ตอนที่แล้วเซียนเหนือวิถี บาทที่ 131 (ฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนเหนือวิถี บาทที่ 133 (ฟรี)

เซียนเหนือวิถี บาทที่ 132 (ฟรี)


บาทที่ 132

เมื่อเวลาผ่านไปอีกสองวัน หงเซียวก็เริ่มฟักไข่มังกรเพลิงสีชาด ถึงแม้ว่าร่างจิตเทียมจะมีเพียงสามสิบกว่าตัว แต่ก็พอเพียงที่จะใช้สร้างดวงไฟเซียนและจ่ายพลังปราณให้กับไข่ทั้งยี่สิบเจ็ดฟอง แต่ว่าเขากันออกมาสามฟองเพื่อทดสอบความคิดแปลกๆในหัว

เขาวาดยันต์เดียวที่เขามีด้วยพลังเซียนบนพื้น ยันต์ที่ได้มาจากคัมภีร์ลับต้องห้ามที่สามารถบังคับให้ผู้คนโคจรพลังตามความต้องการโดยไม่หยุดยั้ง และเขาก็ใช้บังคับร่างจิตเทียมให้โคจรพลังเซียนสร้างกองไฟกองใหญ่ขึ้นห่างจากตัวบ้านมากที่มุมหนึ่งของอาณาเขต ก่อนจะใช้ร่างจิตเทียมอีกชุดส่งพลังปราณเข้าไปในไข่ขณะที่ถูกพาเข้าไปในกองไฟนั้น

ไข่ยี่สิบสี่ฟองร้อนแดงขณะที่อยู่ในกองไฟกองใหญ่นั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่มีวี่แววว่าจะไหม้ ที่สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนมากกว่านั้นก็คือ จินปิงที่ชอบขดตัวอยู่บนข้อมือของจินหลินก็เข้าไปนอนคลอเคลียอยู่บนเหล่าไข่ในกองไฟนั้นด้วย ทำทีราวกับเป็นแม่ที่คอยปกป้องลูก

ไข่นกฟ้าครามทั้งสี่ฟองนั้นถูกหงเซียวให้ร่างจิตเทียมช่วยส่งพลังปราณเข้าไปในไข่ทำการฟักไข่ทั้งสี่ฟองนั้น และกว่าที่พลังปราณที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในไข่เหล่านั้นจะหมด หงเซียวก็น่าจะสามารถสร้างร่างจิตเทียมขึ้นมาเปลี่ยนได้มากมายแล้ว

เพราะว่าหงเซียวยังไม่ว่างจึงไม่ได้ติดต่อไป ผู้อาวุโสหวี่หังจึงแวะมาดูในวันที่สี่และก็พบกับภาพอันน่าตื่นตะลึง พื้นดินที่ลุกเป็นไฟได้เองและในกองเพลิงนั้นมีไข่อยู่ยี่สิบสี่ใบ โดยมีมังกรเพลิงสีชาดนอนขดเป็นวงอยู่อย่างสบายบนกองไข่ในกองไฟนั้นด้วย

จินหลินมาต้อนรับเขาเช่นเคย

“หงเซียวยังไม่ว่างรึ” ผู้อาวุโสถาม

“ใช่เจ้าค่ะ พี่ชายยังต้องเตรียมตัวอีกหลายอย่าง แต่อย่างที่ท่านเห็น ไข่มังกรเพลิงสีชาดได้เริ่มฟักแล้ว ก่อนนี้พวกเราฟักใช้เวลาสามเดือน แต่เพราะว่ามีจินปิง มังกรของข้าช่วยดูแลอยู่ข้างในนั้น ข้าคิดว่าสองเดือนก็น่าจะเพียงพอ” เธอกล่าว

“แล้วไข่นกฟ้าคราม...” ผู้อาวุโสหวี่หังถามต่อ

“ไข่นกก็ฟักแล้ว อยู่ในบ้าน น่าจะใช้เวลาประมาณเดือนครึ่งในการฟักเป็นตัว” จินหลินกล่าวพร้อมกับเสริมว่า “ตอนนี้ถ้าท่านได้เตรียมไข่อย่างอื่นมาข้าก็พอที่จะรับไว้ได้ เพราะว่าพี่ชายเริ่มเตรียมพร้อมมากขึ้นแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้น นี่คือไข่คางคกอสูรงูทอง คางคกยักษ์ไม่มีพิษบนผิวของมันมีปมอยู่ ภายในปมนั้นมีอาหารอยู่ซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโตของงูทองที่มีพิษร้ายแรง ทำให้งูทองมาอาศัยอยู่ในปมนั้น เดิมทีมีคางคกยักษ์นี้หลายร้อยตัวในป่าแห่งนี้ ปกติแล้วมันจะออกไข่ไว้ในปมบนหลังและฟักเป็นตัวอยู่ในนั้น แต่เพราะว่ามันเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าเป็นอย่างมากทำให้เกิดการล่าอย่างหนักจนเหลือแต่ไข่เพียงหกสิบกว่าฟองนี้เท่านั้นที่พวกเราเก็บมาได้จากร่างที่ตายแล้วของตัวแม่” ผู้อาวุโสส่งแหวนมิติให้

“แล้วท่านมีงูทองอยู่ด้วยหรือไม่” จินหลินกล่าว

“ข้าจะจัดเตรียมมาให้ในภายหลัง” ผู้อาวุโสตอบ “ส่วนนี่เป็นสัตว์อสูรประเภทงู ไฮดร้าจำแลง มันเป็นงูที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ทุกตัวจะใช้เกล็ดยึดร่างติดเข้าด้วยกันเพียงแต่ปล่อยส่วนหัวให้เป็นอิสระ ทำให้ดูเหมือนกับว่ามันเป็นงูที่มีหัวหลายสิบหัว และการทำแบบนี้ทำให้มันล่าสัตว์อื่นที่แข็งแกร่งกว่าตัวมันได้ แต่ก็เพราะพฤติกรรมแบบนี้ เมื่อถูกล่า ทำให้พวกมันตายไปทีละเป็นจำนวนมากในทีเดียว และตอนนี้ข้าก็มีไข่เหลืออยู่เพียงเจ็ดฟองนี้เท่านั้น”

จินหลินรับแหวนมิติทั้งสองวงไว้ แล้วกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ขอรับแหวนสองวงนี้ไว้ก่อน เมื่อพร้อมที่จะรับงานใหม่แล้ว พวกเราจะแจ้งให้ท่านทราบอีกครั้ง”

เมื่อเวลาผ่านไปสิบห้าวันนับจากวันที่พวกเขามาถึงที่นี่ หงเซียวก็พาสาวๆและจิวหูไปอ่านหนังสือในชั้นคัมภีร์ของตึกระฟ้า ซึ่งเป็นชั้นที่ยี่สิบของตึกนั้น ซึ่งการขึ้นไปนั้นก็โดยการผ่านบันได แต่เพราะว่าต่างมีความสามารถในการใช้วิชาตัวเบา ดังนั้นการไปชั้นคัมภีร์นั้นจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากนัก

เนื่องเพราะว่าพวกเขายังฟักไข่ไม่ออกมาเป็นตัว ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เพียงให้เข้าสู่ส่วนที่ไม่ใช่วิชาลับของสำนัก วิชาหลอมเลือดอสูร

แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับหงเซียว เพราะว่าเขาได้เรียนรู้หลายอย่าง เช่นวิชาสื่อสารจิตสัตว์อสูร ซึ่งทันทีที่จินหลินรู้ว่ามีวิชานี้ เธอก็เป็นคนแรกที่ฝึก วิชาตรวจไออสูร วิชาที่ใช้ตรวจสอบกลิ่นอายของคนและสัตว์ เป็นวิชาที่พวกเขาสามารถจำแนกออกมาว่าหงเซียวและพวกเป็นคนของนิกายเซียนปีศาจ วิชาโคจรพลังปราณสัตว์อสูรหลากหลาย ซึ่งคนที่หลอมเลือดสัตว์อสูรเฉพาะแบบนั้นจะสามารถฝึกปรือได้ แทบไม่มีประโยชน์สำหรับคนอื่น แต่สำหรับหงเซียวและพวกแล้ว พวกเขาสามารถใช้อัญมณีจัดสร้างเป็นเครื่องรางทดแทนได้ ดังนั้นนี่จึงไม่มีปัญหากับพวกเขากับวิชาปราณเหล่านี้ และสำหรับหงเซียวแล้วยิ่งทำให้เขาแตกฉานในด้านอักขระปราณ

ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่มีวิชาเขตร่างปราณจำนวนหนึ่ง เพราะว่ามีสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งที่มีธรรมชาติเข้าสู่ร่างปราณ และยังมีวิชาเขตวิญญาณปราณอยู่สองสามเล่มด้วย ซึ่งจะทำให้หงเซียวสามารถพัฒนาวิชาในเขตร่างปราณได้ ถึงแม้ว่าตัวเขาเองยังจะต้องใช้เวลาอีกยาวไกลไปถึงระดับนั้น

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว จินหลินก็ไม่ได้ขอรับไข่ใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก ซิ่วจูก็ก้าวเข้าสู่เขตแก่นปราณ ขณะที่สองคนที่เหลือ เหมยเหมยและซีชี่ก็จ่อที่จะก้าวเข้าสู่เขตแก่นปราณในเวลาคาดว่าอีกไม่เกินเดือน

ส่วนหญิงสาวทั้งเจ็ดนั้น พวกเธอก็ทยอยกันก้าวเข้าสู่เขตแก่นปราณ เหลือเพียงสามคนเท่านั้น ส่วนเด็กหนุ่มจิวหูนั้นก็ผ่านระดับหกเข้าสู่ระดับเจ็ดได้สำเร็จและคาดว่าจะเข้าสู่ระดับแปดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ไข่แทบทุกฟองได้ทำการฟัก หงเซียวค่อยโล่งอก มีเพียงไข่มังกรสีชาดสามฟองที่หงเซียวได้ทำการเก็บสำรองเอาไว้ก่อนกับไข่ของคางคกที่เหลืออีกยี่สิบฟองที่ยังไม่ได้ฟัก เพราะว่าร่างจิตเทียมที่มีไม่เพียงพอ เพราะว่าเขาต้องสำรองร่างจิตเทียมจำนวนหนึ่งไว้สำหรับเปลี่ยนตัวกับร่างจิตเทียมอื่นที่พลังปราณเริ่มเหือดแห้งด้วย

เวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน หงเซียวและจินหลินก็พากันทะลวงเข้าสู่เขตแก่นปราณระดับสอง จากการใช้แก่นปราณสัตว์อสูรเสริมร่างอย่างต่อเนื่อง และในเวลานี้เจ็ดหญิงสาวก็พากันเข้าสู่เขตแก่นปราณกันจนหมดสิ้น และจิวหูนั้นก็เข้าสู่เขตชีพจรปราณระดับแปด สร้างความยินดีให้กับเจ้าตัวเป็นอันมาก

และหลังจากที่หงเซียวทะลวงเข้าสู่เขตแก่นปราณระดับสอง หงเซียวก็แจ้งผ่านคนส่งอาหารไปให้กับผู้อาวุโสหวี่หังว่า ไข่สัตว์อสูรนกฟ้าครามถึงกำหนดที่จะฟักเป็นตัวแล้ว ให้หาคนที่จะมาดูแลมันต่อมารับไปด้วย

ผู้อาวุโสหวี่หังพร้อมกับคนอีกสามคนมาถึงอย่างรวดเร็ว พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่หลอมเลือดนก หงเซียวจึงนำไข่ที่อยู่ภายในบ้านออกมาให้พวกเขา ซึ่งสร้างความยินดีให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก

หงเซียวไม่ต้องอธิบายอะไรให้กับพวกเขา เพราะว่าพวกเขาคลุกคลีอยู่กับสัตว์อสูรมาเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไรได้เป็นอย่างดี

พวกเขาพากันถือไข่กันคนละลูกแอบไปอยู่กันคนละมุม รอเวลาที่ลูกนกจะฟักเป็นตัว แน่นอนว่าหงเซียวและพวกไม่มีใครสนใจ ต่างไปทำกิจต่างๆตามปกติ นอกจากหญิงสาวทั้งเจ็ดที่พากันเข้าไปรอดูการฟักเป็นตัวของลูกนก

และเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงประมาณตีสาม เสียงลูกนกเจาะเปลือกไข่ก็ดังขึ้น

“มาแล้ว” ผู้อาวุโสหวี่หังกล่าวด้วยความดีใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยคิดลังเลอยู่บ้างกับความสามารถของหงเซียว แต่เมื่อลูกนกเจาะเปลือกไข่ ความสงสัยทั้งหมดล้วนสูญสิ้น สิ่งที่อยู่ในใจของเขาก็คือความดีใจ

ลูกนกไร้ขนตัวโตเท่ากับแมวอ้วนพากันออกมาจากไข่ท่ามกลางความช่วยเหลือของทุกคน เจ็ดหญิงสาวต่างพากันลุ้นระทึกไปกับความน่ารักของลูกนกด้วย

ลูกนกทุกตัวต่างจดจำผู้อาวุโสหวี่หังและพวกว่าเป็นแม่อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นผู้อาวุโสหวี่หังจึงค่อยยอมให้เจ็ดหญิงสาวเข้ามาลูบไล้ลูกนกไร้ขนหนังเหี่ยวพวกนี้

เมื่อได้เวลา ผู้อาวุโสหวี่หังก็หันไปมองบ้านไม้ชั่วขณะก่อนที่จะพาคนอื่นๆเหินร่างกลับไปยังตึกระฟ้าเพื่อรายงานเจ้าสำนัก และอนุบาลลูกนก

เมื่อถึงเวลาหงเซียวกับพวกก็ไปยังตึกระฟ้าเช่นเคยเพื่ออ่านหนังสือ

แต่คราวนี้ก่อนที่เขาจะทันได้ไปถึงชั้นคัมภีร์ ก็มีชายชราคนหนึ่งเรียกรั้งเขาเอาไว้

“พ่อหนุ่มข้างหน้านี่คงจะเป็นหงเซียว” เขากล่าว

หงเซียวหยุดชะงักก่อนกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสมีธุระอะไรกับข้ารึ”

“พวกเจ้าพอจะเข้าไปคุยกับข้าสักครู่ได้หรือไม่ เชิญ เชิญ เชิญทางนี้” ชายชราชักชวนให้หงเซียวเดินเข้าไปที่ชั้นสิบ

พวกเขาเดินตามชายชราเข้าไปจนหมด ในนั้นเป็นโต๊ะยาว มีเก้าอี้นับสิบตัว

ชายชราเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะพร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญให้นั่ง ซึ่งพวกเขาทั้งหมดต่างก็พากันนั่งลง มีเพียงจิวหูที่ลังเลจนหงเซียวต้องบอกใบ้ให้นั่งลง

“ข้าขอแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน ข้าคือเจ้าสำนักหมื่นอสูร จิวหวากัง”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด