ตอนที่ 31 ความโกงของหลินหลี
ปัง!
เสียงปะทะดังไปทั่วบริเวณ หลินหลีและเสวี่ยอิ่งแยกออกจากกันทันที ทั้งสองถอยไปข้างหลัง ที่น่าแปลกใจคือเสวี่ยอิ่งกลับต้องถอยมากกว่าหลินหลีหลายก้าว
ซึ่งหมายความว่าเสวี่ยอิ่งเป็นฝ่ายแพ้ในการปะทะครั้งนี้!
ฉากตรงหน้าทำทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดไม่เว้นแม้แต่ตัวเสวี่ยอิ่งเอง
แต่ต่างจากพวกป๋ายเสี่ยวเฟยที่กำลังมองการต่อสู้ เสวี่ยอิ่งตกใจเพราะท่วงที่ที่คล้ายคลึงกับของนาง!
หลินหลีหยุดเคลื่อนไหวก่อนจะพูดคำขาดๆ หายๆ
“พี่หญิงเสวี่ย...ปราณกำเนิด...ของท่าน!”
คนอื่นไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูดแต่เสวี่ยอิ่งเข้าใจ
หลินหลีต้องการให้เสวี่ยอิ่งเพิ่มระดับปราณกำเนิดของนาง!
“ต่อให้เจ้าไม่พูดข้าก็จะทำเช่นนั้น!”
เสวี่ยอิ่งกล่างพลางยกระดับปราณกำเนิดขึ้นไปสองขั้นกลายเป็นระดับสูงเท่ากับหลินหลี! นางเคลื่อนไหวอีกครั้งทันทีพร้อมความเร็วที่มากกว่าเดิมสองเท่า ท่วงท่าของนางยิ่งลึกลับพิสดารกว่าเดิม นางย่างก้าวเป็นรูปตัว Z
นัยน์ตากลมโตของหลินหลีหดลงเล็กน้อย นางเปลี่ยนท่วงท่าเป็นป้องกัน หลินหลีที่อยู่ในการต่อสู้ช่างแตกต่างจากหลินหลียามปกติยิ่งนัก เมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางเลือกที่จะป้องกันอย่างเหนียวแน่นพลางจดจำเส้นทางย่างก้าวของเสวี่ยอิ่ง!
ในหนึ่งชั่วลมหายใจ เสวี่ยอิ่งเข้าสู่ระยะจู่โจมอีกครั้ง นางปะทะตัวหลินหลีเล็กน้อยก่อนจะหยิบยืมแรงปะทะเพื่อส่งตนเองกระโดดไปข้างบนตีลังกาข้ามหัวหลินหลีไป
การตอบโต้ของหลินหลีถือได้ว่าไวไม่น้อย นางย่อตัวลงหลบเลี่ยงมือที่หมายจ้องจะจับกุมคอของนางได้ทันเวลาพอดี
แต่การโจมตีของเสวี่ยอิ่งยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากนางตกลงมาถึงพื้น นางเหวี่ยงลูกเตะไปที่หลังของหลินหลีในขณะที่หลินหลียังคงนั่งอยู่บนพื้น
หลินหลีรู้ว่าตนมิอาจหลบได้ จึงหันหลังกลับไปพาดมือทั้งสองข้างไว้ตรงหน้าอกป้องกันการโจมตีของเสวี่ยอิ่งก่อนจะถอยออกมา
“ปลดปล่อยปราณกำเนิดเพื่อป้องกันการโจมตีในขณะที่ประยุกต์ใช้ปราณกำเนิดเพื่อลดแรงจู่โจม.... เจ้าเคยฝึกเรียนการต่อสู้ระยะประชิดในอดีตหรือ?”
ใบหน้าเสวี่ยอิ่งเต็มไปด้วยความตกใจหลังจากล้มเหลวในการโจมตีเพราะการกระทำของหลินหลีเหนือล้ำคาดความเดาของนางไปมาก
“ท่าน... ใช้เมื่อครู่..”
เป็นเพียงไม่กี่คำที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง
เสวี่ยอิ่งถึงกับนึกถึงภาพที่พวกเขาปะทะกันเป็นครั้งแรกและปฏิกิริยาเมื่อนางเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ความประหลาดใจบนใบหน้านางยิ่งมากขึ้นไปอีก
“เจ้าสามารถเรียนรู้วิธีการใช้ปราณกำเนิดเพียงมองแค่หนึ่งครา!?”
เสวี่ยอิ่งถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ สายตาที่จ้องมองหลินหลีเปลี่ยนไปทันที
หากหลินหลีบอกว่านางแค่โกหก เสวี่ยอิ่งคงเชื่ออย่างไร้ข้อสงสัยเพราะการที่สามารถเรียนรู้และประยุกต์ใช้สิ่งต่างๆ ในการต่อสู้แค่เพียงมองครั้งเดียวเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวเหลือเกิน
“ข้าเป็นเช่นนี้...ตลอดมา...”
หลินหลีพูดบ้างหยุดบ้าง นางกลับมาเป็นสาวหน้าแข็งทื่อเหมือนเดิม
“พวกเรา... จะยังสู้ต่อหรือไม่? ข้ายัง... อยากฝึกอีก...”
หลินหลีจ้องเสวี่ยอิ่งเขม็งพลางร่องรอยแห่งอารมณ์ที่คล้ายกับความตื่นเต้นที่หาได้ยากปรากฎขึ้นในดวงตา นางเงียบรอคำตอบ
พวกนักเรียนที่เหลือที่กำลังเฝ้าสังเกตุการณ์ต่างหวาดกลัวกันสุดขีดเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง นอกจากยืนเหม่อมองอย่างโง่งมและกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงลำคอแล้ว พวกเขาล้วนไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าเช่นไรดี
แต่พวกเขารู้บางอย่าง!
หลินหลีเป็นคนจำพวกที่อยู่ในตำนาน...
อัจฉริยะ!
อัจฉริยะด้านการต่อสู้!
“แน่นอน แต่เจ้าต้องมองให้ดีเพราะมีบางสิ่งที่ข้าสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว!”
หลังจากกล่าวจบเสวี่ยอิ่งเคลื่อนไหวทันทีแต่ครั้งนี้นางใช้พลังทุกหยดที่สามารถใช้ได้จากระดับสูง!
ในอีกด้าน หลินหลีเคลื่อนไหวเช่นกัน และท่วงท่าที่นางใช้เป็นการย่างก้าวรูปแบบ Z ที่เสวี่ยอิ่งใช้เมื่อครู่!
เสวี่ยอิ่งแน่ใจอย่างแจ่มแจ้ง ถึงวิธีการโยกย้ายจัดการปราณกำเนิดอาจถูกสอนจากผู้อื่น แต่ท่วงท่าย่างก้าวเป็นสิ่งที่เสวี่ยอิ่งค้นคว้าด้วยตนเอง แต่หลินหลีกลับสามารถใช้งานมันได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย!
ในสิบนาทีต่อมา ป๋ายเสี่ยวเฟยกับคนอื่นราวกับเป็นเป็ดน้อยที่ได้ยินเสียงสายฟ้า พวกเขายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวพลางมองทั้งสองต่อสู้กันในสนามฝึกด้วยใบหน้าตกตะลึง
แถมในช่วงเวลาอันสั้นสิบนาทีนี้ เสวี่ยอิ่งและหลินหลีปะทะกันทุกไม่กี่วินาทีเท่านั้นโดยทีเสวี่ยอิ่งใช้วิธีจู่โจมแตกต่างไปแต่ละวิธี แต่เพื่อสั่งสอนหลินหลีแล้วท่วงท่าที่นางใช้สามารถต่อกรได้ด้วยท่วงท่าก่อนหน้านี้
หลินหลีไม่ทำให้เสวี่ยอิ่งผิดหวังแม้แต่น้อย นางเลียนแบบท่วงท่าของเสวี่ยอิ่งได้อย่างไร้ที่ติทุกครั้งที่พวกนางปะทะกัน
เมื่อทั้งสองหยุดต่อสู้ หน้าผากของเสวี่ยอิ่งมีเหงื่อผุดขึ้นมาหลายเม็ด แต่ตั้งทัวหลินหลีชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อนานแล้ว
“ขอบคุณ...พี่...”
หลินหลียังไม่ทันกล่าวจบนางก็เสียสมดุลล้มลงไป
ป๋ายเสี่ยวเฟยผู้อยู่ใกล้ที่สุดรีบก้าวขายาวเข้าไปรับนางทันเวลาพอดีก่อนจะถึงพื้น ร่างของนางอ่อนยวบไปหมด
“หลินหลี!?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเรียกขาน คนอื่นที่เหลือเข้ามาล้อมรอบพวกเขาไว้
“พวกเจ้าทั้งหมดถอยไป!”
เสียงของเสวี่ยอิ่งดังขึ้นมาทำให้ทั้งกลุ่มแยกออกจากกันสร้างทางเดินให้นาง
“ข้าบอกให้พวกเจ้าทั้งหมดถอยไป อยากให้นางขาดอากาศตายรึ!?”
ถึงแม้สุ้มเสียงของนางจะจริงจังไปบ้างแต่นางดูราวกับไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย นางเดินไม่กี่ก้าวก็ไปถึงข้างกายหลินหลีก่อนจะตรวจสอบอาการแล้วจึงเผยให้เห็นรอยยิ้มผ่อนคลาย
“ไม่ต้องห่วง นางแค่เหนื่อยเกินไปเท่านั้น พลังกายของนางไม่ดีนัก เป็นเพราะนางเคลื่อนไหวโดยไม่คำนึงถึงพลังกายทำให้นางสามารถสู้กับข้าได้นานขนาดนี้ นางจึงมิอาจทนรับผลกระทบเมื่อหยุดสู้”
เสวี่ยอิ่งกล่าว ทุกคนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกทันที
“พี่หญิงเสวี่ย หลินหลีนาง...”
สือเฉินถามอย่างระมัดระวังแต่ก่อนที่นางจะได้พูดเสร็จก็ถูกสายตาจ้องเขม็งของเสวี่ยอิ่งหยุดไว้
“จงรู้ไว้ว่าเรื่องของหลินหลีพวกเจ้ามิอาจเอาไปบอกผู้อื่น”
เสวี่ยอิ่งกวาดตามองทุกคนพลางกล่าว หลังจากทุกคนยอมรับแล้วนางค่อยเผยใบหน้าผ่อนคลาย
“การฝึกวันนี้จบลงแล้ว ต่อไปหลินหลีจะไม่เข้าร่วมการฝึกประเภทนี้อีก พวกเจ้าทั้งหมดจงไปคิดทบทวนการต่อสู้ให้ดี”
หนึ่งประโยคดับความหวังทุกคนไปในเหวลึก ความไร้กำลังและความสิ้นหวังเข้ามาแทนที่ความสงสัยในใจจนหมดสิ้น
“จบลงแล้ว... ท่านหมายความว่า...”
โม่ข่ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นไหวเพราะความกลัวที่มีต่อเสวี่ยอิ่งฝังรากลึกไปถึงกระดูก...
“พวกเจ้าสามารถทำตามที่อยากในเวลาที่เหลือ แน่นอนว่าหากต้องการฝึกเพิ่มก็สามารถบอกข้าได้”
เสวี่ยอิ่งเลิกคิ้วขึ้นนางกลับไปเป็นพี่หญิงขี้เล่นข้างบ้านตามเดิม
“ไม่ ไม่! พี่หญิงเสวี่ย ข้ารู้ว่าท่านมีเรื่องต้องทำ! พวกเราไม่อาจรบกวนท่านได้!”
เหตุผลหลายประการหลุดมาจากปากกลุ่มนักเรียนทุกคน ในชั่วพริบตาสิบกว่าคนหายไปจากการมองเห็นของเสวี่ยอิ่งราวกับกำลังมีใครวิ่งไล่สังหารพวกเขาอยู่
“เจ้าไม่ไปหรือ?”
เสวี่ยอิ่งเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดขณะที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวเฟย