ตอนที่แล้วGE433 รับกระบี่! [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE435 เจตจำนงค์ขั้นสมบูรณ์แบบ กระบี่พรากความทรงจำ [ฟรี]

GE434 กระบี่ไห่ถาง [ฟรี]


กระบี่ของซัวเฉินทรงพลังราวกับมังกร ส่วนปราณสังหารของหนิงฝานก็น่าสะพรึงกลัว เมื่อพลังของทั้งสองปะทะกัน ผู้เชี่ยวชาญนับหมื่นที่อยู่ไม่ไกลล้วนตกตะลึง และเร่งทะยานมาดู

หงยี่ลุกยืน ยกเหรียญตราในมือกระตุ้นข่ายอาคมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมศาลา เพื่ออำพรางศาลาแห่งนี้

สามผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงเร่งทะยานออกนอกศาลาอัสนี เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ไม่ว่าคนรอบข้างจะทำสิ่งใด หนิงฝานไม่สนใจ เขาสนใจแค่เพียงซัวเฉินที่อยู่เบื้องหน้า

แม้ซัวเฉินจะไม่ทรงพลังเท่าหยุนเทียนเฉว แต่ก็นับว่าเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งของผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลง

เจตจำนงค์กระบี่ขของชายชราแตกต่างจากหยุนเทียนเฉวคนละขั้ว

หนิงฝานค่อยๆทำความเข้าใจกับเจตจำนงค์กระบี่ของชายชราที่แผ่ออกมา

“กระบี่แห่งความรู้สึก! เป็รความรู้สึกระหว่างบุรุษสตรี และเป็นความรู้สึกที่น่าเศร้า”

เมื่อหนิงฝานกล่าวจบ ซัวเฉินตกตะลึง เพราะหนิงฝานสามารถมองถึงแก่นของเจตจำนงค์กระบี่ของมันออก

เจตจำนงค์กระบี่ของซัวเฉินนั้น คือเจตจำนงค์กระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึก เป็นสิ่งที่มือกระบี่ส่วนใหญ่ไม่อาจบรรลุ

แม้จะกล่าวว่าเป็นปราณกระบี่แห่งความรู้สึก แต่ก็เป็นความรูู้สึกที่น่าเศร้า ที่รุนแรงถึงโศกอนาฏกรรมระหว่างบุรุษและสตรี

ซัวเฉินเคยประมือกับมือกระบี่จำนวนมากในโลกพิรุณแห่ง กระทั่งมีความเข้าใจและบรรลุเจตจำนงค์กระบี่เป็นของตน

การที่จะมองเจตจำนงค์กระบี่ของออก อย่างน้อยต้องเป็นมือกระบี่ในขอบเขตไร้แบ่งแยก หากไม่นับรวมหนิงฝานแล้ว ก็มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่มองเจตจำนงค์กระบี่ของมันออก

ผู้แรกคือหยุนเทียนเฉว อีก 2 คนเป็นมือกระบี่ของแดนสวรรค์ และหนิงฝานคือคนที่ 4!

“ข้าดูแคลนเจ้าเกินไป แม้ระดับพลังของเจ้าไม่ได้สูงส่ง แต่ความเข้าใจในเต๋าแห่งกระบี่ของเจ้าเป็นรองแค่เพียงหยุนเทียนเฉวเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะสมุนไพรแสนปี ข้าก็อยากจะนับเจ้าเป็นสหาย แต่เหตุที่ข้าต้องทดสอบเจ้า ก็เพราะทำเพื่อผู้เป็นนาย… แต่เพื่อตอบแทนตัวเจ้า ข้าจะแสดงเพลงกระบี่ที่ทรงพลังที่สุดของข้าให้เห็น!”

ซัวเฉินขบฟัน ขยับมือเป็นท่าทาง กระบี่ใหญ่ส่งเสียงหึ่งๆราวกับกำลังตื่นเต้น

ชายชรานำกระบี่ไม้ที่มีกลิ่นหอมเล่มหนึ่งออกมา หากหนิงฝานเดาไม่ผิด กระบี่เล่มนั้นสมควรทำมาจากกิ่งต้นไห่ถาง

แม้มันจะดูเป็นกระบี่ไม้ธรรมดา แต่กลับไม่ธรรมดาอย่างที่คิด

หนิงฝานรู้ดีว่าแม้จะเป็นกระบี่ธรรมดา แต่เมื่ออยู่ในมือของซัวเฉิน ย่อมไม่ใช่กระบี่ธรรมดาอีกต่อไป

เมื่อยามที่หนิงฝานอยู่เกาะกู่ซู ความเข้าใจในเต๋าแห่งกระบี่ เข้าใจคำว่ากระบี่อ่อนด้อยแต่เจตจำนงค์แข็งแกร่ง และ กระบี่แข็งแกร่งแต่เจตจำนงค์อ่อนด้อย

หากเทียบกับกระบี่บิน มันรวดเร็วและปราดเปรียวก็จริง แต่มันก็เป็นเพียงอาวุธ ไม่ได้ช่วยให้เข้าถึงเจตจำนงค์กระบี่

ผิดกับกระบี่ใหญ่ที่หนักกว่า ใช้งานได้ยากกว่า แต่หากใช้งานมันได้ ต่อให้เผชิญหน้าทั้งกองทัพก็ไม่พ่าย

แต่กระบี่ของซัวเฉินไม่ใช่ทั้งกระบี่บินและกระบี่ใหญ่

เป็นเพียงกระบี่ไม้ที่แฝงไว้ด้วยเจตจำนงค์กระบี่อันแรงกล้า เพื่อที่จะได้เปล่งอานุภาพเจตจำนงค์กระบี่ได้ทรงพลังที่สุด

ดังนั้น สิ่งที่หนิงฝานต้องป้องกันไม่ใช่กระบี่ของซัวเฉิน แต่เป็นเจตจำนงค์กระบี่ของซัวเฉิน

เจตจำนงค์กระบี่ไม่ใช่การจู่โจมทางกายภาพทั่วไปที่เกราะอัสนีจะต้านรับได้ แต่ถึงอย่างนั้น หนิงฝานย่อมต้องใช้เกราะอัสนีช่วยเสริม และใช้พลังที่แท้จริงของตนเพื่อรับกระบี่ของชายชราให้ได้

เมื่อสามชายชราที่เฝ้านอกศาลาหันกลับมาพบว่าซัวเฉินนำกระบี่ไม้ออกมา สีหน้าพวกมันแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง

“ผู้อาวุโสสามถึงกับใช้กระบี่ไห่ถาง! กระบี่เล่มนั้นสำคัญกับผู้อาวุโสมาก ท่านจะใช้มันก็ต่อเมื่อต้องสังหารขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นกลางเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสถึงกับยอมใช้มันกับซัวหมิงผู้ต่ำต้อย!”

“ซัวหมิงผู้ต่ำต้อย...” หนิงฝานขมวดคิ้ว พวกมันดูแคลนเขา

หากจะให้พวกมันรู้ถึงความแข็งแกร่ง ก็ต้องแสดงความแข็งแกร่งเพื่อทำให้พวกมันยอมรับ

“เกราะอัสนี!”

หนิงฝานขยับนิ้วเป็นท่าทาง เรียกเกราะอัสนีสวมกาย

เมื่อเกราะอัสนีปรากฏ สามผู้อาวุโสตกตะลึง พวกมันรู้ว่าเกราะอัสนีไม่ใช่วิชาที่จะฝึกฝนกันได้ง่ายๆ เพราะต้องดูดซับปฐมอัสนีเพื่อยกระดับ

นอกจากกษัตริย์อัสนีแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดในตระกูลซัวที่บรรลุเกราะอัสนีระดับสูงมาก่อน เพราะการที่จะยกระดับเกราะอัสนีได้นั้น อย่างน้อยต้องสังหารดวงจิตอัสนีตัดวิญญาณ

หากจะป้องกันการจู่โจมของขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นต้ร อย่างน้อยต้องบรรลุเกราะอัสนีทองคำที่ 1 แต่กว่าจะบรรลุระดับนั้นได้ ก็ต้องดูดซับปฐมอัสนีนับหมื่น ซึ่งไม่ใช่จำนวนน้อยๆ

หากไม่นับรวมตระกูลซัวและ 4 เผ่าใหญ่ที่เร้นกายอยู่ในทะเลส่วนในแล้ว ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณในทะเลส่วนในก็มีเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น

อีกอย่างคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ฝึกฝนอัสนีมาโดยตรง ทำให้การจะหาปฐมอัสนียิ่งยากเข้าไปอีก

ดังนั้น 3 ชายชราที่เห็นเกราะของหนิงฝานจึงตกตะลึง

“คุณหนูสมควรเป็นผู้สอนวิชาเกราะอัสนีให้มัน แต่ระดับของมันช่าง...”

“ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่ามันจะยกระดับเกราะอัสนีมาได้ขนาดนี้...”

“นอกจากกษัตริย์อัสนีแล้ว ในโลกพิรุณแห่งนี้ก็ไม่มีใครยกระดับเกราะอัสนีไปถึงเกราะอัสนีทองคำที่ 3 ได้! แค่มีเกราะอัสนีระดับนี้ เด็กนี่ก็แทบจะไร้ผู้ต้านแล้ว ต่อให้เป็นขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นกลางก็ยากจะทำอันตรายมัน”

“ยิ่งเป็นพวกเรายิ่งทำให้อะไรมันไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ” 3 ชายชราตกตะลึงจนไม่กล้าดูแคลนหนิงฝานอีก

หงยี่เองก็ดวงตาเบิกกว้าง “เด็กนั่นเพิ่งเข้าไปในหอคอยอัสนีได้แค่ 10 วัน แต่กลับหาปฐมอัสนได้มากมาย หากเทียบกับข้าในอดีต ข้าเทียบไม่ติดแม้แต่น้อย”

หากหงยี่เข้าสู่หอคอยอัสนี อย่างมากนางก็หาปฐมอัสนีได้ด้วยการสังหาร แต่หนิงฝานได้เหลยฉียี่ช่วยหา แลกกับหยกอัสนี ทำให้เขาได้ปฐมอัสนีมาอย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ เมื่อยามเขาต่อสู้กับราชามังกร ผู้ปกครองแต่ละชั้นก็ยกปฐมอัสนีให้เช่นกัน ดังนั้นหงยี่ย่อมไม่สามารถตามความเร็วของเขาได้ทันอย่างแน่นอน

ซัวเฉินเองก็ตกตะลึงเล็กน้อย “ซัวหมิง แม้ว่าเกราะอัสนีของเจ้าจะทรงพลัง แต่มันก็ต้านทานได้เพียงการจู่โจมด้วยปราณ ยากที่จะต้านทานการจู่โจมด้วยเจตจำนงค์… ปราณคือความจริงคือสิ่งที่สัมผัสได้ แต่เจตจำนงค์เป็นเพียงสิ่งที่ไร้ตัวตนแต่สัมผัสได้เท่านั้น นั่นคือจุดเริ่มต้นของขอบเขตตัดวิญญาณ ที่ต้องเข้าใจความว่างเปล่าในเบื้องต้น เพื่อที่จะใช้ทะลวงขอบเขตไร้ดัดแปลง เปลี่ยนให้สิ่งที่มีตัวตนกลายเป็นความว่างเปล่า”

“ขั้นแรกคือ ‘ตัวตน’ ขั้นที่สองคือ ‘ความว่างเปล่า’ และขั้นที่สามคือ ‘ความจริง’... ทั้งสามขั้นนี้คือการพัฒนาเจตจำนงค์ทีละขั้น”

“เจตจำนงค์กระบี่ของข้า คือเจตจำนงค์กระบี่ไห่ถาง… ต้นไห่ถางคือสถานที่ที่ข้าให้กำเนิดเจตจำนงค์ที่แสนเจ็บปวดนี้ ข้ายกระดับเจตจำนงค์ของข้ามาอย่างต่อเนื่อง จาก 9… 8… 7… และยามนี้อยู่ระดับ 6 ฉะนั้นเจตจำนงค์กระบี่ไห่ถางของข้าจึงกลายเป็นเจตจำนงค์กระบี่ระดับ 6… สหายน้อยเอ๋ย รับกระบี่!”

ที่ชายชรากล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อจะบอกถึงความเข้าใจในเจตจำนงค์ของตน

เหตุที่ชายชราบอกก็เพราะถือเป็นการไถ่โทษที่ต้องฟาดฟันหนิงฝาน แต่เหตุที่ชายชราต้องทำนั้นก็เพื่อผู้เป็นนาย

ยิ่งชายชราได้รู้ว่าเต๋าแห่งกระบี่ของหนิงฝานนั้นไม่ธรรมดา ทั้งยังมีเกราะอัสนีที่ทรงพลัง ชายชรายิ่งอยากคบหาหนิงฝานเป็นสหาย แต่ด้วยที่จิตใจของชายชรามีเพียงผู้เป็นนาย การที่ต้องยอมมอบสมุนไพรที่ทุ่มเทหามาให้หนิงฝาน ชายชราย่อมไม่เต็มใจ ดังนั้น วิธีการเดียวที่ชายชราจะสบายใจขึ้นนั้น คือได้ประกระบี่กับหนิงฝาน แม้จะถือเป็นการขัดคำสั่งของผู้เป็นนายก็ตาม

ชายชราเถิดทูนผู้เป็นนายเหนือสิ่งอื่นใด จึงนำมาสู่การก้าวเดินไปในเส้นทางแห่งเต๋าที่แสนโดดเดี่ยวเพียงลำพังมานานนับหมื่นปี

คำกล่าวของชายชราเป็นประโยชน์กับหนิงฝานมาก มีผู้เชี่ยวชาญจากวิหารพิรุณหลายคนมาขอให้ชายชราสอนสั่งเจตจำนงค์แห่งกระบี่ แต่ชายชราไม่ยอมบอกพวกมัน แต่วันนี้ ชายชรากลับยอมบอกเล่าออกมาทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง

หนิงฝานหวนคิดถึงสิ่งที่ชายชรากล่าว ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนความเข้าใจเริ่มเพิ่มพูนอย่างช้าๆ

เจตจำนงค์เทพของหนิงฝานคือพิรุณ เจตจำนงค์ปีศาจคือขุนเขา เจตจำนงค์อสูรคือฟู่ลี่ หนิงฝานมีเจตจำนงค์ที่แตกต่างกัน 3 ชนิด และผสานรวมพวกมันเป็นหนึ่ง เกิดเป็นเจตจำนงค์แห่งความทรงจำ

แต่ถึงจะผสานเจตจำนงค์ได้ หนิงฝานก็ยังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้อยู่ดี หากจะนับเป็นขั้นแล้ว หนิงฝานเข้าใจเจตจำนงค์เพียงขั้นสอง...คือความว่างเปล่าเท่านั้น

แต่เมื่อซัวเฉินยอมบอกเต๋าแห่งเจตจำนงค์ให้ ความเข้าใจของหนิงฝานก็ยิ่งเพิ่มพูน… สิ่งที่เขาสงสัยมาตลอดในอดีต ยามนี้เขาเข้าใจทั้งหมด

‘ตัวตน’ ให้กำเนิดวิชาและการฝึกฝน เมื่อตัวตนกลายเป็นความว่างเปล่า ก็จะก้าวขึ้นไปอีกระดับ เมื่อเข้าใจความว่างเปล่าก็จะก้าวไปยังความเป็นเซียน ที่ต้องทำความเข้าใจกับความจริง หากบรรลุก็จะบรรลุเซียนแห่งความจริง

ยิ่งขบคิดก็ยิ่งเข้าใจ สิ่งที่สงสัยก็ยิ่งคลายไป เส้นทางเบื้องหน้าก็ยิ่งเบิกกว้าง

“ขอบคุณ!” หนิงฝานป้องหมัดให้ชายชรา เขาไม่ได้ตำหนิที่ชายชราลงมือ แต่ขอบคุณชายชรามากกว่า

ชายชราไม่ได้ชักกระบี่เพราะความเกลียดชัง ดังนั้นหนิงฝานจึงไม่กล่าวโทษ แต่ชายชราก็ตอบแทนหนิงฝานด้วยการให้ความรู้ ซึ่งนั้นเป็นประโยชน์และทำให้เขาทราบซึ้งในตัวชายชรามาก

ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด สุดท้ายทั้งสองก็ต้องทุ่มเต็มกำลังอยู่ดี

แววตาหนิงฝานหนักแน่นมั่นคง ชายชราเองก็ทุ่มสมาธิกับกระบี่ของตนเต็มที่

ชายชราชักกระบี่เพื่อผู้เป็นนาย หนิงฝานต้องรับมือชายชราเพราะอยากช่วยหลั่วโยว่

หลายครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญเข่นฆ่าสังหารเพราช่วงชิงทรัพยากร แต่ก็มีอยู่หลายครั้ง ที่ผู้เชี่ยวชาญเข่นฆ่าสังหารเพื่อปกป้อง

“กระบี่จงตื่น!” ชายชราชูกกระบี่สูง เจตนาสังหารปรากฏ เจตจำนงค์กระบี่ผสานเข้าไปในกระบี่ไม้เพื่อเตรียมจู่โจม

เจตจำนงค์กระบี่ของชายชราทรงพลังมากพอที่จะสังหารขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นต้นในพริบตา แต่บางทีขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นกลางก็ไม่อาจรอดเช่นเดียวกัน

ไม่แปลกที่เมื่อผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงของวิหารพิรุณได้ยินชื่อชายชราเข้า ถึงได้หวาดกลัว

แม้ว่าชายชราจะยังไม่บรรลุขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นสูง แต่ชายชราก็เคยเอาชนะขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นสูงมาแล้วหลายคน

หากไม่เพราะมีเหตุผลอันสมควร ย่อมไม่มีผูู้ใดกล้าล่วงเกินชายชรา

*เช้ง เช้ง เช้ง*

ปราณกระบี่แผ่ออกจากร่างชายชรา เข้ากระทบเกราะอัสนีของหนิงฝาน จนเกิดประกายแปรบปราบ

หากเป็นแค่ปราณกระบี่เหล่านี้ หนิงฝานรับได้ แต่หากเป็นเจตจำนงค์กระบี่ที่ทรงพลังที่สุดของชายชรา หนิงฝานไม่มั่นใจว่าจะต้านรับได้

ชายชราชูมือขึ้น เจตจำนงค์กระบี่เริ่มก่อตัว

“แย่แล้ว! รีบถอยเร็ว!”

สามผู้อาวุโสเร่งถอยสุดกำลัง หนีออกไปยังนอกข่ายอาคม

หงยี่ไม่จำเป็นต้องหนี นางจ้องมองซัวเฉิน แม้กาลเวลาจะเลยผ่านมาหมื่นปี แต่ชายชรายังไม่เปลี่ยนไป มีเพียงเจตจำนงค์กระบี่ที่ทรงพลังมากขึ้น

“ซัวเฉินยังแข็งแกร่งไม่เปลี่ยน… หากความทรงจำของเจ้ายังคงอยู่ เจ้าคงไม่ลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต… เมื่อหมื่นปีที่แล้วเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงขั้นสูง ยามนี้เจ้าสมควรบรรลุขอบเขตไร้แบ่งแยก… ผู้อาวุโสของข้า... เจ้ามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด”

หงยี่กล่าวกับตนเอง ซัวเฉินเป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดี นอกจากนี้ ชายชรายังมากพรสวรรค์

“หากให้เวลาเจ้าอีกสักร้อยปี เจ้าคงรับเจตจำนงค์กระบี่ของซัวเฉินได้ แต่ตอนนี้เจ้าอาจจะยากที่จะต้านรับ… ฮึ่ม! ใครบอกให้เจ้าทำให้ข้าไม่พอใจ...” นางกล่าวกับตนเองพลางขมวดคิ้ว เหตุใดนางถึงคิดอยากจะแก้เผ็ดหนิงฝาน

“น่ารำคาญจริงๆ...” เดิมทีนางไม่ใช่คนที่เย็นชา แต่เมื่อนางทรงพลังขึ้น ความรู้สึกต่างๆของนางก็เริ่มเลือนหาย กลายเป็นเหมือนคนที่ไร้หัวใจ

แต่การไร้ซึ่งหัวใจของนางก็เป็นเหมือนพิษร้ายที่ตามติดนางไม่หาย ความทรงจำต่างๆที่นางไม่ต้องการจะตามหลอกหลอน ความรู้สึกที่เคยมีในตัวตนของนางจะหวนคืน

“ข้าไม่ใช่หนิงหงหง… ข้าคือหงยี่” นางขมวมดคิ้วพลางใช้วิชาอัสนี ลบความทรงจำของตนออกอีกครั้ง

นางเคยเป็นหนิงหงหง แต่ตอนนี้นางต้องการเป็นตัวเอง

“หากเป็นเมื่อ 100 ปีก่อนข้าคงช่วยเขา… แต่ในเมื่อเขาตายไปแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเขาอีก” ความเย็นชาปกคลุมจิตใจของนางอีกครั้ง

ชั่วพริบตาถัดมา เจตจำนงค์กระบี่ของซัวเฉินเปล่งอานุภาพเต็มที่ ก่อนที่ชายชราจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง

“สี่กระบี่โศกา… กระบี่ที่ 1... โศกาในชีวิตและความตาย!”

ทันทีที่สิ้นคำกล่าว เจตจำนงค์กระบี่ที่ทรงพลังมุ่งตรงเข้าสู่ทะเลสติของหนิงฝาน โดยไม่ได้สัมผัสเกราะอัสนีแม้แต่น้อย

ความเข้าใจในเจตจำนงค์ของหนิงฝานยังไม่อาจเทียบเคียงชายชรา เพราะเจตจำนงค์ของชายชราถือกำเนิดจากความโศกเศร้าที่ก่อตัวมานับหมื่นปี

ความเศร้าเหล่านั้นได้ผสานรวมเป็นหนึ่งกับเจตจำนงค์ ที่จู่โจมเข้าไปในจิตใจของศัตรูโดยตรง

เมื่อถูกเจตจำนงค์จู่โจม หนิงฝานยืนนิ่ง แววตาราวกับจมอยู่ในโลกของภาพลวงตา

นั่นคือเพลงกระบี่แรกของชายชรา เพลงกระบี่ที่จะทำให้ศัตรูตกสู่ห้วงแห่งโลกสมมติ และประสบกับความอ้างว้างโดดเดี่ยว

หนิงฝานในยามนี้อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นหุบเขาขนาดเล็ก มีทิวทัศน์ที่งดงาม

หนิงฝานในยามนี้คือเด็กหนุ่มอายุ 16 ปี สะพายกระบี่ที่แผ่นหลัง เพียงแต่หน้าตาของเขา เป็นหน้าตาของซัวเฉิน

ยามนี้หนิงฝานยังคงไม่ได้สติ ไม่อาจจำได้ว่าตนเองเป็นใคร

แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง เจตจำนงค์แห่งความทรงจำของเขาเริ่มสำแดงเดช ทำให้เขาได้สติคืนมา แววตากระจ่างใส และสำนึกรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในโลกแห่งภาพลวง

ซัวเฉินคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานจะมีเจตจำนงค์แห่งความทรงจำ ทำให้ความทรงจำของซัวเฉินที่ถูกลืมเลือนมาเนิ่นนาน ได้ตื่นกลับขึ้นมาอีกครั้ง

“ที่นี่คือโลกที่เกิดจากเจตจำนงค์กระบี่ของซัวเฉิน เวลาที่อยู่ในโลกแห่งนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนโลกภายนอกเทียบไม่ติด… ที่นี่สมควรเป็นส่วนที่ลึกที่สุดในความทรงจำของซัวเฉิน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหมื่นปีที่แล้ว… บางทีอาจไม่มีผู้ใดรอดพ้นจากเจตจำนงค์กระบี่ของซัวเฉินได้ แต่ด้วยที่ข้ามีเจตจำนงค์แห่งความทรงจำ จึงทำให้ตื่นจากอำนาจของซัวเฉิน”

หนิงฝานยืนอยู่ใต้ต้นไห่ถางที่อยู่ภายในหุบเขา ไม่ไกลจากต้นไห่ถางมาก มีสาวน้อยนางหนึ่งในอาภรณ์แดงหันมองมาหาหนิงฝานและยิ้มให้

นางมีหน้าตาน่ารัก ผมดำยาวตรง บนใบหน้าด้านซ้ายมีรอยแผล แต่ก็ยังไม่อาจบดบังความงามของนางได้

“พี่เฉิน ข้าได้ยินว่าท่านกราบเซียนนิกายกระบี่แดงเป็นอาจารย์ อีกไม่นานท่านจะได้เป็นศิษย์ของที่นั่น ข้าดีใจด้วย...”

นางจ้องมองหนิงฝานด้วยแววตาที่อ่อนโยน แต่หนิงฝานกลับไม่ตอบสนองความรู้สึกของนาง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไร้ความรู้สึก แต่เขาย่อมไม่สนใจสตรีที่ไม่รู้จัก ยิ่งนางเป็นภาพลวงตายิ่งไม่สนใจ

“ข้าไม่ใช่ซัวเฉิน” หนิงฝานกล่าวอย่างเรียบเฉย เหม่อมองไปสุดขอบฟ้าก่อนจะเดินออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ เพื่อหาวิธีทำลายเจตจำนงค์กระบี่ของซัวเฉิน

แต่ก่อนที่หนิงฝานจะออกไปจากหุบเขา กลับมีมือน้อยๆของสตรีนางหนึ่งมากกุมมือของเขาไว้

“พี่เฉิน ท่านพ่อบอกว่าท่านเข้าร่วมกับนิกายเซียนแล้ว ในอนาคตท่านจะมั่งคั่งและทรงพลัง เมื่อถึงยามนั้น ท่านคงไม่ต้องการข้าแล้ว...”

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนที่หยาดน้ำตาจะไหลริน คำกล่าวของนางราวกับตัดพ้อกับบุรุษที่ตนรัก และกำลังจะแยกจาก

“ข้าไม่ใช่ซัวเฉิน!”

หนิงฝานหันกลับมากล่าวอย่างเย็นชา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของสตรีนางนั้นอีกครั้ง เขากลับใจอ่อน

โลกแห่งภาพลวงแห่งนี้ราวกับรู้จักหนิงฝานเป็นอย่างดี มันจึงดึงเอาสิ่งที่จะทำให้หนิงฝานคล้อยตามได้ออกมา ซึ่งมันเปลี่ยนให้สตรีนางนั้นเป็นจื่อเฮ่อ!

“พี่เฉิน ท่านอย่าไปเลยนะ...” นางอ้อนวอนพลางคุกเข่าลงอย่างไร้หนทาง

“จื่อเฮ่อ!” แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา เขาเกลียดที่มีคนมาล่วงเกินสตรีของเขา ต่อให้เป็นในโลกแห่งภาพลวงก็ไม่เว้น

“จื่อเฮ่อเป็นใคร? ข้าไม่ใช่จื่อเฮ่อ? ข้าคือไห่ถาง... มู่ไห่ถาง” นางจ้องมองหนิงฝานด้วยสีหน้าไม่พอใจ เราวกับขุ่นเคืองที่หนิงฝานเรียกชื่อนางผิด

เมื่อยามเด็ก ซัวเฉินมักจะหยอกล้อกับมู่ไห่ถางอยู่เสมอ มันมักจะแกล้งเรียกชื่อนางผิดเพื่อทำให้นางโกรธ และปลอบประโลมให้นางยิ้มในภายหลัง

ซึ่งนั่นคือความทรงจำของซัวเฉินที่หนิงฝานได้รับรู้

นี่คือเจตจำนงค์แห่งความเศร้าโศกเสียใจ ที่กักขังจิตใจของหนิงฝาน ให้จมลงสู่ความเศร้าโศก ราวกับถูกกระบี่นับหมื่นกรีดแทง

“ข้าไม่ว่าหากคิดจะจู่โจมตัวข้า.... แต่การที่นำจื่อเฮ่อมาเป็นเครื่องมือ ข้ายอมไม่ได้… แต่ที่แห่งนี้คือภาพลวงตาที่เกิดขึ้นในใจข้า เป็นสิ่งที่ซัวเฉินไม่อาจมองเห็น นั่นหมายความทั้งหมดเป็นเพราะเจตจำนงค์กระบี่… ถ้าข้าทำลายความฝันนี้ได้ ข้าก็เอาชนะเจตจำนงค์กระบี่ได้”

เมื่อรู้ว่าซัวเฉินไม่ได้ตั้งใจจะใช้จื่อเฮ่อเป็นเครื่องมือ ความโกรธของหนิงฝานก็ลดลง เขาโอบประครองมู่ไห่ถางให้ยืนขึ้น… แม้จะเป็นเพียงภาพลวง แต่มู่ไห่ถางยามนี้คือจื่อเฮ่อ และตัวเขาก็คือซัวเฉิน

แม้ตัวตนจะต่างกัน แต่หนิงฝานก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายจื่อเฮ่อเด็ดขาด

ความเศร้า...เกิดจากการพรัดพรากกับคนที่ตนรัก ดังนั้นการคลี่คลายเจตจำนงค์กระบี่ของซัวเฉิน คือการใช้ความรักเข้าเยียวยา ซึ่งกุญแจสำคัญคือการที่จะต้องปกป้องมู่ไห่ถาง

เขาโอบประครองนางมาแนบกาย จ้องมองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยน

“มากับข้าเถอะ!”

“พี่เฉินจะพาข้าไปไหน?” เมื่อนางเห็นว่าหนิงฝานจะไม่ทิ้งนางไป นางก็มีความสุขเป็นอย่างมาก

“ไปนิกายกระบี่แดง! ซัวเฉินต้องฝึกฝนอยู่ที่นั่น หากเจ้าอยู่ข้างกายข้า ก็ไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้… จื่อเฮ่อ!”

“ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้วว่าข้าคือมู่ไห่ถาง!” นางกล่าวด้วยความไม่พอใจ แต่หากจะกล่าว นางคือจื่อเฮ่อที่มีความทรงจำของมู่ไห่ถาง

ไม่นานหลังจากหนิงฝานพานางไป ภัยพิบัติก็เคลื่อนเข้ามาถึงหุบเขาที่หนิงฝานเคยอยู่เมื่อครู่

ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณคนหนึ่งปรากฏตัวกลางท้องนภา เหม่อมองผู้ที่อยู่เบื้องล่างราวกับมดปลวก

“คาดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสนิกายจะพบผู้เยาว์ที่สัมผัสได้ถึงเต๋าแห่งกระบี่ที่อยู่ในหุบเขานี้… หากได้ศิษย์อย่างมันย่อมพัฒนาได้ไม่น้อย แต่มันขัดขวางข้า ข้าจะสังหารสตรีของมันเพื่อให้เสียใจจนไม่อาจบรรลุในเส้นทางเต๋าแห่งกระบี่ได้อีก! ดูซิว่าผู้อาวุโสจะยังพอใจในตัวมันอยู่หรือเปล่า?”

ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณแผ่สัมผัสเทพไปทั่วทั้งหุบเขา แต่มันกลับต้องขบฟัน!

“มู่ไห่ถางไม่อยู่ที่นี่!”

ในอดีตยามที่ซัวเฉินไปยังนิกายกระบี่แดง เป็นวันเดียวกันที่มันสูญเสียคนรักไป หากหนิงฝานไม่ได้สติ เขาคงได้เห็นจื่อเฮ่อถูกสังหาร เพราะตัวนางคือมู่ไห่ถางในโลกนี้

แต่ยามนี้ ไม่มีใครทำร้ายนางได้ เพราะใครก็ตามที่ล่วงเกินนาง พวกมันต้องตาย!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด