ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0739 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0741 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0740 [อ่านฟรี]


ตอนที่ 740 : จันทราจำแลง

หลังจากฉินหยุนบุกฝ่ากลุ่มคนเถื่อนมาได้ เขาจึงเดินเตร่ไปทั่วทั้งป่า

เขายังไม่ทราบว่าจะออกจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬอย่างไร

“หยุนเอ๋อ ก่อนหน้านี้ ข้าใช้พลังของวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬเข้าสู่เขตแดนอ้างว้างสัตว์สวรรค์ได้สำเร็จ! อย่างนั้นข้าสามารถใช้วิธีเดียวกันนี้กับสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“ไม่ได้ มิติของเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬแข็งแกร่ง มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขตแดนอ้างว้างสัตว์สวรรค์!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ระหว่างที่มา ข้าเข้าสู่สภาพจำศีลเพราะหวาดกลัวต่อเย่ว์โยว ไม่อย่างนั้น ข้าคงจดจำเส้นทางที่ใช้มาได้แล้ว!”

ฉินหยุนได้แต่ต้องคิดหาทางอื่น

“เสี่ยวหยุน เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬสมควรต้องมีสิ่งอื่นคงอยู่แน่! เป็นไปไม่ได้ที่เขตแดนอ้างว้างกว้างใหญ่เพียงนี้จะว่างเปล่า!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “บางทีอาจมีผู้อื่นอยู่ที่นี่! หากเจ้าหาผู้อื่นได้พบ เช่นนั้นเจ้าก็อาจออกไปได้!”

“ข้าสงสัย ว่าจ้าวสำนักและผู้อื่นไปอยู่ที่ใดกันแล้ว” ฉินหยุนถอนหายใจกล่าวคำ “หวังว่าป้าเชี่ยวจะปลอดภัย”

“เย่ว์โยวไม่สังหารเจ้า ดังนั้นป้าเชี่ยวก็ไม่น่าจะเผชิญอันตรายใด” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

ฉินหยุนเดินไปทั่วป่าอยู่หลายวัน กระนั้นก็ยังไม่พบเจออันใด เขาเพียงแต่รู้สึกว่าดวงจันทราค่อนข้างแปลก

ฟ้ามืด ฉินหยุนบินขึ้นสูง มองขึ้นไปยังดวงจันทรา เขาใช้พลังจิตเพื่อเข้าสู่ไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน ส่งเสียงสื่อสารร้องบอกด้านใน “พี่สาวเหยาเฟิง ข้ารู้สึกว่าดวงจันทรานี้แปลก ท่านออกมารับชมมันได้หรือไม่?”

ทันทีเมื่อพูดกล่าวจบ หมอกสีดำจึงปรากฏ เหยาเฟิงออกมาสู่ภายนอกอย่างรวดเร็ว

นางเองก็ต้องการให้ฉินหยุนออกจากที่นี่โดยเร็ว เพื่อที่นางจะได้ช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

เหยาเฟิงที่ได้เห็นดวงจันทรา นางขมวดคิ้วกล่าว “นี่แปลกจริง! เจ้าอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว กระนั้นดวงจันทรากลับเต็มดวงอยู่ตลอด นี่ไม่ใช่ดวงจันทราที่พวกเราคุ้นเคยด้วย!”

ฉินหยุนคิดตาม เขารู้สึกว่าเป็นจริงดังที่ว่า

“อย่างนั้น... ดวงจันทรานี้คืออะไร?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ก็สมควรต้องมีจันทราทมิฬ! และจันทราทมิฬมักจะมาพร้อมดวงจันทราธรรมดา! ในช่วงกลางวัน จันทราทมิฬจะปรากฏ ขณะที่ช่วงกลางคืน ดวงจันทราปกติจะปรากฏ! ดวงจันทราปกติจะไม่มีทางเต็มดวงได้ตลอด!”

เหยาเฟิงกล่าว “นี่หมายความถึง... ดวงจันทรานี้เป็นของปลอม!”

ฉินหยุนขมวดคิ้ว “ดวงจันทรานี้มีหมอกโดยตลอด ข้าเพียงคิดว่าหมอกนี้ไม่ปกติ ไม่นึกว่าจะเป็นของปลอมทั้งดวง!”

เหยาเฟิงกล่าวต่อ “ระหว่างกลางวันนั้นไม่มีจันทราสีดำบนฟากฟ้า นั่นหมายความถึง จันทราทมิฬได้อยู่ในการควบคุมของใครบางคน และดวงจันทราจำแลงนี้ สมควรเป็นดวงดาวขนาดใหญ่!”

“เป็นไปได้ว่าเย่ว์โยวควบคุมจันทราทมิฬไว้?” ฉินหยุนพลันรู้สึก ว่าเย่ว์โยวผู้นี้คล้ายไม่ธรรมดายิ่งขึ้น

“ไม่ใช่ หากนางควบคุมจันทราทมิฬ นางสมควรกลับไปล้างแค้นที่แดนเซียนอ้างว้างเสียนานแล้ว!” เหยาเฟิงกล่าว “ยังคงมีบุคคลผู้เหนือล้ำคงอยู่ภายในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬแห่งนี้!”

ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวคำ “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ารับมือได้ไหว ข้าเพียงคิดอยากออกไปจากที่นี่!”

“หากเจ้าต้องการออกไป ตรวจสอบจันทราจำแลงนั่นดู บางทีเจ้าอาจได้ทราบเบาะแสอะไรมาบ้าง!” เหยาเฟิงกล่าวคำจบ นางจึงกลับเข้าสู่วิญญาณเทวะเก้าตะวัน

ในเมื่อเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬกว้างใหญ่ เขาจึงไม่ทราบว่าควรค้นหาทางออกที่ใด ที่ทำได้ ก็มีแต่ทำตามที่เหยาเฟิงกล่าว โดยการบินไปสำรวจดวงจันทราจำแลงบนฟากฟ้า

“หยุนเอ๋อ จันทราจำแลงนี้ไม่คล้ายว่าจะเป็นของปลอมสักนิด!”

ฉินหยุนเมื่อเข้าไปใกล้ เขาจึงยิ้มกล่าว “เหมือนว่าจะสัมผัสพลังจันทราจากมันได้ด้วยซ้ำ!”

“หากเป็นจริง หมายความถึงจันทราทมิฬต้องคงอยู่ด้านบนฟากฟ้า!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

“จะบอกว่าจันทราทมิฬซ่อนตัวอยู่ภายในดวงจันทราจำแลงงั้นหรือ?” ฉินหยุนเกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาพลางเร่งความเร็ว

ขณะบินขึ้นสูง เขาสัมผัสได้ถึงออร่าผู้อื่น

“มีคนอยู่แถวนี้!” หลิงหยุนเอ๋อร้องโพล่งออก

ฉินหยุนแปรสภาพร่างกายเป็นโปร่งแสงโดยทันที

เป็นดังคำเตือน ใกล้เคียงนี้มีหลายผู้คน ทั้งยังเป็นกลุ่มใหญ่

กลุ่มคนเหล่านี้ขึ้นขี่พยัคฆ์มีปีกร่างใหญ่โต พวกเขาสวมใส่ชุดเกราะสีเงินพร้อมถือหอกยาวในมือ เวลานี้กำลังบินโดยตั้งขบวนอย่างงดงาม

“ฝึกกำลังพลงั้นหรือ?” ฉินหยุนอุทานภายในใจ

“เป็นไปได้! นี่น่าจะข้องเกี่ยวกับจันทราจำแลง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวอย่างตระหนก “เร่งรีบขึ้นไปรับชมมัน!”

ดวงจันทรานี้เป็นของปลอมอย่างแท้จริง ขนาดของมันไม่ใหญ่ เพราะระยะห่างจากพื้นเพียงน้อยนิด แต่ด้วยเพราะอยู่บนฟากฟ้า ทำให้ผู้คนมองว่ามันใหญ่

พื้นผิวของดวงจันทราจำแลง มีแต่ก้อนหินกระจายอยู่ทั่ว

ฉินหยุนทำให้ร่างตนเองโปร่งแสงขณะรุกคืบอย่างระแวดระวัง

“สงสัยว่ากลุ่มคนที่ลาดตระเวนนั่นจะเป็นคนของเย่ว์โยว!” ฉินหยุนเดินสำรวจบนดวงจันทราจำแลงอย่างไร้จุดหมาย

ที่บนดวงจันทราจำแลง หลายครั้งครา เขาจะพบกำลังพลสวมใส่ชุดเกราะสีเงินเดินลาดตระเวน กระนั้นอีกฝ่ายไม่อาจพบเห็นเขาได้

นอกจากนี้ เขายังลักลอบติดตามกลุ่มกำลังพลชุดเกราะสีเงินนี้ไป

เขาติดตามอยู่กว่าครึ่งวัน เมื่อได้เห็นว่ากำลังพลชุดเกราะสีเงินบินไปไกล เขาจึงปล่อยวางที่เท่านั้น

ช่วงกลางวัน จันทราจำแลงจะถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากพบเห็นมัน

ฉินหยุนจึงค่อยเข้าใจ ว่าเหตุใดช่วงกลางวันจึงมีหมอกหนา

“พื้นดินเริ่มสั่นไหว!” ฉินหยุนหยุดชะงักขณะสำรวจตรวจสอบ

อึดใจถัดมา เขาตระหนักได้ว่าแรงสั่นสะเทือนนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง

“วิเศษนัก! ลองติดตามไปหาแหล่งกำเนิดแรงสั่นสะเทือนคงได้ทราบว่าผู้ใดลงมือ!” ฉินหยุนกำลังเป็นกังวลอยู่พอดี ว่าตนจะไม่อาจพบเจอผู้ใด

เขาครอบครองวิญญาณยุทธ์สั่นไหว ดังนั้นจึงเร็วสัมผัสต่อแรงสั่นไหวแม้เพียงเล็กน้อย เพราะเหตุนั้นเขาจึงสามารถติดตามแรงสั่นไหวเจือจางไปยังต้นตอแหล่งกำเนิด

ฉินหยุนแปรเปลี่ยนร่างเป็นโปร่งแสง หลังวิ่งอยู่กว่าครึ่งวัน เขาค่อยได้เห็นพระราชวังแห่งหนึ่ง

“นี่สมควรเป็นอาณาเขตของเย่ว์โยวแล้ว!”

ฉินหยุนหวาดกลัวต่อเย่ว์โยว หากเขาถูกจับตัวได้ เย่ว์โยวจะต้องนำเขาไปยังสถานที่ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าก่อนหน้า

ขณะเข้าไปใกล้พระราชวัง เขาจึงพบเจอกับกำลังพลลาดตระเวน

กลุ่มกำลังพลที่ลาดตระเวนนี้สวมใส่ชุดเกราะสีดำ ออร่าที่เผยออกแข็งแกร่งยิ่ง พวกเขาเหล่านี้คือราชันยุทธ์!

“ผู้ใด?” ผู้นำขบวนลาดตระเวนร้องตะโกนขึ้น

ฟึ่บ!

พริบตา ตาข่ายขนาดใหญ่ถูกโยนออก

ฉินหยุนคิดใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวง กระนั้นกลับไม่อาจทะลวงผ่านตาข่ายไปได้

“อึก!” เขาร้องเจ็บปวด มันเป็นความเจ็บปวดที่แทรกเข้ามาในร่างอย่างไม่อาจต่อต้าน

ฉินหยุนจำต้องเผยตัวออก

“เป็นปลาที่หลุดรอดมาได้นี่เอง! จับตัวมันไปขังในคุกใต้ดิน!”

ผู้นำขบวนทัพนี้แข็งแกร่งยิ่ง จากออร่าอีกฝ่าย สมควรเป็นจักรพรรดิยุทธ์แล้ว

“ชายผู้นี้น่าทึ่งนัก ถึงขั้นหลุดรอดมาจนถึงที่นี่ได้!” ชายวัยกลางคนในชุดเกราะดำเดินเข้ามา จับตัวฉินหยุนนำใส่ไว้ในกรงขัง

ฉินหยุนที่ถูกโยนเข้ากรงขัง เขาทำได้แต่จำต้องยอมรับ

เพราะกรงขังนี้ทรงอำนาจยิ่ง มันมีอักขระโบราณก่อตัวเป็นค่ายอาคมไว้ป้องกันผู้คนหลบหนี

“เสี่ยวหยุน กรงนี้ขังได้แม้กระทั่งเซียน เจ้าไม่อาจหลบหนีได้!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “อย่าได้กลัวไป ยังมีเหยาเฟิงให้พึ่งพา!”

ฉินหยุนพอนึกถึงเหยาเฟิง เขาค่อยสงบใจลงได้บ้าง

ไม่นานนัก ฉินหยุนจึงถูกนำไปยังพระราชวังโบราณ สิ่งปลูกสร้างภายในค่อนข้างเรียบง่ายและเก่าแก่

ฉินหยุนถูกนำสู่บ้านหลังใหญ่ทางปีกตะวันตกของพระราชวัง มันมีหลุมลึกในบ้านที่นำสู่เบื้องล่าง

“ลงไป!” ชายวัยกลางคนโยนทั้งกรงขังลงมา

ตู้ม!

กรงขังร่วงหล่นกระแทกพื้นหนักหน่วง

ฉินหยุนเพียงรู้สึกไม่สบายตัวไปบ้าง เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

เมื่อร่วงหล่นลงมา หลายคนจึงเข้ามาเปิดกรงขัง

ที่ทำฉินหยุนตื่นตะลึงที่สุด คือท่ามกลางคนกลุ่มนี้ มีจักรพรรดิยุทธ์สองคน ส่วนที่เหลือเป็นราชันยุทธ์

“เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬไม่ใช่ธรรมดาแล้ว!” ฉินหยุนต้องนึกทึ่งภายในต่อเรื่องราวนี้

กรงขังถูกเปิด ฉินหยุนถูกตาข่ายปกคลุมร่างเพื่อไม่ให้หลบหนี ก่อนจะถูกลากไปยังสถานที่แห่งอื่น

คุกใต้ดินมืดอย่างยิ่ง ทว่าฉินหยุนยังสามารถมองเห็นได้กระจ่างชัด

เขานึกไม่ถึง ว่าคุกใต้ดินจะกว้างขวางถึงเพียงนี้

มันเปรียบเสมือนพระราชวังใต้ดิน มีกรงขังน้อยใหญ่หลากหลาย กรงขังใหญ่บางกรง มันได้คุมขังร่างสัตว์ขนาดใหญ่สูงกว่าหลายสิบเมตรเอาไว้

ผู้ซึ่งถูกขังในคุกใต้ดิน ล้วนแต่เป็นสัตว์ร้าย!

หลิงหยุนเอ๋อสามารถเรียงรายนามของสัตว์เหล่านี้ออกมา พวกมันเป็นตัวตนจากครั้งโบราณ ปัจจุบันกล่าวได้ว่าหาพบพานยากยิ่ง

“เหตุใดที่นี่มีสัตว์ร้ายมากมายเพียงนี้?” ฉินหยุนเริ่มหวาดกลัว

“พวกมันล้วนถูกจับตัวมา ทั้งยังถูกขังไว้ที่นี่เป็นเวลายาวนานหลายปีแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ในคุกใต้ดินแห่งนี้ พลังงานพิเศษจะสามารถยับยั้งการบริโภคของสัตว์ได้!”

“หรือจะเป็นพลังจากจันทราทมิฬ?” ระหว่างฉินหยุนและหลิงหยุนเอ๋อหารือต่อกัน เขาถูกโยนใส่เข้าในกรงขนาดเล็ก

กรงนี้แม้กล่าวว่าเล็ก แต่นั่นก็คือขนาดที่เทียบเปรียบกับสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ สำหรับฉินหยุน มันยังคงใหญ่มาก

ฉินหยุนรู้สึกว่าด้วยเหยาเฟิงอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ถูกกักขังเป็นเวลานานเกินไปนัก

ที่เขาสงสัยตอนนี้ คือความลับใดที่ซุกซ่อนไว้ในดวงจันทราจำแลง

อุ๊ด อุ๊ด อุ๊ด!

จากด้านในกรงอันมืดมิด ฉับพลันมันมีเสียงร้องดังให้ได้ยิน ตัวตนสีดำกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้าที่ปูไว้ด้านล่าง

ฉินหยุนพิจารณาให้ดี พบว่าเป็นหมูดำตัวน้อย

“หมูร้องอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนมองที่หมูตรงหน้าก่อนจะพบว่าแปลก เขาส่ายศีรษะและเพียงยิ้มกับตนเอง

“เจ้าสิหมู!” หมูตัวนั้นพลันกล่าวคำขึ้น

ฉินหยุนนิ่งอึ้ง จากนั้นเขาจึงค่อยเผยยิ้ม “พูดได้ด้วย? อย่างนั้นบอกต่อข้า หากไม่ใช่หมู แล้วเจ้าคือตัวอะไร?”

“เป็นบิดาเจ้า ราชันสวรรค์!” หมูดำร้องตะโกน

“ราชันสวรรค์อย่างนั้นหรือ? ผู้ใดกันเล่า?” ฉินหยุนส่ายศีรษะยิ้มตอบ

“ปุถุชนผู้โง่เขลา แม้ข้าบอกออกไป เจ้าก็ไม่มีวันได้ทราบเข้าใจ!” หมูดำพอกล่าวคำจบ มันจึงเดินเข้ามาหาฉินหยุน

แม้ที่นี่มืดมิด กระนั้นสายตาของหมูดำคล้ายดีเยี่ยม มันมองที่ฉินหยุน ดวงตานั้นไม่คล้ายเป็นหมู ทั้งยังเผยอาการตื่นตะลึงอย่างเด่นชัด

“เป็นเจ้า!” หมูดำร้องตะโกนอย่างนึกหวาดกลัว “เจ้าแท้จริงถูกจับตัวนำมาที่นี่งั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไร?”

“รู้จักข้าด้วย?” ฉินหยุนขมวดคิ้วถาม

“น้องชาย ข้าเป็นพี่ชายเจ้า! จำข้าไม่ได้หรือไร?” หมูดำร้องออกเสียงดัง

“เจ้าหรือเป็นพี่ชายข้า? อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ!” ฉินหยุนมองที่หมูดำก่อนจะเผยเสียงหัวเราะดัง

“ราชันเซียนฝูหยุน เป็นข้าเอง! ข้าคือพี่ชายราชันสวรรค์ของเจ้า จำข้าไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?” หมูดำร้องโพล่งถามออก “น้องหยุน ข้าย่อมไม่มีทางลืมเลือนหน้าตาอันบึ้งตึงของเจ้า ต่อให้ตาย ข้าก็ยังจำได้ว่าเป็นเจ้า!”

ฉินหยุนขมวดคิ้วแน่น เขานึกขึ้นได้ ว่าสมควรเป็นเรื่องราวในชาติภพก่อนแล้ว

เขาไม่ทราบนามตนเองในชาติภพก่อน ทว่าตอนนี้หมูดำได้เรียกหาเขาเป็นราชันเซียนฝูหยุน วินาทีนี้เขาจึงรู้สึกว่ามันสมควรเป็นเรื่องจริง

“ข้า... ข้ารู้จักเจ้าจริงหรือ?” ฉินหยุนขมวดคิ้ว

“น้องหยุน เป็นเจ้าจริงด้วย! วิเศษนัก ฮ่าฮ่าฮ่า!”

หมูดำแลบลิ้นออกพร้อมกระโจนเข้าใส่ฉินหยุนอย่างยินดี กระนั้น ร่างน้อยนั่นกลับถูกฉินหยุนเตะกระเด็นลิ่วจนปะทะกับกรงขัง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด