ตอนที่แล้วบทที่ 193 ผลพลอยได้จากความขัดแย้งของผู้อื่น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 195 ถูกติดตาม

บทที่ 194 เพียงแค่ลองดู


สงครามกำลังอยู่ในช่วงแห่งความวุ่นวาย ผู้ที่กำลังโรมรันกันอยู่นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นสองกองกำลัง

กองกำลังฝ่ายหนึ่งมีสมาชิกอยู่ราวๆสี่ร้อยคนในขณะที่อีกฝ่ายมีประมาณเจ็ดร้อยคน ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่การกดขี่ข่มเหงอยู่ฝ่ายเดียว แต่น่าประหลาดใจที่ฝ่ายที่มีจำนวนคนน้อยกว่ากลับกำลังได้เปรียบ

บริเวณสนามรบเป็นป่าเขาและแนวหินเสียส่วนใหญ่ เจียงอี้นำเหรียญตราออกมาเพื่อใช้สำรวจคนเหล่านั้น ในขณะที่กำลังอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย หวังว่าพวกเขาคงจะไม่หันมาสนใจเขานะ?

เจียงอี้ไม่กล้าออกไปจากปากทางเข้าอุโมงค์ เขารู้สึกว่ายิ่งอยู่ใกล้พื้นดินมากเท่าไหร่ เสียงก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น แน่ชัดแล้วว่าการต่อสู้กำลังอยู่ในช่วงสำคัญ หากว่าเขาขึ้นไปตอนนี้ มีหวังคงถูกล้อมสังหารเป็นแน่

เมื่อรอไปสักพัก เจียงอี้ก็ใช้ดาบเกล็ดทมิฬขุดอุโมงค์ขึ้นมาใหม่และไปโผล่แถวกองหินซึ่งอยู่ห่างออกไป

นี่มันอะไรกัน?!

เจียงอี้อ้าปากค้างขณะที่มองไปยังภาพตรงหน้า สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างกองกำลังของอาณาจักรเซิ่งหลิงและเผ่าคนเถื่อนของอาณาจักรเทียนเซวี่ยน

คนเถื่อนเหล่านั้นสามารถยกก้อนหินยักษ์ซึ่งหนักกว่าห้าร้อยกิโลกรัมและเขวี้ยงออกไปได้อย่างสบายๆ เขาเห็นแม้แต่กระทั่งใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งอยู่ในกองกำลังฝ่ายคนเถื่อนอย่างองค์ชายคนเถื่อน,อาหนี

คนเถื่อนส่วนใหญ่กำลังอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งราวกับสัตว์ป่าและบุกเข้าใส่ศัตรูด้วยพละกำลังอันน่ากลัว ส่วนนักสู้จักอาณาจักรเซิ่งหลิงจะไม่เข้าปะทะซึ่งๆหน้าแต่จะหาช่องว่างเพื่อใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกับอีกฝ่าย

จุดที่น่าสนใจก็คือ เหล่าคนเถื่อนมีพลังป้องกันที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก การโจมตีของศัตรูทิ้งไว้รอยตื้นๆบนผิวหนังของพวกเขาเท่านั้น

ในทางกลับกัน เหล่านักสู้จากอาณาจักรเซิ่งหลิงก็กำลังถูกกดดันอย่างหนักจากก้อนหินยักษ์และกำปั้นขนาดใหญ่ หากพลาดพลั้ง พวกเขาก็อาจจะกลายเป็นเนื้อบดในพริบตา

เหตุผลที่เจียงอี้สามารถระบุว่าคนเหล่านั้นเป็นคนจากอาณาจักรเซิ่งหลิงได้ก็เพราะว่าประชากรส่วนใหญ่ของอาณาจักรนี้มักจะมีสีผมเป็นสีน้ำตาล และบางครั้งก็ยังมีสีทองหรือฟ้าปรากฏออกมาให้เห็น ในขณะที่อาณาจักรอื่นๆประชากรเกือบทั้งหมดจะมีผมสีดำเท่านั้น

การต่อสู้กำลังอยู่ในช่วงชุลมุน อาณาจักรเซิ่งหลิงมีจำนวนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมากกว่า แต่ทางด้านของคนเถื่อนก็มีจุดแข็งอยู่ที่การป้องกัน แต่ก็น่าเสียดายที่อ่อนด้อยด้านความเร็ว

ทุกครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวของอาณาจักรเซิ่งหลิงลงมือ นักรบคนเถื่อนก็จะล้มตายเป็นเบือ ทางฝั่งของคนเถื่อนเองก็มีผู้เชี่ยวชาญในระดับเดียวกันอยู่หกถึงเจ็ดคน เมื่อพวกเขาเข้าประจันหน้ากับอีกฝ่าย คนพวกนั้นก็จะถูกทุบตีอย่างโหดเหี้ยมและต่างโดยมีสภาพศพแหลกเหลว

เมื่อมองดูจากสภาพการณ์ในตอนนี้แล้วก็เห็นได้ว่าสงครามเพิ่งเริ่มขึ้นได้ไม่นาน แต่จำนวนผู้เสียชีวิตกลับพุ่งสูงถึงสี่ร้อยคนแล้ว ด้วยความวุ่นวายเหล่านี้จึงทำให้เจียงอี้ยังคงเร้นกายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงอย่างเงียบเชียบ

“ฆ่ามัน!”

เมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวของอาณาจักรเซิ่งหลิงเห็นว่าพวกคนเถื่อนกำลังเข่นฆ่าคนของฝ่ายตนอย่างไม่หยุดหย่อน พวกเขาก็ไม่สามารถสะกดข่มโทสะได้อีกต่อไป

หากว่ามันยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาอาจจะฆ่านักรบคนเถื่อนที่มีระดับต่ำกว่าได้ทั้งหมด แต่ทางฝ่ายของพวกเขาจะเหลือผู้รอดชีวิตอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญทั้งเก้าคนจึงนำอาวุธออกมาและพุ่งเข้าใส่นักรบคนเถื่อนที่อยู่ในขอบเขตเสินโหยวทั้งหกในทันที

“บรู๊วววว!”

หากว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวคอยคุมเชิง อาหนีก็คงจะนำนักรบคนเถื่อนที่เหลือบุกเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามไปนานแล้ว

ทั้งสองฝ่ายกำลังติดพันอยู่กับการเข่นฆ่าและไม่มีฝ่ายใดเลือกที่จะล่าถอย ดูเหมือนว่าบทสรุปของสงครามนี้จะจบลงที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น

การต่อสู้ยิ่งดูสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เจียงอี้ยังคงอยู่กับที่และไม่มีแผนที่จะเคลื่อนไหว ในความคิดของเขา เขาอาจจะไม่คุ้นเคยกับอาหนีมากนักแต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ดังนั้นเขาคงจะไม่ลงมือกับฝั่งคนเถื่อน

ถึงอย่างนั้นเจียงอี้ก็ไม่โง่พอที่จะประกาศตัวเป็นศัตรูกับอาณาจักรเซิ่งหลิงเพื่อคนเถื่อนเช่นกัน ด้วยจำนวนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่มากขนาดนั้น เขาคงตายแน่หากเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง

“เจ้าพวกคนเถื่อน! พวกเจ้าทั้งหมดจงตายเพื่อนายน้อยคนนี้ซะ!”

ทันใดนั้นนายน้อยผมสีฟ้าคนหนึ่งทางฝั่งของอาณาจักรเซิ่งหลิงก็คำรามขึ้นมา แหวนในมือของเขาส่องสว่างจากนั้นดาบโค้งเล่มหนึ่งก็ปรากฏอยู่ออกมา

กลิ่นอายอันน่าขนลุกกระจายอยู่รอบตัวดาบ ดาบโค้งถูกขว้างออกไปด้านหน้าราวกับบูมเมอแรงและผ่าร่างของนักรบคนเถื่อนห้าคนออกเป็นส่องส่วน จากนั้นมันก็วนกลับมาอยู่ในมือเจ้าของ

ฟึ่บ!

นายน้อยผู้นั้นกระอักเลือดออกมากองหนึ่ง แต่ดวงตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความดุร้าย น่าเหลือเชื่อที่การขว้างดาบออกไปทุกครั้งจะสามารถสังหารนับรถคนเถื่อนได้ทีละสี่ถึงห้าคนเลยทีเดียว

สิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์!

คิ้วของเจียงอี้ขมวดเป็นปม แม้ว่าศาสตราวุธชิ้นนั้นจะไม่ธรรมดา แต่การที่นายน้อยคนนั้นกระอักเลือดออกมาก็หมายความว่าเขายังไม่สามารถขัดเกลามันได้อย่างสมบูรณ์และเป็นเพียงแค่การฝืนใช้เท่านั้น

“ประมุขน้อย! โปรดให้ข้าหยิบยืมดาบภูติจันทราด้วย!”

หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวของอาณาจักรเซิ่งหลิงเอ่ยออกมา แม้ว่านายน้อยผมฟ้าผู้นั้นจะลังเลอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดเขาก็โยนมันออกไป

ฟึ่บ!

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวคนนั้นคว้าดาบโค้งเอาไว้จากนั้นก็เข้าห้ำหั่นกับนักรบเถื่อนอย่างไม่เกรงกลัว คมดาบเฉือนฟันรอบทิศ ตลอดเส้นทางของเขาเต็มไปด้วยเศษอวัยวะและเลือดสีแดงฉาน

แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่ได้ขัดเกลาดาบภูติจันทรา แต่เพียงแค่ใช้ความคมของมันผนวกกับความแข็งแกร่งของขอบเขตเสินโหยว มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะกวาดล้างพวกคนเถื่อนเหล่านี้

ฝ่ายคนเถื่อนกำลังตกอยู่ในอันตราย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาจะถูกกวาดล้างทั้งหมด!

เจียงอี้ยังคงหลบซ่อนตัวและไม่คิดที่จะเอาไปช่วยเหลือ เพราะหากเขาเคลื่อนไหว เขาจะถูกรุมสังหารและตายไปพร้อมกับเหล่าคนเถื่อนในทันที

“บรู๊ววว!”

ในตอนนั้นเอง หนึ่งในนักรบขอบเขตเสินโหยวของฝ่ายคนเถื่อนก็กู่ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายคลึงกับหมาป่า

เมื่อได้ยินเช่นนั้น บรรดาสมาชิกเผ่าคนเถื่อนที่มีพลังต่ำกว่าก็รีบถอยห่าง นักรบคนเถื่อนขอบเขตเสินโหยวผู้หนึ่งรีบถอยไปอยู่ข้างกายอาหนีเพื่อทำการปกป้องอีกฝ่าย ส่วนคนที่เหลือก็กระโจนเข้าหาศัตรูด้วยความบ้าคลั่ง

“ฆ่าพวกมัน! อย่าปล่อยให้มีชีวิตรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”

ชายหนุ่มผมฟ้าคำราม กองกำลังของอาณาจักรเซิ่งหลิงก็ไม่รอช้าและลงมือเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามทันที

“อ่า อู้ว อู้ว—!”

ทันใดนั้นเจียงอี้ก็ได้ยินเสียงร้องอันแปลกประหลาด เมื่อหันไปมอง เขาก็รู้สึกขนหัวลุกกับภาพตรงหน้า

เมื่อนักรบคนเถื่อนขอบเขตเสินโหยวทั้งห้าคนถูกล้อมกรอบโดยฝ่ายศัตรู จู่ๆร่างของพวกเขาก็เปล่งแสงสีเหลืองออกมาพร้อมกับเปลวเพลิงที่ค่อยๆลุกโชติช่วง

หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พวกเขาก็วิ่งเขาหาฝ่ายศัตรูโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อความตายและตกอยู่ในความบ้าคลั่ง

“ถอยก่อน!”

“หนีเร็ว!”

“วิ่งเร็วประมุขน้อย! ไอ้พวกคนเถื่อนมันเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว พวกมันกำลังใช้วิชาคนเถื่อนเพื่อเผาผลาญตำหนักม่วงและระเบิดตัวเอง!”

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งเก้าของอาณาจักรเซิ่งหลิงหน้าซีดเผือก พวกเขารีบตะโกนเตือนคนอื่นและถอยหนีด้วยความเร็วสูงสุด

ก่อนที่พวกเขาจะสามารถไปได้ไกลพอ ร่างของนักรบคนเถื่อนทั้งห้าก็ปริแตกและระเบิดออกซึ่งก่อให้เกิดแสงสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์

แม้แต่เจียงอี้ที่อยู่ห่างออกไปก็ยังต้องหลับตาปี๋ คลื่นสะท้อนจากแรงระเบิดทำให้ดวงวิญญาณของเขาสั่นสะท้านถึงแม้ว่าตัวเขาจะอยู่ห่างออกไปเกือบสามร้อยเมตรก็ตาม

“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!”

ระเบิดยักษ์ห้าลูกดังติดต่อกันทำให้พื้นดินสั่นไหวไม่หยุด เจียงอี้รีบกลับลงไปใต้ดินเพื่อหลบเลี่ยงผลกระทบร้ายแรง

นักสู้ผู้หนึ่งสามารถระเบิดตัวเองได้ด้วยหรือ? เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นเพราะพลังพิเศษของเผ่าคนเถื่อน? ดูเหมือนว่าข้าจะต้องระวังคนเหล่านี้เมื่ออาจจะต้องเผชิญหน้ากันในอนาคตเสียแล้ว!

ภายในหูของเจียงอี้ยังคงดังกึกก้องไปด้วยเสียงของระเบิด เขารู้ว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวนั้นแข็งแกร่ง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระเบิดอานุภาพสูงเช่นนี้ หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่

ถ้าไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว อาหนีและคนอื่นๆคงหนีไปได้ไม่ยาก

จบแล้ว?

ใช่… มันจบแล้ว!

ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกาย เขามีความสุขบนคราวเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเหล่านี้ หากปราศจากพวกเขา ใครเล่าที่จะหยุดเขาได้? แม้ว่าจะยังคงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ยังมีเหรียญตรานับพันเป็นรางวัล!

“ก็เพียงแค่ลองดู!”

เจียงอี้พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อสัมผัสได้ว่าอาหนีและคนอื่นๆหนีไปไกลหลายกิโลเมตรแล้ว เขาก็รีบกระโจนขึ้นมาจากใต้ดิน…

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด