ตอนที่แล้วChapter 7 : ฝึกฝน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 9 : ความช่วยเหลือ

Chapter 8 : การสูญเสีย


มาซาฮิโกะ กล่าวคำอำลา บูซึมะ , ฮาชิรามะ , มิโตะ และ โทบิรามะ จากนั้นเขาก็เดินทางกลับไปยัง หมู่บ้านของตระกูลอุซึมากิ โดยลำพัง

“แค่เป็นพยานในการตั้งชื่อให้กับ เทพอัสนีเวหา...ก็ได้แต้มเหมือนกันเหรอเนี่ย...ถ้าอย่างงั้นเราคงต้องจับตาดู โทบิรามะ ให้ดีสะแล้วสิ หรือบางทีเราควรทิ้งร่างแยกไว้ที่นี่เพื่อดูเขาดีนะ”

“แต่เราก็ไม่รู้ว่าการใช้ร่างแยกจะทำให้เราได้แต้มหรือเปล่า ใครจะไปรู้ บางทีระบบอาจมีข้อบกพร่องอะไรบางอย่างก็เป็นได้” มาซาฮิโกะ พึมพำกับตัวเองขณะที่เขาเดินไปตามถนน

เขาคิดไปต่าง ๆ นานาว่าจะมีเหตุการณ์อื่นอีกไหมที่จะทำให้เขาได้แต้มการเข้าร่วมก่อนที่จะถึงเวลาที่ โคโนฮะ ถูกก่อตั้งขึ้น

ถนนสายนี้สงบเป็นอย่างมาก และมันก็เงียบสงบมาก ลมเย็นพัดผ่านมาช้า ๆ และเนื่องจากเขาเดินทางคนเดียวจึงทำให้เขาเดินทางได้เร็วกว่าขาไป และตอนนี้เขาก็อยู่ห่างจาก หมู่บ้านของตระกูลอุซึมากิ แค่เพียง 5 ไมล์เท่านั้น

แต่จู่ ๆ เขาก็ต้องหยุดเดินทันทีเมื่อเขานึกบางอย่างขึ้นมาได้

ตอนนี้เขาอายุลดลงถึง 12 ปี! แล้วเขาจะบอกคนในตระกูลว่ายังไงดีละ?! ถ้าเขาโกหกไปว่ามันเป็นผลของการฝึกวิชาผนึก พวกผู้เฒ่าและผู้อาวุโส รวมถึงผู้นำตระกูลต้องหัวเราะเยาะเขาอย่างแน่นอน

“แย่ละสิ ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย! เราจะอธิบายเรื่องนี้กับพวกเขายังไงดีละเนี่ย? เราจะบอกพวกเขาว่าเราบังเอิญไปเจอผลลูกท้อที่กินแล้วจะเป็นอมตะดีไหม...ปัญญาอ่อน!...นี่มันโลก นารูโตะ นะ...ไม่ใช่การเดินทางไปชมพูทวีป หรือเราจะบอกความจริงพวกเขาว่าเราเป็นวัยรุ่นได้ 2 ครั้งดี?...”

หลังจากยืนคิดอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้

“โถ้เอ้ย ทำไมเราโง่อย่างงี้เนี่ย...คาถาแปลงร่าง ยังไงละ!” มาซาฮิโกะ เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเขาให้กลับเป็นเหมือนตอนที่เขายังอายุ 48 อยู่

“บางที วิชาพื้นฐาน LV 10 ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะเนี่ย แค่นี้เราก็กลับหมู่บ้านได้แล้ว”

***ผู้แปลขออนุญาตเปลี่ยนคำว่า ‘กระบวนท่าพื้นฐาน’ เป็นคำว่า ‘วิชาพื้นฐาน’ นะครับ***

เขาเดินไปจนเกือบถึงประตูหมู่บ้าน เมื่อยามเฝ้าประตูเห็นเขา พวกเขาก็มองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็ดินเข้าไปข้างในเพื่อแจ้งให้ผู้นำตระกูลทราบ

“อะไรกัน? ฉันอุส่ากลับมา แล้วนี้คือวิธีที่พวกเขาต้องรับฉันกลับมางั้นเหรอ ถ้าไปบอกผู้นำตระกูลแค่คนเดียวยังพอว่า นี่ไปกันหมดเลย” มาซาฮิโกะ พูดด้วยความสับสน  เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่เขาก็ไม่อยากคิดมากและเดินไปที่ประตู

แต่ก่อนที่เขาจะเดินไปถึงประตูหมู่บ้าน เขาก็ต้องหยุดเดินในทันที เมื่อ ผู้นำตระกูลอุซึมากิ เดินมาที่ประตูด้วยตัวเอง

“เฮ้ ท่านอยากรู้เรื่องลูกสาวขนาดที่เดินมาหาฉันด้วยตัวเองเลยเหรอ? เอาละ ฉันบอกให้ก็ได้ว่าเธอ...” แต่ก่อนที่ มาซาฮิโกะ จะพูดจบ เขาก็มองไปที่ใบหน้าของผู้นำตระกูลและสังเกตเห็นความเศร้าโศกบนใบหน้าของเขา จากนั้นผู้นำตระกูลก็ฝืนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นว่า

“ฮาคุโบะ ตายแล้ว”

“อะไรนะ?” มาซาฮิโกะ คิดว่าเขาคงจะได้ยินผิดไปและไม่เชื่อว่าสิ่งที่เขาได้ยินจะเป็นเรื่องจริง

“ฉันบอกว่า ฮาคุโบะ ตายไปแล้ว...” ผู้นำตระกูล พูดย้ำออกมาอีกครั้ง

คราวนี้ มาซาฮิโกะ ได้ยินอย่างชัดเจนเต็ม 2 หู และเขาก็รีบวิ่งไปยังห้องโถงกลางในทันที

เมื่อเขามาถึงห้องโถง เขาก็เห็นว่าพิธีศพของ ฮาคุโบะ ก็กำลังถูกจัดขึ้นอยู่ มาซาฮิโกะ มองไปที่ ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 และ 3 ก่อนที่จะถามพวกเขาออกมา

“ผู้อาวุโสลำดับที่ 1 อยู่ไหน? เขายังไม่...”

ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 มองมาที่เขาและพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสลำดับที่ 1 ไม่เป็นอะไรมาก เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและตอนนี้ก็ได้รับการรักษาแล้ว...เมื่อเรารู้ข่าว...เราก็รีบส่งคนออกไปช่วยทันที ถึงแม้ว่าเราจะนำตัวเขากลับมาได้ แต่มันก็สายเกินไป ฮาคุโบะ สิ้นใจไประหว่างทางกลับ…”

มาซาฮิโกะ ตรวจสอบร่างของ ฮาคุโบะ อย่างละเอียด บาดแผลที่ทำให้เขาถึงตายก็คือบาดแผลที่หน้าอกที่ถูกแทงด้วยของมีคมบางอย่างจนทะลุปอด

“แผลนี้…” มาซาฮิโกะ พึมพำออกมา

“ใช่แล้ว...นี่คือฝีมือของ ตระกูลคางูยะ”

มาซาฮิโกะ มองไปที่ใบหน้าไร้ชีวิตของ ฮาคุโบะ อีกครั้ง เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า ฮาคุโบะ เคยอาสาเข้าร่วมในขบวนอารักขา มิโตะ

มาซาฮิโกะ ถอนหายใจและพูดว่า “เป็การต่อสู้ที่น่ากลัวจริง ๆ!” จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินออกจากห้องโถงไป

ผู้นำตระกูลกำลังยืนรออยู่ในขณะที่ มาซาฮิโกะ ออกมาจากห้องโถง

เมื่อ มาซาฮิโกะ เห็นว่าผู้นำตระกูลยืนรอเขาอยู่ เขาก็เดินเข้าไปหาผู้นำตระกูล แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร ผู้นำตระกูลก็พูดออกมาก่อนว่า “เมื่อวานนี้ฉันได้รับรายงานเกี่ยวกับการทำกิจกรรมลึกลับบางอย่างทางตะวันออกของหมู่บ้านเรา ฮารุโบะ และทีมของเขา รับงานนี้และมุ่งหน้าไปตรวจสอบทันที”

“เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น พวกเขาก็สามารถระบุกลุ่มคนลึกลับที่อยู่ที่นั่นได้ พวกนั้นก็คือ ตระกูลคางูยะ”

“จากนั้นพวกเขาก็ถูกพวก ตระกูลคางูยะ เจอตัวเข้าและพวกเขาก็ถูกโจมตี...เพื่อปกป้องเพื่อนร่วมทีมของเขา ฮาคุโบะ จึงยอมสละชีวิตถ่วงเวลาให้ทีมของเขามีเวลาหนีไป...ฮาคุโบะ พุ่งเข้าไปต่อสู้กับ ผู้นำตระกูลคางูยะ...”

“หลังจากนั้นฉันว่าท่านคงเดาได้นะว่าเกิดอะไรขึ้น และทีมช่วยเหลือของเราก็ไปถึงหลังจากนั้น แม้ว่าผู้อาวุโสคนลำดับแรกจะได้รับบาดเจ็บแต่เขาก็สามารถเอาชนะ ผู้นำตระกูลคางูยะ มาได้...จากนั้นเราก็ช่วยเหลือ ฮาคุโบะ...แต่เขาก็เสียชีวิตระหว่างทาง” ผู้นำตระกูล เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ มาซาฮิโกะ ฟัง

“ฉันมี 2 คำถาม...ข้อแรก ทำไม ผู้นำตระกูลคางูยะ ถึงต้องทำร้ายตระกูลเรา? และข้อที่ 2 คำถามนี้อาจจะดูไรสาระนิดหน่อยเพราะตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในช่วงสงคราม แต่เรามีความบาดหมางอะไรกับ ตระกูลคางูยะ บ้างรึเปล่า? หรือสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะการแต่งงานของ มิโตะ?” มาซาฮิโกะ ถาม

“ไม่นะ ฉันสงสัยว่าน่าจะเป็นเพราะ หญ้ากระดูกน้ำแข็ง” ผู้นำตระกูล ตอบ

“อือ เข้าใจแล้ว” มาซาฮิโกะ ตอบอย่างแผ่วเบา

“และตอนนี้เราก็ต้องให้พวกมันชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำ เราจะเตรียมทำสงคราม...” ผู้นำตระกูล พูดด้วยน้ำเสียจริงจัง

“ฉันรู้แล้ว” มาซาฮิโกะ ตอบ ผู้นำตระกูล จากนั้นเขาก็หันซ้ายและเดินจากไป

หญ้ากระดูกน้ำแข็ง เป็นสมุนไพรสีฟ้าอ่อนที่หาได้ยากมาก มันสามารถระงับโรคทางพันธุกรรมของ ตระกูลคางูยะ ได้ มาซาฮิโกะ รู้ดีว่าสมุนไพรนี้หายากมากและมันก็กำลังใกล้จะสูญพันธุ์ไปในไม่ช้า

นั้นทำให้จำนวนสมาชิกของ ตระกูลคางูยะ ลดลงเป็นอย่างมาก เพราะไม่มียารักษาโรคทางพันธุกรรมของพวกเขา พวกเขาเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอยู่มาตั่งแต่ยุคก่อนสงคราม และมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับ ตระกูลเซนจู และ ตระกูลอุจิฮะ

หากไม่ใช่เพราะโรคของพวกเขาและหญ้ากระดูกน้ำแข็งที่หาได้ยากขึ้นทุกวัน ๆ ตระกูลคางูยะ ก็อาจจะเข้ารวมทำสงครามกับ ตระกูลเซนจู และ ตระกูลอุจิฮะ แล้วก็เป็นได้

“เมื่อเป็นแบบนี้ แน่นอนว่าเมื่อพวกเขาเจอ หญ้ากระดูกน้ำแข็ง ที่อยู่ในเขตของตระกูลเรา ผู้นำตระกูลคางูนะ จะตัดสินใจนำทีมลอบเข้ามาเพื่อเก็บสมุนไพรเหล่านั้นแน่นอน” มาซาฮิโกะ คิดกับตัวเอง

“แต่ ฮาคุโบะ ก็ต้องมาตายเพราะเรื่องแบบนี้ ดังนั้นสงครามจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้วสินะ…” เขาบ่นตลอดทางจนเดินกลับมาถึงบ้านของเขา

“ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เราได้ออกไปผจญภัยนอกหมู่บ้าน แล้วพอเรากลับมา เราก็ได้รับการต้อนรับด้วยข่าวร้าย...เฮ้อ...เหนื่อยกายแล้วยังต้องเหนื่อยใจอีก” มาซาฮิโกะ พึมพำกับตัวเอง

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของ มาซาฮิโกะ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกซ้อม คาถานินจา แต่สถานะของเขาก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น โจนิน (ขั้นสูง) ซึ่งนั้นทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

“ตอนนี้เรายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะจัดการกับ ตระกูลคางูยะ ได้ ไหนจะเรื่องที่เราต้องไปช่วย ตระกูลเซนจู สู้กับ ตระกูลอุจิฮะ อีกละ...” มาซาฮิโกะ คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อเขาเริ่มนั่งสมาธิ

เขาพยายามหาวิธีที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เพราะสิ่งเดียวที่จะนำความยุติธรรมและความสงบสุขมาสู่โลกนี้ก็คือพลัง

มาซาฮิโกะ ได้รับแต้มการเข้าร่วมมา 5 แต้ม จากการเป็นพยานในการตั้งชื่อให้กับ เทพอัสนีเวหา ของ โทบิรามะ และเขาก็มีแต้มการเข้าร่วมเหลืออยู่ 1 แต้มจากก่อนหน้านี้ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมีแต้มการเข้าร่วมทั้งหมด 6 แต้ม เขากำลังคิดว่าเขาจะใช้แต้มเหล่านี้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขาโดยการเพิ่มค่าสถานะอะไรดี

เมื่อคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจใช้ 1 แต้มในการเพิ่มค่าจักระ

จักระ : 1004 (+1) (+)

“ทำไมไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยละ?” มาซาฮิโกะ ไม่รูสึกแตกต่างไปจากเดิมเลย ดังนั้นเขาจึงเพิ่มมันไปอีกครั้งหนึ่ง

คราวนี้เขารู้สึกได้ถึงความแตกต่างที่ชัดเจน เขารู้สึกได้ว่าจักระของเขาแข็งแกร่งขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คาถานินจา ของเขาในตอนนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าก่อนหน้านี้

มาซาฮิโกะ รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงกดเพิ่มค่าจักระไปจนหมด

จักระ : 1004 (+5.5)

“เอ๊ะ หลังจาก + 5 แล้ว การเพิ่มค่าครั้งถัดไปจะขึ้นแค่ 0.5 เหรอ? แล้วมันจะคุ้มไหมเนี่ย” มาซาฮิโกะ คิดขณะที่มองไปที่แถบสถานะของเขา

หลังจากที่เขาใช้แต้มการเข้าร่วมจนหมดแล้ว เขาก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เพราะความรุนแรงของ คาถานินจา ของเขาเพิ่มขึ้นถึง 50%

ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาพอจะมีโอกาสชนะในการต่อสู้กับ ตระกูลคางูยะ ได้แล้ว

“เป็นการตัดสินใจที่ดี คราวนี้แหละ ทุกคนจะได้ยอมรับว่าฉันเป็น อุซึมากิ ที่แท้จริงเสียที”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด