ตอนที่แล้วตอนที่ 34 แปดอันดับแห่งสำนักชิงหลัว (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 36 คำถามปลิดชีพ...

ตอนที่ 35 ความจริงถูกเปิดเผย!


เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหลินหลี ผู้ที่ขยับตัวเป็นคนแรกหาใช่ป๋ายเสี่ยวเฟย เฟ่ยโก่วหรือฉู่กานไม่ หากแต่เป็นเสี่ยวเอ้อที่กำลังซ่อนตัวอยู่ข้างหลังป๋ายเสี่ยวเฟย

เสี่ยวเอ้อกระโดดโลดเต้นไปมาชั่วครู่ก่อนจะกระโดดขึ้นไปยังเตียงที่หลินหลีนอนอยู่ มันเห่าอย่างมีความสุขพลางส่ายหางไปมา

ในอีกด้าน เฟ่ยโก่วและฉู่กานทีตกตะลึงพรึงเพริดมองไปยังสุนัขบนเตียงก่อนจะหันไปหาป๋ายเสี่ยวเฟยที่มีสีหน้าตกตะลึงไม่แพ้กัน พวกเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงลำคอ

“สุนัขฮัสกี้...?”

“ป๋ายเสี่ยวเฟย?”

ทั้งคู่ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ ในขณะที่ป๋ายเสี่ยวเฟยกำลังจะพูดแก้ตัวก็เป็นศิษย์พี่หญิงของศาลายาที่ผลักประตูเข้ามา ในมือของนางถือน้ำซุปยาอยู่ด้วย

“ศิษย์พี่หญิง ต้องลำบากท่านแล้ว ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเถิด”

ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะเดินไปรับยาก่อนจะรีบเดินกลับมาข้างกายหลินหลี เขาราวกับได้ลืมเลือนคำถามของเฟ่ยโก่วและฉู่กานไปเป็นที่เรียบร้อย

“ศิษย์พี่หญิงจากศาลายาบอกไว้ว่าเจ้าจะหายดีในไม่ช้าหลังกินยา เพราะฉะนั้นห้ามบ่นเรื่องยาขม”

หลังจากพยุงหลินหลีขึ้น ป๋ายเสี่ยวเฟยยกน้ำซุปยาก่อนจะเป่าช้อนที่มีน้ำซุปยาสีแดงอย่างแผ่วเบาแล้วจึงเคลื่อนมือไปยังปากของหลินหลี

แต่หลินหลีไม่ได้อ้าปากขึ้นในทันที นางเพียงจ้องไปที่ป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาใหญ่โตของนางรื้นน้ำตาขึ้นราวกับจะรินไหลได้ทุกเมื่อ

“มีอันใด? รีบกินยาเข้า มันเย็นแล้วเนี่ย”

ป๋ายเสี่ยวเฟยประหลาดใจเล็กน้อยเพราะการตอบสนองของหลินหลีเหนือความเข้าใจของเขาไปมาก

“ขอบคุณ...”

หลินหลีพยายามอย่างหนักเพื่อเค้นรอยยิ้มอ่อนจางบนใบหน้าแข็งทื่อ แต่ถึงอย่างนั้นป๋ายเสี่ยวเฟยก็ราวกับได้เห็นบุปผานับร้อยเบ่งบานในทันใด

“มีอันใดให้ขอบคุณ? หากเจ้าชอบ ข้าจะป้อนเจ้าเมื่อใดที่ก็ตามที่เจ้าอยาก”

ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยก่อนจะตบหน้าตัวเอง

“ปากไร้มงคล ปากไร้มงคล! เจ้าจะต้องแข็งแรงและไม่ต้องกินยาพวกนี้อีก อย่ากังวล”

หลินหลีอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทางน่าขันของป๋ายเสี่ยวเฟย แต่ครั้งนี้เป็นรอยยิ้มที่แจ่มใสกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย

ป๋ายเสี่ยวเฟยป้อน หลินหลีกิน นางไม่เพียงไม่บ่นว่ายาขมแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับเผยรอยยิ้มที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่อาจทำความเข้าใจได้ตลอดเวลา

ในอีกด้าน เฟ่ยโก่วและฉู่กานตั้งใจจะสอบสวนป๋ายเสี่ยวเฟยเกี่ยวกับตัวตนของเขา แต่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากเช่นใดดีเมื่ออยู่ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้

ท้ายที่สุดพวกเขาไม่อาจอดทนต่อความทรมานนี้ได้อีก พวกเขาเดินออกจากห้องไป

“หมาอ้วน ศิษย์น้องคนนั้นเรียกเขาว่าป๋ายเสี่ยวเฟยมิผิดใช่หรือไม่?”

ฉู่กานอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความตื่นเต้นมีให้เห็นทั่วใบหน้า

สั่งสอนป๋ายเสี่ยวเฟยหนึ่งคราได้รางวัลหินชิงหลัวห้าก้อน สิบคราเท่ากับห้าสิบก้อน ต่อให้แบ่งครึ่งก็ยังเป็นจำนวนที่มากสำหรับพวกเขาอยู่ดี

“แน่นอน! เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขาจงใจบ่ายเบี่ยงหลบหน้าพวกเรา!?”

นัยน์ตาของเฟ่ยโก่วเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาได้เริ่มคิดว่าจะจัดการป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างไรดี

“แต่หากเขามีความสัมพันธ์กับฉินหลิงหยานขึ้นมาจริงๆ ...”

ฉู่กานยังคงเป็นกังวลอยู่ลึกๆ เขาไม่เกรงกลัวป๋ายเสี่ยวเฟยแม้แต่น้อย แต่กับฉินหลิงหยานนั้นเป็นอีกเรื่อง

“เจ้าหวาดกลัวอันใด? ถึงแม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันจริง สิ่งที่พวกเราเห็นเมื่อครู่ก็เพียงพอให้พวกเขาต้องแยกทางกันแล้ว บางทีรางวัลของพวกเราอาจจะมากกว่าเดิมก็เป็นได้!”

เฟ่ยโก่วรีบโน้มน้าวฉู่กานด้วยข้อเท็จจริงทันที

และทั้งคู่ก็ได้รออย่างใจจดใจจ่อให้เหยื่อของพวกเขามาติดกับ...

เวลาผ่านไปอย่างแช่มช้า ฉู่กานแนบหูฟังอยู่นานแต่กลับไม่ได้ยินเสียงอันใดแม้แต่น้อย และป๋ายเสี่ยวเฟยกับหลินหลีไม่มีทีท่าว่าจะออกมา

“เป็นเช่นใด?”

เฟ่ยโก่วถามเสียงแผ่วเบาราวกับกลัวว่าป๋ายเสี่ยวเฟยจะรู้ตัว

“ไม่มีเสียง! พวกเขาหลับไปแล้วหรือไม่?”

เมื่อฉู่กานเอ่ยจบก็เป็นเฟ่ยโก่วที่ตบศีรษะเขาพลางมองฉู่กานราวกับเป็นไอ้หน้าโง่ตัวหนึ่ง

“หลับมารดาเจ้าสิ! เจ้าคิดว่าทุกคนโง่เขลาเหมือนเจ้าหรือไร!? เข้าไป!”

เฟ่ยโก่วผลักประตูเข้าไปขณะที่เขาตะโกนลั่น แต่ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น

ทั้งห้องว่างเปล่าไร้ร่องรอยผู้คนตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ หน้าต่างบานหนึ่งภายในห้องปลิวขึ้นลงจากลมหนาวเหน็บ

“บัดซบ! เจ้าเด็กนั่นจงใจ! พวกเราโดนหลอก!”

ฉู่กานร้องเสียงหลง เขาเป็นพวกประเภทที่จะฉลาดขึ้นเมื่อมีสิ่งใดเกิดกับตัวและ ‘สิ่งที่เขาเตรียม’ ก็ได้กลายเป็นไร้ประโยชน์ด้วยเหตุนี้...

“ตามไป! พวกเขายังไปได้ไม่ไกลนัก!”

เฟ่ยโก่วส่งสัญญาณด้วยมือขณะกล่าว ฉับพลันนั้นหุ่นเชิดรูปร่างคล้ายหนูผุดขึ้นมาจากแสงสีน้ำเงินอ่อนทรงกลม มันดมกลิ่นภายในห้องเพียงชั่วครู่ก่อนจะกระโดดออกไปทางหน้าต่าง

มิติหุ่นเชิดเป็นมิติพิเศษที่นักเชิดหุ่นคนใดก็ตามที่ถึงระดับสูงสามารถเปิดออกด้วยปราณกำเนิดของพวกเขา

หุ่นเชิดหนูของเฟ่ยโก่วเดิมทีมีไว้เพื่อตรวจหาทรัพยากรสำหรับปรุงยา แต่มันก็มีประสิทธิภาพในการตามหาคนเช่นกัน

ทั้งคู่วิ่งไล่ตามหลังหุ่นเชิดหนูด้วยความเร็วที่ขัดกับร่างกายตัวเอง อย่างน้อยทั้งป๋ายเสี่ยวเฟยและหลินหลีก็อ่อนด้อยกว่ามันแน่นอน

ในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที พวกเขาสามารถมองเห็นป๋ายเสี่ยวเฟยและหลินหลีวิ่งอยู่ข้างหน้า

“หยุดก่อนป๋ายเสี่ยวเฟย! พวกเราไม่มีเจตนาร้าย!”

หลังจากตะโกนสิ่งที่เขาเองก็ไม่เชื่อ ฉู่กานเรียกขานหุ่นเชิดของเขา ศรโปร่งแสง

ส่วนใหญ่แล้วหุ่นเชิดตัวแรกของนักปรุงโอสถจะเป็นกระถางยาเพราะหุ่นเชิดที่เชื่อมโยงต่อจิตใจของนักเชิดหุ่นส่งผลต่ออัตราสำเร็จในการปรุงยา สำหรับหุ่นเชิดตัวต่อๆ ไป นักปรุงโอสถจะเลือกหุ่นเชิดประเภทต่อสู้เพื่อปกป้องตนเอง

ฉู่กานเป็นนักปรุงโอสถทั่วไปที่ปฏิบัติตามความเชื่อของคนส่วนมาก และศรโปร่งแสงเป็นอาวุธที่ช่วยปกป้องชีวิตของเขา หุ่นเชิดระดับเหลือง ศรตัดวายุ!

“อย่าโจมตีโดนจุดสำคัญ พวกเราไม่อาจรับผิดชอบไหวหากเขาตาย”

เฟ่ยโก่วตักเตือนฉู่กาน

“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้โง่”

ฉู่กานกล่าวพลางส่งปราณกำเนิดเข้าไปยังศรตัดวายุ ไม่นานหลังจากนั้นศรโปร่งแสงพุ่งตรงไปยังเข่าของป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างรวดเร็วรุนแรง

แต่ในวินาทีที่ทั้งสองคิดว่าศรนั้นจะต้องจู่โจมสำเร็จก็พลันมีร่างหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้า แสงสีม่วงอ่อนหยุดยั้งศรวายุด้วยความแม่นยำ

“ประเสริฐยิ่งนัก! ดูเหมือนว่าข้าจะอบรมพวกเจ้าทั้งสองไม่เพียงพอ!”

ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสวี่ยอิ่งในชุดคลุมสีขาวของอาจารย์!

และแสงสีม่วงอ่อนที่หยุดยั้งศรวายุคือหนึ่งในหุ่นเชิดรูปร่างมีดของเสวี่ยอิ่ง หุ่นเชิดระดับม่วง ฝูเหยา! (ลมกรด)

เมื่อพวกเขาเห็นหน้าของผู้มาเยือน ทั้งคู่รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บตรงสันหลังทันที ความคิดเดียวของพวกเขาคือการหลบหนี

แต่การหลบหนีจากเสวี่ยอิ่ง นักเชิดหุ่นระดับปรมาจารย์นั้นพูดง่ายทำยาก!

เสวี่ยอิ่งกำหมัดเล็กน้อยขณะเดินเนิบนาบไปทางฉู่กานและเฟ่ยโก่ว ทั้งคู่ตัวสั่นเทิ้มจากหัวจรดเท้าและเสียงที่เสวี่ยอิ่งหักกำปั้นทำพวกเขาหวาดกลัวถึงขั้นนั่งตัวยองมือกุมศีรษะอ้อนวอนเมตตา

“อาจารย์ ไว้ชีวิตข้าด้วย!”

“อาจารย์ ไว้ชีวิตข้าด้วย!”

“เป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น! พวกเราและน้องป๋าย...”

เฟ่ยโก่วไม่ทันเอ่ยจบก็พลันถูกวายุบ้าระห่ำจู่โจมเข้าที่ใบหน้า ในวินาทีต่อมาเสวี่ยอิ่งกวาดขาถีบเฟ่ยโก่วส่งเขากระเด็นไปไกลเกือบห้าเมตร

“ข้าได้ยินไม่ชัดนัก เจ้าเรียกข้าว่ากระไร?”

เสวี่ยอิ่งเอ่ยเสียงเย็นเยียบขณะมองไปยังฉู่กานที่ยังนิ่งยองอยู่บนพื้นก่อนจะเหยียบลงไปบนตัวเขาจนกระทั่งฉู่กานนอนราบพื้นดิน เป็นเวลาเดียวกับที่เสวี่ยอิ่งลืมว่ามีกฎห้ามอาจารย์ทำร้ายลูกศิษย์!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด