ตอนที่แล้วRC:บทที่ 7 ชนพวกมิจฉาชีพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRC:บทที่ 9 สำนักบริหารเมือง

RC:บทที่ 8 การฉกแผงขายของ


RC:บทที่ 8 การฉกแผงขายของ

“คุณ เอาของของคุณออกไปแล้วอย่ามาขวางทางผม นี่เป็นที่ของผม!” ชายหนุ่มคนนั้นลงมาจากรถและตะโกนใส่หลินเฟิง

“ใครเป็นคนกำหนดกันล่ะว่านี่เป็นที่ของคุณ? คุณจ่ายค่าเช่าที่หรือว่าซื้อที่ตรงนี้ไว้งั้นหรือ?” เมื่อหลินเฟิงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังก้าวเข้ามา เขาช่างดูก้าวร้าวราวกับว่าต้องการที่จะกินผู้คน หลินเฟิงไม่ได้มองเขาว่าเป็นคนดีนักดังนั้นเขาถึงถอยออกไป

สถานที่นี้เป็นที่ค้าขายอิสระ โดยทั่วไปแล้วใครๆ ก็สามารถที่จะมาตั้งแผงขายของได้ในตลาดนี้ นี่เป็นประเพณีที่นิยมทำกันมาเป็นเวลายาวนานแล้ว ตราบใดที่คุณไม่ได้ขายของผิดกฎหมายเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ได้มาสนใจอะไร

แผงขายของโดยปกติแล้วจะเป็นของผู้ที่เข้ามาจับจองก่อน เพราะพ่อค้าแม่ค้าทุกคนไม่ได้มาขายของทุกวัน มีเพียงแค่บางคนเท่านั้นที่มีแผงขายของถาวรเพราะว่าทำธุรกิจมาก่อนหน้านี้นานแล้ว

ในเวลานี้ชายคนนี้ชี้นิ้วไปที่หลินเฟิงเมื่อเขาเดินมาถึงและสบถใส่หลินเฟิง ในตอนนี้ความโกรธของเขาอยู่ที่ระดับสามแล้ว หลินเฟิงไม่มีทางที่จะปล่อยที่ตรงนี้ไป

เพราะที่ข้างๆ ก็ยังคงมีที่ว่างอยู่ ซึ่งมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ชายคนนี้จะยืนกรานเอาที่ที่แผงของหลินเฟิงตั้งอยู่

“ฉันบอกว่านี่มันเป็นที่ของฉัน เป็นของฉัน ทำไมแกถึงไม่เข้าใจ?” พอพูดจบ ชายหนุ่มคนนั้นก็ถลกแขนเสื้อขึ้นและเตรียมพร้อมที่จะสั่งสอนหลินเฟิง หลินเฟิงมองดูชายคนนี้อย่างละเอียด เขาเป็นคนค่อนข้างเตี้ย เตี้ยกว่าจมูกของเขาซะอีก เขาค่อนข้างอ้วนแต่หน้าของเขานั้นเป็นสีดำราวกับว่าเพิ่งไปขุดถ่านมา

ในตอนที่เขาถลกแขนเสื้อขึ้นมานั้นก็ปรากฏให้เห็นรอยสักมังกรสองตัวที่อยู่บนแขนของเขาข้างละตัวทั้งแขนซ้ายและแขนขวา เขารู้สึกว่าเขาอยู่เหนือกว่าหลินเฟิงเหมือนกับว่ากำลังเตือนหลินเฟิงอยู่

“ไม่!” หลินเฟิงไม่ได้ตอบออกไปตรงๆ

“หึ มาฉกเอาที่ของฉันไป อยากตายงั้นหรือ!”

ทันทีที่หลินเฟิงตอบออกไป ชายหนุ่มคนนั้นก็ต่อยมาที่หลินเฟิง

“หืม รอยสักมังกรสองตัวบนแขนนี่ งั้นแกมาจากนรกอย่างนั้นหรือ?”

ในตอนนี้ หลินเฟิงกำลังนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ของเขา มองดูชายคนนั้นกำลังตรงเข้ามาหาพร้อมกำปั้น เขาจึงลุกขึ้นยืนทันที ตัวของเขาสูงกว่ามันเกือบครึ่งศีรษะเลยทีเดียวและเขาก็เอื้อมมือจับข้อมือของมันไว้

ถึงแม้ว่าชายคนนี้จะค่อนข้างอ้วน แถมมีรอยสักรูปมังกรบนแขนทั้งซ้ายและขวา แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอก หลินเฟิงคว้าข้อมือของมันไว้ข้างหนึ่งและบิดอย่างแรง ชายคนนั้นถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

“อ๊า! ปล่อยฉันเถอะ!” ชายคนนั้นร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ถึงแม้ว่ารูปร่างของหลินเฟิงจะผอมบางกว่าเล็กน้อยแต่ความแข็งแรงของเขานั้นไม่ใช่น้อยเลย เขาถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นเลยทีเดียว

“แกไม่เข้าใจหลักการ (มาก่อนได้ก่อน) งั้นหรือ? มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องทำร้ายคนอื่น!” เมื่อหลินเฟิงพูดจบเขาก็กระทืบเท้าลงไปที่ตัวของชายคนนั้น

“กลิ้งไป!” หลินเฟิงเหยียบลงไปบนอกของชายคนนั้นและปล่อยมือ ชายคนนั้นร่วงลงบนพื้นโดยทันทีและหันมากล่าวคำอาฆาต

“แก แก จำไว้เลยนะ ฉันจะกลับมาแก้แค้นแก!” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและหันมาพูดกับหลินเฟิงพร้อมทั้งวิ่งไปด้วย เขารีบร้อนตรงไปที่รถสามล้อที่บรรทุกผลไม้ของเขาด้วยกลัวว่าหลินเฟิงจะตามมาทำอะไรเขาได้อีก

“ล้มฉันหรือ ฉันกลัวแกจะตายแล้ว ต่อหน้าสาธารณะชนแบบนี้แกยังจะกล้าขอให้ใครมาล้มฉันงั้นหรือ...”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้กระทบต่อการขายของของหลินเฟิง เพราะในเวลานี้มีแผงขายของอยู่ไม่มากนักและหลินเฟิงเองก็ไม่ใช่คนขี้เกียจ เขาจึงเริ่มตะโกนขายของต่อไป

ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะขายไม่ได้เลย แต่เขาก็เห็นว่าคนอื่นก็มาซื้อขายของเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเรียนรู้ที่จะตะโกนขายของ

“ขายครับ ขาย ขายองุ่นครับ องู่นลูกโตๆ ทั้งหวานทั้งหอมครับ เร่เข้ามาครับ เร่เข้ามา” จากนั้นไม่กี่นาทีเขาถึงกับเสียงแหบเสียงแห้งแต่ก็ยังไม่มีใครมาซื้อองุ่นของเขาเลยแม้แต่คนเดียว

แต่หลินเฟิงก็ยังคงไม่ย่อท้อเพราะเขารู้ว่าการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างนั้นมันเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะการค้าขายในขั้นแรก

อย่างไรก็ตาม หลินเฟิงยังคงมีความมั่นใจในอยู่ของเขาเป็นอย่างมาก ทองยังไงก็ยังคงเปล่งประกาย ตราบใดที่มีใครสักคนมาดูและชิมองุ่นนั้น มันจะต้องดึงดูดให้คนมาซื้ออย่างแน่นอนดังนั้นหลินเฟิงจึงตะโกนต่อไป

“ขายองุ่นครับ องุ่นทั้งหอมทั้งหวานครับ เข้ามาชมก่อนได้ครับ ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่าอะไร เข้ามาชิมก่อนได้ครับ!”

“ขายองุ่นครับ องุ่นทั้งหอมทั้งหวานครับ เข้ามาชม เข้ามาชิมก่อนครับ!”

“...”

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่มีใครเข้ามาเลย พระอาทิตย์ก็เริ่มดวงโตขึ้นและเริ่มร้อนด้วยตะวันตอนเที่ยง ไม่มีตรงไหนที่พอจะเป็นร่มเงาให้แก่หลินเฟิงได้เลย เขาเกือบจะแบกตะกร้าองุ่นขึ้นหลังและกลับบ้านเสียแล้ว

แต่หลินเฟิงกลับพบว่ายิ่งเวลาใกล้เที่ยง ฝูงชนกลับมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหมายถึงว่าเขาอาจจะขายได้ก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มตะโกนขายของดังๆ อย่างต่อเนื่อง

ในที่สุดผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง สองสามีภรรยาก็แวะเข้ามาดูองุ่นของหลินเฟิง แต่พวกเขาก็หันหลังกลับและจากไป

“ว้าว!”

แต่ในตอนนี้หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาดูองุ่น ดวงตาที่ใส่บิ๊กอายส์เป็นประกายน้ำจ้องมองดูองุ่นของหลินเฟิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“องุ่นอะไรกันนี่ นี่มันลูกพีชหรือว่าองุ่นกันแน่? ฉันไม่เคยเห็นองุ่นที่ไหนลูกใหญ่แบบนี้มาก่อนเลย มันดูเต็มมาก มันต้องอร่อยแน่ๆ!” สาวน้อยกล่าวพร้อมด้วยดวงตาที่จับจ้องไปยังองุ่นของหลินเฟิง

“สาวน้อย ลองทานดูสิ ไม่คิดเงินนะ!” หลินเฟิงหยิบองุ่นลูกโตส่งให้กับมือของหญิงสาว

“ขอบคุณค่ะ”

หลังจากที่รับองุ่นมาจากหลินเฟิง หญิงสาวก็อ้าปากที่สีแดงสวยเหมือนลูกเชอรีและกัดองุ่นเข้าไป

ทันที่ที่น้ำหวานขององุ่นไหลออกมา

“พระเจ้า อร่อย...หอม...อ้า!”

หญิงสาวร้องอุทานออกมา และคนทั้งถนนก็ได้ยินเสียงนี้ ซึ่งทำให้หลินเฟิงถึงกับกระโดดขึ้น

สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือทุกคนต่างพากันหยุด

ในชั่วขณะหนึ่ง เสียงเซ็งแซ่ในตลาดพากันเงียบ สายตาของทุกคนจ้องมองมาที่ตรงนี้ หลินเฟิงรู้สึกตะลึงจนถึงกับขนลุก

“ขอโทษครับ ขอโทษครับ!”

ในเวลานี้ แฟนหนุ่มของเธอรู้สึกอับอายและเขารีบโค้งคำนับเพื่อขอโทษทุกคน

“ชู่ว เบาเสียงลงหน่อยสิ!” แฟนหนุ่มของเธอแนะนำ

“โอ้ โอ้ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ แต่องุ่นนี้มันช่างหอมจนฉันอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้เลย!” หญิงสาวอธิบาย

เมื่อได้ยินดังนั้นหลินเฟิงจึงได้แต่แอบหัวเราะ เพราะว่าครั้งแรกที่เขาได้กินองุ่นนี้เขาก็อดไม่ได้เช่นกันที่จะตะโกนออกมา

“มันหอมมากขนาดนั้นเลยหรือ?”

ชายหนุ่มไม่เชื่อ เขาจึงหยิบขึ้นมาหนึ่งลูกและชิม!

“พระเจ้า พระเจ้า! มันช่าง...ดี...กินอีก...”

ในเวลานี้เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นกว่าเดิมเสียอีก หลินเฟิงจึงรีบยกมือขึ้นปิดตา และเมื่อสิ้นเสียงตะโกนนั้น หลินเฟิงจึงได้ลดมือลง

“ชู่ว เธอเพิ่งจะบอกให้ลดเสียงลงไม่ใช่หรือ?” ในตอนนี้หญิงสาวจึงได้เตือนชายหนุ่ม

“ก็ มันช่วยไม่ได้จริงๆ นี่นา!”

บัดนี้ ชายหนุ่มรู้สึกว่าอุณหภูมิของโลกทั้งใบนี้ดูสูงขึ้นเป็นเพราะว่าสายตานับไม่ถ้วนต่างพากันจับจ้องมาที่เขา ถ้าสายตาสามารถฆ่าคนได้เขาก็ไม่รู้ว่าเขาตายไปแล้วกี่ครั้ง

“เป็นไงบ้าง? มันอร่อยสินะ เธออยากจะซื้อสักหน่อยไหมล่ะ?” หลินเฟิงถามหยั่งเชิง

“ซื้อสิครับ ซื้อแน่นอน เท่าไรครับ!” ชายหนุ่มถาม

หลินเฟิงมองดูคู่รักคู่นี้ ชายหนุ่มนั้นแต่งตัวในชุดสูท สวมเนคไท และรองเท้าหนังขัดเงา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นได้ทั้งคนรวยและคนจน

หญิงสาวเองก็เช่นกัน เธอถือกระเป๋าราคาแพง สวมกระโปรงยาม สวมหมวกใบสีเหลืองใบเล็ก แลดูน่ารักมาก

“อะแฮ่ม จินละสิบหยวน!” หลินเฟิงกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกกระดากเล็กน้อย

องุ่นโดยทั่วไปในตลาดนั้นราคาเพียงสามถึงสี่หยวนต่อหนึ่งจิน หลินเฟิงตั้งราคาไว้ที่จินละสิบหยวนซึ่งเกือบจะเป็นสามเท่าของราคาองุ่นทั่วไป

หลินเฟิงไม่คิดว่าราคาที่เขาตั้งไว้นั้นแพงเกินไปเพราะเขาคิดว่ามันคุ้มค่า

ขณะที่หลินเฟิงกำลังรอคำตอบจากชายหนุ่มเขาเห็นว่าชายหนุ่มหยิบเอาธนบัตรฉบับละห้าสิบหยวนออกมาและส่งให้เขา

“เอาให้ผมห้าจิน ขอบคุณครับ!”

หลินเฟิงไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่ต่อราคาเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับยื่นเงินจำนวนห้าสิบหยวนให้แก่หลินเฟิงโดยทันที

“โอเค รอสักครู่นะ!”

จากนั้นหลินเฟิงก็หยิบเอาตราชั่งอันเล็กออกมาและชั่งองุ่นจำนวนห้าจินให้แก่สามีภรรยาคู่นั้น จากนั้นทั้งสองสามีภรรยาก็รับประทานองุ่นและเดินจากไปอย่างมีความสุข

“โอ้ นี่มันองุ่นอะไรกันคุณถึงขายได้ราคาตั้งจินละสิบหยวน...”