ตอนที่แล้วเซียนเหนือวิถี บาทที่ 141 (ฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนเหนือวิถี บาทที่ 143 (ฟรี)

เซียนเหนือวิถี บาทที่ 142 (ฟรี)


บาทที่ 142

เขาจำได้ว่าเซียนจางหยางแห่งสำนักเจ็ดเมฆา อาจารย์ของชิวเยว่เคยกล่าวถึงการสร้างชีพจรเซียนให้กับคนที่ไม่มีชีพจรเซียนมาก่อน และเขาได้เอ่ยถึงวิชาที่ใช้แมลงคุณไสยสร้างชีพจรเซียนให้กับผู้คน แต่ทว่าแมลงคุณไสยนั้นกลับมีอายุเพียงยี่สิบปี ทำให้คนผู้ใช้แมลงคุณไสยนั้นไม่สามารถก้าวข้ามสู่ขอบเขตเซียนที่สูงกว่าได้

ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมาพบเจอกับสำนักนั้นในที่แห่งนี้ นี่มันไม่เจอง่ายไปหน่อยหรือไง ในเมื่อเขาใช้เวลาหลายปีในการค้นหาเซียน แต่กลับไม่เคยพบเห็นแม้แต่เงา แต่เมื่อถึงตอนที่จะเจอ เขากลับเจอที่ตั้งสำนักเซียนได้ง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ

แต่เมื่อนึกต่อไปแล้ว ถึงเขาจะรู้ว่ามีสำนักเซียนอยู่ที่นี่แล้วจะยังไงล่ะ เขาจะเดินไปเคาะประตูแล้วบอกว่าต้องการที่จะมาเรียนวิชาเซียนที่นี่อย่างงั้นรึ แล้วอีกฝ่ายจะใจดีเปิดประตูต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นอย่างนั้นหรือ เห็นชัดว่าการทำแบบนั้นจะเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน เพราะว่าเขายังมีสิ่งอื่นที่ยังจัดการไม่เรียบร้อยหลายอย่าง

“ใช่ เจ้าคงไม่เข้าไปเคาะประตูขอเรียนวิชาใช่ไหม นั่นคงไม่ง่ายนัก” มังกรจินต้าเดาใจเขาอย่างถูกต้อง

“ฮ่าฮ่าฮ่า” หงเซียวหัวเราะ

“อย่างไรก็ตามข้าตอนนี้ก็จะทำตามสัญญาที่ให้ พาเจ้ามาสำรวจพืชสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็คงจะไม่ต่างกันใช่หรือไม่” มังกรถาม

“แน่นอน ข้าไม่ผิดคำพูดแน่นอน” หงเซียวตอบ

“เช่นนั้น ข้าก็จะแนะนำวิธีการตามหาแมลงคุณไสยจักจั่นเซียนเก้าชีวิตให้ แต่การจะนำมันไปเป็นชีพจรเซียนนั้น เจ้าต้องไปถามสำนักนั้นเอง” จินต้าไม่สนใจ

“เช่นนั้นก็ตามหาจักจั่นกันเถอะ” หงเซียวกล่าว

“การตามหาตัวเต็มวัยนั้นไม่ง่ายนัก เพราะว่ามันมักจะจับคู่แล้วหาที่เริ่มต้นออกไข่พร้อมกับซุกซ่อนตัวตนโดยไม่สนใจอะไรอีก แต่ตัวอ่อนของมันนั้นจะยังควบคุมพลังเซียนได้ไม่ดี ดังนั้นข้าจะสามารถค้นหามันได้” จินต้ากล่าว พร้อมกับเคลื่อนตัวไปในบริเวณป่าโปร่ง

พวกเขาเดินทางไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มังกรทองจินต้าก็กล่าวว่า “ต้นไม้ต้นนี้ตรงรากที่ลึกลงไปยี่สิบเมตร ตัวอ่อนของมันเกาะรากอยู่”

หงเซียวใช้มือสัมผัสกับต้นไม้ ส่งพลังปราณเซียนไร้ลักษณ์ลงไปตามรากของมัน สุดท้ายเขาก็พบว่ามีตัวอ่อนแมลงตัวหนึ่งเกาะอยู่บนรากไม้ ดังนั้นเขาจึงส่งพลังปราณไร้ลักษณ์เข้าไปในร่างของตัวอ่อนแมลงตัวนั้น รับรู้ถึงสภาพภายในของมัน จนเมื่อเขาพอใจแล้วก็พยักหน้าให้กับจินต้า

“ข้าลืมบอกไปว่าต้นไม้ต้นนี้ก็เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้วย” มังกรจินต้ากล่าว

“อย่างงั้นรึ” หงเซียวกล่าว เขาไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรแตกต่างไปจากต้นไม้ปกติแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อต้นไม้ไม่มีชีพจรอยู่แล้ว

หงเซียวงุนงงอยู่นานว่าจะทดสอบต้นไม้อย่างไรดี ทันใดนั้นเองเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า ทำไมมังกรถึงรู้ได้ว่าต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์

“ทำไมท่านจึงรู้ว่าต้นไม้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์” หงเซียวถามจินต้าทันที

“หือ อือ…. ข้าสามารถรับรู้พลังเซียนภายนอกร่างของข้าได้นะสิ อ้อ.. ข้าลืมไปว่าเจ้ายังก้าวไม่ถึงระดับหนึ่งของเขตชีพจรเซียน ดังนั้นเจ้าอาจจะรับรู้ถึงพลังเซียนภายในร่างของเจ้าได้ แต่ก็ไม่อาจรับรู้ถึงพลังเซียนภายนอกร่างได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้เจ้าไม่สามารถรับรู้ถึงพลังเซียนจากต้นไม้นี้ได้” มังกรจินต้ากล่าว

หงเซียวเข้าใจได้ในทันที กระทั่งคนที่ใช้ปราณเองก็ตาม เมื่อมีพลังปราณแล้วจะสามารถรับรู้พลังปราณภายนอกได้ แต่ก็ยังมีมีขีดจำกัดในวิชาปราณแต่ละอย่างว่าจะสามารถรับรู้ถึงปราณภายนอกร่างได้มากแค่ไหน ดังเช่นปราณเซียนไร้ลักษณ์ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจจับอาการบาดเจ็บภายในร่างผู้ป่วยจึงมีความสามารถในการตรวจสอบปราณภายนอกร่างได้ดีเป็นพิเศษ

แต่ไม่ว่าอย่างไรถ้าหากว่าก้าวไปไม่ถึงระดับหนึ่ง ก็คืออยู่ในระดับศูนย์ ระดับที่ศูนย์ก็คือระดับที่ยังไม่ได้ย่างก้าวเข้าไปในขอบเขตใดๆทั้งสิ้น และความสามารถหลักก็จะอยู่ในระดับศูนย์

แต่ถึงกระนั้นหากจะพูดไป เขาก็เหมือนคนที่เกือบจะก้าวเข้าไปสู่ระดับหนึ่ง เมื่อทำอะไรโดยใช้พลังเซียนได้หลายอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ถึงระดับหนึ่งอยู่ดี เมื่อไม่สามารถตรวจสอบพลังเซียนภายนอกร่างได้

กลับมาถึงต้นไม้นี้ ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่า ในเมื่อต้นไม้นี้เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ นั่นย่อมหมายความว่า แต่ละส่วนของมันต้องมีความสามารถในการกักเก็บพลังเซียน หากว่าเขานำมันมาจัดสร้างเป็นเครื่องรางแล้ววางมันลงไปบนยันต์ต้องห้ามเพื่อบังคับให้มันโคจรพลังเซียนโดยไม่หยุดยั้ง จะเกิดอะไรขึ้น

“ท่านจินต้า ต้นไม้แบบนี้มีต้นอ่อนหรือไม่” หงเซียวถาม

“มีมากมาย แต่ถ้าอายุไม่ถึงสิบปี มันก็ยังไม่มีพลังเซียนมากพอที่จะให้เห็นคุณค่า นั่นไง ต้นหนึ่ง นั่นอีกต้น” มังกรชี้บอกต้นที่งอกออกมาสูงเพียงแค่คืบ มีใบห้าหกใบ

หงเซียวมองปราดเดียวเขาก็สังเกตเห็นลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์รูปร่างหน้าตาของมัน เขาแจ้งให้สี่เด็กสาวช่วยกันหา “น้องสาว ช่วยพี่ชายหาต้นไม้แบบนี้หน่อย สังเกตดูนะ ใบจะเป็นสามแฉกรูปหอก ปลายใบยาว มีขนตรงขอบใบ ลำต้นหนา”

สี่เด็กสาวพากันเข้ามามุงดู เมื่อจดจำได้แล้วพวกเธอก็ออกหา ขณะเดียวกันหงเซียวก็เริ่มส่งกระแสพลังปราณเซียนไร้ลักษณ์เข้าไปในลำต้นของมันแผ่ไปตามรากเพื่อตรวจสอบรูปทรงของราก จากนั้นเขาก็ใช้ปราณเซียนไร้ลักษณ์เข้าไปครอบคลุมพื้นดินโดยรอบรากและเสริมไปในลำต้นและออกแรงดึง

ทั้งดินและต้นไม้หลุดออกมาจากพื้น หงเซียวพยักหน้าอย่างพึงใจ

มังกรทองจินต้ามองดูเขาอย่างฉงน เอ่ยถามว่า “เจ้าถอนมันออกมาเพื่อ…. หรือว่าเจ้าคิดจะเอามันไปปลูกอย่างนั้นรึ ถ้าเจ้าเอาไปปลูกในพื้นที่ที่ไม่มีพลังเซียน มันก็จะกลายเป็นต้นไม้ธรรมดา”

“ข้าจะลองทดลองอะไรบางอย่างดู ว่าแต่ว่าต้นไม้นี้ชื่ออะไรรึ” หงเซียวกล่าวถาม

“พวกเซียนเรียกมันว่า รากจักจั่นเซียน ปลูกไว้เลี้ยงจักจั่นเซียนเก้าชีวิตโดยเฉพาะ” มังกรจินต้าตอบ

ไม่นานนักบรรดาเด็กสาวต่างก็กลับมาบอกว่าเจอที่ไหนบ้าง หงเซียวจึงสอนวิธีการถอนให้กับพวกเธอ ไม่นานนัก ต้นไม้กว่าร้อยต้นก็ระเกะระกะอยู่บนพื้น

“ผลลัพธ์วันนี้น่าพึงพอใจ ข้าได้วัตถุดิบเพื่อที่จะไปทดสอบแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” หงเซียวกล่าวกับจินต้า พร้อมกับใช้พลังปราณไร้ลักษณ์ยกต้นไม้ร้อยกว่าต้นนั้นขึ้นบนอากาศ

พวกเขาลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วมุ่งตรงกลับไปยังสำนักหมื่นอสูร ในช่วงขากลับนี้หงเซียวสามารถรับรู้ได้ว่าสำนักหมื่นอสูรอยู่ที่ไหน ในเมื่อร่างจิตเทียมที่อยู่ที่นั่นได้ส่งทิศทางมาให้เขาอยู่ตลอดเวลา

หลังจากนั้นอีกสองวันเต็มพวกเขาจึงไปถึงสำนักหมื่นอสูร หงเซียวไม่รอช้า เขานำต้นไม้ลงปลูกในอาณาเขตทันที โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มเจ็ดกลุ่มแยกออกจากกันและทำการบรรจุพลังเซียนพร้อมอักขระเซียนเข้าไปเช่นเดียวกันกับที่เขาทำกับอัญมณีในการสร้างเครื่องรางปราณ

มังกรจินต้าไม่สนใจเขา มันเพียงเข้าไปในกองไฟแล้วนอนอยู่ห่างออกไปจากไข่ทั้งสองฟอง ด้วยกลัวว่าพลังเซียนของตัวมันจะทำให้ไข่ถูกทำลาย

หงเซียววางยันต์ต้องห้ามไว้บนพื้นที่ปลูกต้นไม้ และกระตุ้นยันต์เพื่อทำให้ต้นไม้ที่มีอักขระเซียนทำการโคจรพลังเซียนไปไม่รู้จบ ด้วยวิธีนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในดินแดนที่มีรากเซียน ต้นไม้ของเขาก็จะสามารถสร้างพลังเซียนมาสะสมในตัวของมันได้เอง

เพียงแต่เขาสงสัยว่าวิธีการโคจรพลังเซียนแต่ละแบบนั้นจะได้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร

เวลาผ่านไป เมื่อหงเซียวเสร็จสิ้นการงานจากต้นไม้แล้วนั้น ก็ห่างจากเวลาที่ไข่ฟองแรกจะฟักเป็นตัวไม่นานนัก

ทุกคนพากันไปรวมตัวที่ไข่ กระทั่งจินต้าเองก็ยังผงกหัวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

เปรี๊ยะ ปกติไข่งูจะเป็นหนังเหนียว แต่ไข่มังกรเพลิงสีชาดนั้นมีลักษณะคล้ายไข่ไก่มีเปลือกแข็งหุ้ม แต่ถึงกระนั้นการแตกออกครั้งนี้ก็ผิดออกไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะปกติแล้วไข่มังกรเพลิงสีชาดนั้นจะต้องหลอมละลาย แต่นี่กลับมีเสียงปริแตก

จินปิงอยู่ใกล้กับไข่มังกรโดยไม่ห่าง แต่มังกรสุวรรณอัคคีจินต้านั้นกลับไม่กล้าเข้าใกล้ มันได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ

ไข่เริ่มร้าวไปทั่วทั้งฟองและในที่สุด

บรึม มันแตกระเบิดออกรอบด้าน ด้านในกลับเป็นมวลหมอกสีทองแผดเผาคล้ายกับดวงอาทิตย์ คลื่นกระแทกถูกส่งออกมาสองสามครั้งสุดท้ายมวลหมอกนั้นก็เริ่มรวมตัวกันกลายเป็นมังกรทองขนาดตัวเท่ากับนิ้วก้อยยาวหนึ่งศอกลอยเข้าไปคลอเคลียกับจินปิงเพราะว่าจินปิงนั้นอยู่ใกล้ที่สุด

จินปิงก็เข้าไปพัวพันกับมังกรทองตัวน้อยนี้เช่นกัน แต่ส่วนหนึ่งของหางของมันก็ยังกระหวัดไข่อีกฟองไว้ไม่ยอมปล่อย

“อืม เพศเมีย โอ… ดีดี เผ่าพันธุ์ข้าจะยังคงอยู่ไม่สูญสิ้นแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า” มังกรจินต้าหัวเราะลั่น หลังจากที่มันได้รับรู้ถึงพลังคลื่นเซียนจากร่างอีกฝ่าย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด