ตอนที่แล้วตอนที่ 36 : โบยบิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 38 : เคล็ดวิชาแลกยา

ตอนที่ 37 : คำขอร้องจากอู่เฉิน


ตอนที่ 37 : คำขอร้องจากอู่เฉิน

การกระทำของจางหยูในตอนนี้ คล้ายกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลขนาดเล็กเครื่องหนึ่ง ที่ถูกบังคับให้จ่ายกระแสไฟฟ้าทั่วทั้งเมือง การที่เขาตกลงมาแล้วไม่เป็นอะไรเลย ก็ถือว่าโชคดีแล้ว

จางหยูส่ายหน้า ก่อนจะนั่งขัดสมาธิและรีบฟื้นฟูพลังปราณลึกลับในตัว

ผ่านไปสักพัก ลมปราณในตัวก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม จางหยูก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เขาลุกขึ้นและเริ่มฝึก "เงาเวหา"ต่ออีกรอบ แต่ครั้งนี้ เขาระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม ทุกครั้งเขาไม่รอให้ปราณในตัวหมดลงก่อน แต่จะหยุดอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อรอให้ปราณฟื้นฟูกลับคืนมา แล้วค่อยฝึก"เงาเวหา"ต่อ เขาทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ไม่นาน จางหยูก็เริ่มใช้ "เงาเวหา"ได้อย่างคล่องแคล่ว

แม้ว่าพรสวรรค์ในการเรียนรู้ของเขาจะมีแค่ 3 ดาวขั้นต้น แต่ "เงาเวหา"นี้ คือเคล็ดวิชาที่เขาปรับปรุงขึ้นมาด้วยตัวเอง รายละเอียดทุกอย่างของมัน จางหยูจึงเข้าใจมากกว่าใคร ดังนั้นเมื่อเขาเริ่มฝึกฝน ความก้าวหน้าในเคล็ดวิชาจึงพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

หลังจากฝึก"เงาเวหา" ความเข้าใจในเคล็ดวิชานี้จึงเพิ่มขึ้น

พูดง่ายๆคือ เคล็ดวิชา "เงาเวหา"นี้ เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาที่ซับซ้อนชนิดหนึ่ง โครงสร้างของมันแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือ "เวหา" อีกส่วนก็คือ "เงา" ทั้งสองส่วนคือเคล็ดวิชาที่แตกต่างกัน แต่เมื่อนำมารวมกัน ก็สามารถสร้างเคล็ดวิชา "เงาเวหา" ที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้

แค่เคล็ดวิชา"เงา" หรือ"เวหา"เพียงอย่างเดียว ก็กินพลังปราณลึกลับของจางหยูไปมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอยู่ในขอบข่ายที่จางหยูรับได้

"แม้ว่าจะแยก"เงาเวหา"ออกเป็นสองส่วน แต่ไม่ว่าจะเคล็ดวิชา"เงา" หรือเคล็ดวิชา"เวหา" แต่ละส่วนก็สร้างผลลัพธ์ที่น่าเกรงขามออกมาได้อยู่ดี เกรงว่าพลังของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชาระดับราชาแน่" จางหยูยิ้มออกมา เขารู้สึกพอใจกับเคล็ดวิชาที่เขาทุ่มเทเป็นอาทิตย์มาก "การต่อสู้ในอนาคต ข้าจะไม่แสดง"เงาเวหา"ออกมา แต่จะใช้แค่ "เงา" หรือ"เวหา" อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพียงแค่อย่างเดียวก็เพียงพอสำหรับการต่อสู้ที่จะถึงนี้แล้ว!"

หลังจากที่ชั่งใจอยู่สักพัก จางหยูก็พึมพำขึ้นมาว่า "ต่อจากนี้ข้าจะแบ่งเคล็ดวิชา "เงาเวหา" ออกเป็นสองส่วน ด้วยวิธีนี้จะทำให้ข้ามีไพ่ตายเพิ่มขึ้น"

ปกติแล้ว "เงา" และ "เวหา" ก็เป็นเคล็ดวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกัน

แต่เมื่อถึงยามจำเป็น มันก็สามารถรวมกันและกลายเป็นเคล็ดวิชา "เงาเวหา"ได้ เชื่อเลยว่าไม่มีใครสามารถป้องกันมันได้อย่างแน่นอน

ผ่านไปไม่นาน แสงในป่าก็เริ่มมืดสลัว จางหยูเงยหน้ามองสีของท้องฟ้า ก่อนจะเดินกลับไปที่บ้านพักของตนอย่างช้าๆ

ก่อนจะได้เดินเข้าห้อง จางหยูก็ได้ยินเสียงตะโกนลอยมาจากทางด้านหลัง " เจ้าสำนัก!"

เมื่อหันไปมอง ก็เห็นอู่เฉินกำลังทำตัวลับๆล่อๆอยู่ข้างป่า ราวกับว่ากลัวโดนคนอื่นเห็น

" อู่เฉิน ทำไมเจ้า....อ่ะ หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา ?" จางหยูกำลังจะถามอู่เฉินว่ามีอะไร แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ เขาก็สังเกตเห็นรอยหมัดที่ใบหน้าของอู่เฉินเข้า ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา และถามด้วยสีหน้าขึงขังว่า "หรือว่าเจ้าโดนชายลึกลับคนนั้นทำร้ายมา?"

เมื่อได้ยินแบบนั้น อู่เฉินก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา แล้วรีบโบกมือ " ไม่ใช่ๆ เจ้าสำนักท่านเข้าใจผิดแล้ว"

"ไม่ใช่ฝีมือเขารึ ? แล้วใครทำร้ายเจ้า ?" จางหยูรู้สึกสับสนเล็กน้อย

ในฐานะอดีตนักสู้อันดับหนึ่งของเมืองทะเลทราย ยังจะมีใครในเมืองนี้ที่สามารถทำร้ายอู่เฉินได้ นอกจากเขาและชายลึกลับคนนั้นแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถทำร้ายอู่เฉินได้อีก?

อู่เฉินแสดงสีหน้าหดหู่ออกมา เขาลังเลอยู่นานก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า "เป็นอู่โม่...."

ตอนที่พูดชื่ออู่โม่ อู่เฉินแทบอยากจะเอาหน้ามุดลงดิน

น่าขายหน้าเกินไปแล้ว !

เขาโดนลูกชายของตัวเองอัดมา!

ถ้าหากเรื่องนี้รั่วไหลออกไป เกรงว่าคงถูกคนอื่นหัวเราะเยาะจนฟันหักแน่!

"หา!...." จางหยูมองอู่เฉินอย่างตกตะลึง จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ "เป็นอู่โม่ที่อัดเจ้ารึ ?"

แม้เขาจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้สงสัยในคำพูดของอู่เฉิน เพราะเขารู้ว่าตั้งแต่ที่อู่โม่เรียนรู้เรื่องการปรุงยา การบ่มเพาะของเขาก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าพรสวรรค์ของอู่ซินซินจะดีกว่าอู่โม่ แต่ความเร็วในการบ่มเพาะกลับเทียบอู่โม่ไม่ได้ ระดับการบ่มเพาะของอู่โม่ในปัจจุบัน น่าจะอยู่ที่ขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 7 ชั้นกลาง หรือไม่ก็ชั้นปลาย

เพราะมีแค่ขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 7 ชั้นกลางหรือชั้นปลายเท่านั้น ที่สามารถจัดการกับอู่เฉินได้

เพียงแค่ 10 วัน ก็สามารถทะลวงจากขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 5 สูงสุด ขึ้นมาที่ขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 7 ชั้นกลางได้ ถึงจะฟังดูโม้เกินไปหน่อย แต่ตราบใดที่บ่มเพาะ "ทักษะจี๋อู่" บวกกับทานยาฉีซวนเป็นว่าเล่นแบบอู่โม่ สิ่งที่ดูเหมือนโม้เกินไปก็กลายเป็นความจริงได้

เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของอู่เฉิน จางหยูก็หยุดหัวเราะ และพยายามกลั้นรอยยิ้มไว้ จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า "จริงสิ แล้วเจ้ามาหาข้าทำไม?"

อู่เฉินรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เป็นเพราะอาย

ทว่าเพื่อที่จะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เขาจึงต้องกัดฟันข่มความอาย แล้วพูดกับจางหยูอย่างระมัดระวังว่า "เจ้าสำนัก ข้ามีเรื่องจะขอร้องท่าน ข้าหวังว่าท่านจะตอบตกลง !"

"เจ้าพูดมาก่อน แล้วข้าจะตัดสินใจว่าจะตกลงหรือไม่" จางหยูมองไปที่อู่เฉิน

อย่างไรก็ตามอู่เฉินเคยเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมือง และยังเคยช่วยชีวิตจางหยูเอาไว้ ตราบใดที่คำขอร้องไม่เกินไปนัก จางหยูก็ไม่คิดปฏิเสธ

เมื่อได้ยินแบบนั้น อู่เฉินก็ถอนหายใจออกมา ถึงจะไม่ตอบตกลง แต่ก็ไม่โดนปฏิเสธทันที

เขาแอบมองไปรอบๆ หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ เขาจึงโค้งตัวลง แล้วขอร้องจางหยูอย่างสุภาพว่า "เจ้าสำนัก ข้าต้องการซื้อยาฉีซวน 10 เม็ดจากท่าน!" ตามความคิดของเขา เนื่องจากอู่โม่มียาฉีซวนเป็นจำนวนมาก และยังกินมันประหนึ่งเป็นของทานเล่น ทำให้การบ่มเพาะของเขาพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นตราบใดที่เขาขอซื้อยาฉีซวนจากจางหยู การบ่มเพาะของเขาก็จะต้องรุดหน้ามากขึ้น และทวงคืนศักดิ์ศรีของผู้นำตระกูลและบิดากลับคืนมาได้

"เจ้าอยากได้ยาฉีซวนงั้นรึ ?" จางหยูแปลกใจเล็กน้อย

แน่นอนว่าเขาพอจะเดาความคิดของอู่เฉินออก แต่ในความคิดของเขานั้น ต่อให้อู่เฉินกินยาฉีซวนในปริมาณที่เท่ากับอู่โม่ แต่ความเร็วในการบ่มเพาะของเขานั้น ก็ไม่อาจพัฒนาได้เร็วเท่าอู่โม่

อย่างไรเสีย พรสวรรค์ทางกายภาพของอู่โม่ก็อยู่ที่ระดับ 2 ดาวขั้นต่ำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งมาก

เมื่อเทียบกันแล้ว พรสวรรค์ทางกายภาพของอู่เฉินนั้น กลับแย่กว่ามาก นอกเสียจากว่าเขาจะเพิ่มเวลาในการบ่มเพาะให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตามอู่โม่ทัน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะเหนือกว่าอู่โม่ด้วย

อู่เฉินพยักหน้าและขอร้องด้วยท่าทางน่าสงสาร " เจ้าสำนัก ท่านต้องช่วยข้า! ไม่ว่าต้องใช้เงินมากแค่ไหน ขอแค่ท่านเอ่ยปากมา ข้าก็รับปากว่าจะหามาให้ !" การเป็นพ่อไม่ง่ายเลย ไม่ใช่แค่ต้องรักษาตำแหน่งผู้นำตระกูล แต่ยังต้องมีระดับการบ่มเพาะที่เหนือกว่าทุกคน หาไม่แล้ว ใครจะเชื่อฟังคำสั่งกัน?

ถ้าเดือนที่แล้ว มีคนมาบอกเขาว่า อู่โม่บ่มเพาะพลังอีกแค่เดือนเดียว ก็สามารถเอาชนะเขาได้ เขาคงมองคนที่มาบอกว่าเป็นบ้า

แต่ตอนนี้ เขายอมรับแล้วว่าเขาด้อยกว่าลูกชายของตัวเอง

จางหยูมองอู่เฉินด้วยสีหน้าประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า "แต่....บุตรชายของเจ้าก็เป็นนักปรุงยาเหมือนกัน หากเจ้าต้องการยาฉีซวนจริงๆ ทำไมไม่ไปถามเขา แทนที่จะมาขอซื้อกับข้าล่ะ นี่มันสมเหตุสมผลตรงไหนกัน?"

"เจ้าสำนักท่านไม่รู้เลยรึ ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นปีกกล้าขาแข็งขึ้นแล้ว แล้วแบบนี้จะให้ข้าไปขอเขาได้ยังไง?" อู่เฉินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น พลางถอนหายใจยาว "อย่างน้อยๆ ก็ให้ข้าได้รักษาศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่อย่างสุดท้ายด้วยเถอะ..."

จางหยูส่ายหน้าอย่างจนใจ "เจ้านี่นะ เสียเท่าไหร่ไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้!"

แต่เมื่อเห็นสภาพที่น่าสงสารของอู่เฉิน จางหยูก็ลอบถอนหายใจออกมา แล้วพยักหน้า "ก็ได้ ข้ายังมียาเหลืออยู่อีกเยอะ หากเจ้าต้องการมัน ข้าจะยกให้ก็ได้" เขาล้วงถุงผ้าออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเทใส่มือของอู่เฉินราวกับเทถั่วฝัก "มากขนาดนี้ น่าจะพอให้เจ้ากินเล่นได้สักพัก" จางหยูไม่ได้นับ แต่มันก็ไม่น่าจะน้อยไปกว่า 30 เม็ด

" เท่าไหร่หรือขอรับ?" อู่เฉินลังเลและถามขึ้นมาเบาๆ

"เท่าไหร่?" จางหยูกวาดสายตามองอู่เฉินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ "เงินน่ะไม่จำเป็นหรอก ถือซะว่าเป็นการตอบแทนที่เจ้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้แล้วกัน"

อู่เฉินกลืนน้ำลายลงคออย่างตะลึง ก่อนจะถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า " ทะ...ทั้งหมดนี่เลยรึ?"

อู่เฉินรู้สึกราวกับว่าสิ่งที่เขากำลังถืออยู่นั้นไม่ใช่ยาฉีซวนกองเล็กๆ แต่เป็นภูเขาลูกใหญ่ต่างหาก

"จะเอาไหมล่ะ? หากเจ้าต้องการจะให้เงินจริงๆ คิดว่าตระกูลของเจ้าจะจ่ายได้เท่าไหร่กันเชียว?" จางหยูย้อมถามกลับ จากนั้นก็ตบไหล่ของอู่เฉินเบาๆ "ไม่เป็นไรหรอก ตั้งใจบ่มเพาะพลังให้ดี อู่โม่น่ะ มีพรสวรรค์ที่ดี หากเจ้าไม่อยากโดนเขาทิ้งห่าง ทางที่ดีควรมอบกิจการของตระกูลให้คนอื่นดูแล และทุ่มเทกับการบ่มเพาะซะ ไม่อย่างนั้น อย่าว่าแต่จะตามอู่โม่ให้ทันเลย เผลอๆอาจจะถูกอู่ซินซินแซงเอาก็ได้..."

ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีไปกว่าจางหยู พรสวรรค์ของอู่ซินซินนั้นดีกว่าของอู่โม่เสียอีก

เมื่อถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่จะตามอู่โม่ให้ทันเลย ไม่นานก็จะถูกอู่ซินซินแซงหน้าอีกด้วย!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จางหยูก็รู้สึกสงสารอู่เฉินขึ้นมา พ่อลูกตระกูลอู่เข้าร่วมสำนักคังเฉียงต่างกันไม่ถึงวัน แต่อู่เฉินผู้เป็นพ่อกลับย่ำแย่ที่สุด แค่เพียงเดือนเดียวเขาก็ถูกทิ้งห่างซะแล้ว

จางหยูตบไหล่อู่เฉินเบาๆ จนทำให้ยาในมือเกือบจะตกลงพื้น หลังจากนั้นสักพัก อู่เฉินก็ใจเย็นลง "วางใจเถอะเจ้าสำนัก ข้าก็เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ตอนนี้กำลังหาคนที่เหมาะสมอยู่ คิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็จะปลีกตัวออกจากกิจการของตระกูล และมุ่งมั่นกับการบ่มเพาะเพียงอย่างเดียวได้"

จางหยูชมทันที " ฉลาดมาก"

"ถ้าอย่างนั้น....เจ้าสำนัก ข้าขอตัวก่อน" อู่เฉินพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง "ข้าแอบพวกอู่โม่มาท่าน หากพวกนั้นมาเจอข้าเข้า มันคงจะดูไม่ดีเท่าไหร่"

เมื่อได้ยินแบบนั้น จางหยูก็กรอกตา แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา "ได้ งั้นเจ้าก็รีบไปซะเถอะ อย่ามารบกวนข้า หากไม่มีเรื่องด่วน"

หลังจากที่ไล่อู่เฉินกลับไป จางหยูก็มองไปที่ถุงผ้า ซึ่งหดลงจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด แล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นก็เดินไปทางห้องเรียนตามลำพัง เพื่อไปหลอมยาเพิ่ม

ระหว่างทางนั้น จางหยูก็พูดกับตัวเองว่า "ข้ากินยาฉีซวนมานานแล้ว คงถึงเวลาลองทำยาชนิดอื่นขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ว่ารสชาติของพวกมันจะเป็นยังไง"

สำหรับสายกินแล้ว แน่นอนว่าเรื่องรสชาติของอาหารต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด