเป็นตาเดียว ด้วยสายตาเหมือนกับเสือที่จ้องตะครุบเหยื่อ

“แต่ว่าตอนนี้ไม่ได้แน่ นายท่าน” เมฆซิวกล่าวด้วยเสียงกระวนกระวาย “แม้ว่าข้าตอนนี้จะมีระดับเก้าปฐมเซียนจริง แต่พลังในร่างของข้าไม่มีเลยแม้แต่น้อย ข้าต้องการเข้าฌานเพื่อสะสมพลังเซียนก่อน”

“ถ้างั้นก็อย่าช้า ไปฝึกสมาธิเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะพาไป” ชิวเยว่ลากดอกแดนดิไลออนยักษ์มุ่งตรงไปยังใจกลางป่า ที่พวกเขาเพิ่งออกมาไม่นานนัก

คนที่เหลือต่างพากันมองหน้ากันก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก้องชายหาด ก่อนที่จะติดตามไป วันนี้เขาและพวกเธอรู้สึกอยากฝึกวิชาขึ้นมากเป็นพิเศษ

วันเวลาผ่านไปในเวลาเพียงเจ็ดวัน ชิวเยว่ก็ได้ชีพจรเซียนจุดที่สอง และเธอสร้างให้มันเป็นดอกแดนดิไลออนสีแดง ชีพจรสร้างตามแบบวิชาวิถีเซียนไร้ลักษณ์ที่หงเซียวปรับปรุงมาจากปราณเซียนไร้ลักษณ์ เนื่องจากยังไม่มีใครที่ฝึกวิถีเซียนไร้ลักษณ์นี้ มันจึงมีระดับแค่เพียงระดับหนึ่งปฐมเซียน ถูกตั้งชื่อว่าหมอชิว เพราะความสามารถในการรักษา และมันก็ถูกใช้ร่วมในการฝึกวิชา เพราะถึงแม้ว่ามันมีระดับต่ำ แต่ก็สูงกว่าพวกหงเซียวทุกคน

เมื่อเวลาผ่านไปอีกสิบห้าวัน ชิวเยว่ก็ได้ชีพจรเซียนจุดที่สาม แต่ว่ายังไม่ได้สร้างภูษาเซียนอะไร เพราะว่าหงเซียวบอกว่า ควรจะเป็นวิชาเซียนที่ไม่ซ้ำกันจะดีที่สุด หลังจากวันนั้นอีกหนึ่งเดือนเธอก็ได้ชีพจรจุดที่สี่ และสองเดือน สี่เดือน แปดเดือน เธอก็ได้จุดที่ ห้า หก และเจ็ด

อย่างไรก็ตามหงเซียวและสี่สาวก็ไม่ชักช้า ด้วยความช่วยเหลือของเมฆชิว ความก้าวหน้าของเขาที่ควรจะอยู่ที่หกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์นั้น ก็ก้าวหน้าไปเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์

ชิวเยว่ขอตัวกลับไปสำนักในเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่นานเกือบปีครึ่ง เธอต้องการหาวิธีสร้างภูษาเซียนผืนที่สามด้วยเช่นกัน ซึ่งเธอคาดว่าที่สำนักน่าจะมีวิชาเซียนอื่นอยู่บ้าง

ชิวเยว่จากไปได้เพียงไม่กี่วัน พายุก็ก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีวี่แวว ฝนและลมโหมกระหน่ำชายหาดอันสงบสุขของพวกเขาอย่างรุนแรง หงเซียวต้องใช้ให้ร่างจิตเทียมเก็บเก้าอี้ ร่มชายหาด โต๊ะอย่างฉุกละหุก

หงเซียวส่งร่างจิตเทียมออกไปสำรวจและก็พบว่านี่เป็นภัยธรรมชาติ ไม่ได้เป็นภัยจากผู้ทรงอำนาจหรือสัตว์อสูร และสุดท้ายเขาก็พบเห็นเรือลำหนึ่งกำลังเคว้งคว้างอยู่ไม่ไกลจากเกาะนัก

ด้วยความเป็นห่วงต่อเพื่อนมนุษย์ หงเซียวได้สั่งให้ร่างจิตเทียมช่วยชักนำลากเรือนั้นเข้าฝั่ง ถึงแม้ว่าร่างจิตเทียมจะต้องกลับมารับพลังปราณจากร่างของเขาเป็นระยะเนื่องจากต้องใช้แรงมากกับการต่อต้านพายุร้าย

เรือลำนี้ก็เหมือนกับเรือทั่วไป เป็นเรือที่ใช้สัตว์อสูรลาก แต่ดูจากสภาพแล้ว เหมือนกับว่าสัตว์อสูรขาดหลุดออกไปจากตัวเรือ ทำให้เรือไม่สามารถไปต่อได้และเสี่ยงต่อการล่ม

เขาให้ร่างจิตเทียมชักนำเรือเข้าเทียบฝั่งด้านแหลม เพียงให้มีที่พอหลบลมได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการถูกรบกวน

เขาเห็นเรือทอดสมออยู่ที่ชายฝั่งผ่านร่างจิตเทียม คนในเรือเหล่านั้นต่างพากันหลบอยู่ในลำเรือ แต่ก็เห็นชัดว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว ในเมื่อไม่มีใครออกมาทำอะไรบนดาดฟ้าเรืออีก

ร่างจิตเทียมทั่วเกาะนั้นต่างพากันทำงานอย่างแข็งขัน หากพบว่าต้นไม้ต้นไหนจะล้ม พวกมันก็จะพากันช่วยยึดโยงเอาไว้ไม่ให้ล้ม หงเซียวกวาดสายตาผ่านร่างจิตเทียมไปทั้งเกาะแต่ก็ไม่พบสิ่งไหนผิดปกติ

มังกรสุวรรณอัคคี จินปิงนั้น นอนซุกอยู่ในโพรงถ้ำที่แห้งสนิทในเขาหินที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเกาะตรงกันข้ามกับหาดที่เรือนั้นนำมาจอดไว้

พายุฟ้าคะนองฝนตกหนักนั้นดูท่าจะไม่หยุดง่ายๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาและเธอไม่กังวลแม้แต่น้อย ในเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว และไม่มีครั้งใดที่จะทำให้เขาลำบากใจได้เลย

ตัวเขานั้นนอนอยู่ตรงกลางโดยมีเด็กสาวในอ้อมกอดอยู่ในกระท่อม ฟังเสียงฝนสาดซัดอย่างมีความสุข

แต่อย่างไรก็ตามอีกสักครู่ก็จะถึงเวลาที่พวกเขาต้องไปฝึกวิชาที่ใจกลางค่ายกลเซียนที่เขาตั้งขึ้นแล้ว

ช่างน่าเสียดายเวลาช่วงนี้นัก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด