ตอนที่แล้ว49 สัตว์อสูรคริสตัล เสี่ยวจี๋
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป51 คมดาบของมนุษยชาติ!

50 โค้ดของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์


50 โค้ดของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์

เสี่ยวจี๋พูดออกมาว่า “หลังจากผ่านรอบอุ่นเครื่องสามวันไปแล้ว ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 600 คนที่มีคะแนนสูงสุด ก็จะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันในรอบตัดสินได้!”

“ส่วนผู้เข้าแข่งขันที่เหลือก็จะเคลื่อนย้ายและพากลับไปที่เรือธงเหลียวหยวนฮ่าว”

“ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างรอบอุ่นเครื่องและรอบตัดสินนั้นก็คือ...จะมีการปลดปล่อยสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอย่างมาก ซึ่งถูกขังเอาไว้ในถ้ำใต้ดินของเกาะมังกรปีศาจออกมา และความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่ถูกปล่อยออกมานั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆจะสามารถจัดการได้!”

“หากคุณสามารถฆ่าสัตว์อสูรเหล่านั้นได้ คุณก็จะได้รับคะแนนที่สูงกว่าการฆ่าสัตว์อสูรทั่วๆไป!”

“นอกจากนั้นแล้ว นักเรียนทั้ง 600 คนก็จะถูกแบ่งออกเป็นสองทีม คือ ทีมสีแดงและทีมสีฟ้า ทั้งสองทีมสามารถโจมตีอีกฝ่ายได้มากเท่าที่ต้องการ เมื่อสามารถกำจัดฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งก็คือตอนที่ปุจิได้ปล่อยเจลออกมาครอบร่างกายของอีกฝ่าย และเมื่อนั้น คุณก็จะได้รับคะแนนทั้งหมดของฝ่ายตรงข้าม!”

“พูดอีกอย่างก็คือ ไม่เพียงแค่คุณจะต้องฆ่าสัตว์อสูรเท่านั้น แต่คุณยังต้องสู้กับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นด้วย!”

หัวใจของหลี่เย้าเต้นแรงขึ้น พร้อมกับความรู้สึกตื่นเต้นที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้

การที่สามารถเข้าสู่รอบตัดสินได้ ก็หมายความว่า ผู้เข้าแข่งขันสามารถได้รับคะแนนจำนวนมาก แทนที่จะเสียแรงฆ่าสัตว์อสูร การโจมตีแย่งชิงคะแนนจากฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เรื่องที่ดีกว่าหรอกเหรอ? ขอแค่อีกฝ่ายถูกกำจัด มันก็ไม่ต่างไปจากการฆ่าสัตว์อสูรหลายสิบตัว หรือหลายร้อยตัวเลย

เมื่อมีกฎกติกาแบบนี้ ความปรารถนาที่จะต่อสู่อย่างบ้าคลั่ง คือสิ่งที่เหมาะกับเหล่าวัยรุ่นเลือดร้อน และพวกเขาก็สามารถแสดงความสามารถของพวกเขาออกมาได้อย่างเต็มที่!

เสี่ยวจี๋พูดต่อ “และนี่ก็คือกติกาทั้งหมด หลังจากผ่านสองวันของรอบตัดสินไปแล้ว นักเรียนเหลือรอดอยู่ก็จะถูกนับคะแนนและจัดอันดับ ยิ่งอันดับของคุณสูงมากเท่าไร โอกาสที่จะถูกเลือกโดยแมวมองจากทั้ง 9 มหาวิทยาลัยชั้นยอดก็จะมีสูงขึ้น คนที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่จำเป็นที่จะต้องทำการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และจะถูกรับเข้ามหาวิทยาลัยโดยตรง ดังนั้น นักเรียนหลี่เย้า จงตั้งใจเต็มที่ล่ะ!”

“รับเข้าเรียนโดยตรง!”

หลี่เย้ารู้สึกถึงลำคอที่แห้งผาก เขาเลียริมฝีปากและถามออกไปว่า “เสี่ยวจี๋ จากการแข่งขันที่ผ่านมา มีนักเรียนกี่คนที่ถูกรับเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบ?”

เสี่ยวจี๋เกาหัวของมันเพื่อใช้ความคิด พร้อมกับมีเสียงดังหึ่งๆดังออกมาจากภายในร่างกายของมัน

หลี่เย้าสามารถบอกได้จากการฟังว่า มันคือเสียงของคริสตัลโพรเซสเซอร์ที่กำลังทำงานด้วยความเร็วสูงอยู่ ตอนนี้ เสี่ยวจี๋อาจจะกำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ก็เป็นได้

หลังจากนั้นสักพัก เสี่ยวจี๋ก็ได้ตอบคำถามออกมา “ในสามปีที่ผ่านมาของการแข่งขันในสนาม 571 แต่ละปีมีนักเรียนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 51 คนที่ถูกรับเข้าเรียนใน 9 มหาวิทยาลัยชั้นนำโดยตรง และหากคนที่ไม่ได้รับเข้าโดยตรง ก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับคะแนนพิเศษในรายชื่อของผู้มีสิทธิเข้าเรียนอีกด้วย”

“คะแนนพิเศษในรายชื่อของผู้มีสิทธิเข้าเรียน? มันคืออะไรงั้นเหรอ?” หลี่เย้าถามเจาะลึกลงไป

“เสี่ยวจี๋จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆนะ เมื่อคุณได้แสดงพรสวรรค์ในการบ่มเพาะออกมา ซึ่งมันเหมาะสำหรับมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของคุณกลับไม่เพียงพอ เช่น อันดับในรอบตัดสินของคุณอยู่ที่ร้อยกว่าหรือสองร้อย หรือคุณต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งตั้งแค่เริ่มการแข่งขัน และถูกบังคับให้ออกจาการแข่งขัน!”

“ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย ขอแค่คุณได้รับเลือกจากหนึ่งในแมวมองของทั้ง 9 มหาวิทยาลัยชั้นยอด เขาหรือเธอก็จะทำสัญญากับเธอ เพื่อมอบคะแนนพิเศษและช่วยให้คะแนนที่ต้องใช้ในการยื่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นๆลดลงไป 5คะแนน, 10คะแนน หรือ 20 คะแนน!”

“นั่นมันสุดยอดไปเลย!”

ในเวลานี่ หลี่เย้ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้วจริงๆ

การสอบเข้ามหาวิทยาลัย การสอบเข้ามหาวิทยาลัย! ผู้เข้าแข่งขันนั้นคล้ายกับกองทัพนับพันที่พยายามจะข้ามสะพานที่ทำขึ้นมาจากท่อนซุงเพียงท่อนเดียว “การได้คะแนนสูงๆ ก็หมายความได้ว่า สามารถข้ามคนนับพันได้!” นี่มันวิเศษไปเลย!

ถ้าหากว่าเขาได้รับคะแนนพิเศษมาสิบหรือยี่สิบคะแนน จากนั้น โอกาสในการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเชินห่ายก็จะเพิ่มมากขึ้น!

“เยี่ยมไปเลย! ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สามารถจัดการคนทั้ง 3,000 คนเพื่อเข้าสู่ท๊อป 50และถูกรับเข้าเรียนโดยตรงได้...ขอแค่ฉันแสดงความฉลาดหลักแหลมออกมา และได้รับคะแนนพิเศษมาสัก 5 หรือ 10 คะแนน การมาที่นี่ก็ไม่ถือว่าขาดทุนแล้วล่ะ!”

ปากของหลี่เย้าแห้งจากการที่พูดมากเกินไป ความตื่นเต้นของเขานั้นมีมากเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาได้ เขารู้สึกแต่เพียงว่า มีพลังงานกำลังล้นเอ่อออกมาจากภายในร่างกายของเขา เลือดของเขาพลุ่งพล่านและไม่สามารถทนรอไปจนกระทั่งถึงวันพรุ่งนี้ ที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้นได้อีกต่อไปแล้ว

“ไม่ได้แล้ว ฉันต้องใจเย็นลงก่อนและนอนหลับให้เร็วที่สุด ฉันต้องออมพลังงานและความแข็งแกร่งเอาไว้ พรุ่งนี้เช้า คือวันตัดสินโชคชะตาของฉัน!”

หลี่เย้านอนลงไปบนเตียงนอน เขาใช้แขนทั้งสองข้างต่างหมอนหนุน เขาพยายามบังคับตัวเองให้นอนหลับ แต่ไม่ว่าเขาจะทำยังไง เขาก็ไม่สามารถหลับลงได้

ภาพของดาบปีศาจเผิงห่าย ที่ขับยานรบมิสติกเบิร์ดพุ่งผ่านอากาศมา ยังคงติดตาของเขาไม่หาย

ความอิสระและพลังที่กดดันสิ่งรอบตัวของเขา ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของหลี่เย้า มันต้องใช้เวลาอยู่นาน กว่าที่เขาจะสามารถลืมภาพนี้ได้

“ฉัน...ฉันจะมีโอกาสได้กลายเป็นเผิงห่ายคนที่สองบ้างไหมนะ?”

หลี่เย้าลืมตาและเห็นสนิมที่เกาะอยู่บนฝ้าเพดาน เขากลับตัว จนทำให้เตียงนอนของเขาส่งเสียงเอี๊ยดจากการขยับตัวของเขา

...

ในเวลาเดียวกันกับที่หลี่เย้ากำลังกลับตัวอยู่บนเตียงนอน ภายในห้องพักเดี่ยวเหนือศีรษะของเขาไปสองชั้น ซือเจียเสวี่ยก็กำลังต้อนรับแขกพิเศษอยู่

“ศาสตราจารย์เซี่ย ฉันติดหนี้คุณแล้วค่ะ ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง”

ซือเจียเสวี่ยพูดอย่างสุภาพ เธอกำลังต้อนรับผู้เชี่ยวชาญด้านอาร์ติเฟ็กซ์ของมหาวิทยาลัยเชินห่าย ศาตราจารย์เซี่ยวทิงเสียน

“เรียกฉันว่า ปู่เซี่ย ก็ได้ สาวน้อย เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวสุภาพกับฉันขนาดนั้นหรอก เพราะถึงยังไงปู่ของเธอกับฉัน เราก็เป็นเพื่อนเก่ากันมาเกือบร้อยปีแล้ว ฉันจำตอนที่เธอเกิดได้อยู่เลย ตอนนั้นฉันยังได้อุ้มเธอด้วยนะ ฮาฮาฮาฮา”

เซี่ยทิงเสียนพูดกลั้วหัวเราะ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “สาวน้อย เธอเรียกปู่เซี่ยมา มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ? แต่ขอพูดให้ชัดเจนก่อนนะ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับแข่งขันล่ะก็ ปู่เซี่ยคงช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอกนะ!”

ซือเจียนเสวี่ยหัวเราะ “ปู่เซี่ยคะ ความเชี่ยวชาญของหนูอยู่ในด้านการคำนวณและวิเคราะห์ข้อมูล หนูคิดว่า หนูคงจะเดินไปบนเส้นทางของผู้ฝึกตนประเภทบริหารในอนาคต แล้วมหาวิทยาลัยเชินห่ายก็ยังมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องของอาร์ติเฟ็กซ์ หนูคิดว่ามันคงจะไม่เหมาะกับหนูหรอกค่ะ...ดังนั้น ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูไม่ทำให้คุณปู่ต้องเดือดร้อนหรอกค่ะ”

ใบหน้าของเซี่ยทิงเสียนขึ้นสี “สาวน้อย อย่าตำหนิที่ปู่เซี่ยต้องใจแคบเลยนะ การเป็นแมวมอง ทำให้ทุกความสัมพันธ์กลายเป็นซับซ้อนมากขึ้น และบางครั้ง ปู่ก็จำเป็นต้องพูดในเรื่องที่ทำให้คนอื่นไม่พอใจบ้าง”

ซือเจียเสวี่ยพยักหน้าและนำคริสตัลโพรเซสเซอร์ออกมาจากกระเป๋าของเธอ แล้วส่งมันให้กันเขา

“หนูเข้าใจค่ะ ปู่เซี่ย ที่หนูขอให้คุณมาหาในครั้งนี้ หลักๆแล้วก็คืออยากจะขอให้คุณปู่ช่วยตรวจสอบคริสตัลโพรเซสเซอร์ให้น่ะค่ะ...นี่เป็นมรดกที่คุณยายของหนูทิ้งเอาไว้ให้ค่ะ มันเป็นของเก่าที่มีอายุกว่าร้อยปีแล้ว และไม่นานมานี้มันเกิดพังขึ้นมาน่ะค่ะ หนูได้หาคนมาซ่อมมันและตอนนี้มันก็ทำงานได้เหมือนเดิมแล้ว ตอนที่หนูใช้งาน มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะคะ แต่หนูไม่รู้ว่ามีส่วนไหนชำรุดอยู่อีกบ้างไหม ดังนั้น หนูเลยอยากจะให้คุณปู่ช่วยตรวจสอบดูให้ ไม่รู้ว่า คุณปู่จะสะดวกไหม?”

“โอ้ สรุปแล้วเป็นเรื่องนี้นี่เอง มันเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับปู่อยู่แล้วล่ะ”

เซี่ยทิงเสียนถอนหายใจโล่งอก และสีหน้าของเขาก็กลายเป็นสดใสขึ้น สายตาของเขาย้ายไปอยู่ที่คริสตัลโพรเซสเซอร์ แล้วเขาก็ส่งเสียง “หืม” ออกมา ดวงตาของเขาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความสนใจ

“มันคือคริสตัลโพรเซสเซอร์แบบใส่ท่อของนิกายเทียนฉินเหมินรุ่นวาสทูม7 เป็นของเมื่อ 144 ปีก่อน มันเป็นของเก่าที่หายากมากเลย การซ่อมแซมค่อนข้างดีเลยนะ ไม่เลว ไม่เลว เธอบอกว่า เธอขอให้บางคนซ่อมมันสินะ? เดี๋ยวนี้ คนที่จะสามารถซ่อมของเก่าแบบนี้ได้มีไม่มากหรอกนะ ฉันคงต้องตรวจดูให้ละเอียดซะแล้ว ถ้าส่วนประกอบด้านในได้รับความเสียหายขึ้นมา มันคงน่าเสียดายมาก!”

ซือเจียเสวี่ยไม่เห็นว่าเซี่ยทิงเสียนร่ายเวทอะไรออกมาเลย แต่เพียงแค่การโบกมือขวา คริสตัลโพรเซสเซอร์ก็ลอยเข้าไปอยู่ในฝ่ามือของเขา และหมุนวนอยู่อย่างนั้น มันดูราวกับ มีมือที่มองไม่เห็นกำลังควบคุมมันอยู่ ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นได้แยกออกจากกันทีละชิ้นๆ และลอยอยู่กลางอากาศ เผยให้เห็นรายละเอียดและความซับซ้อน ของโครงสร้างภายในคริสตัลโพรเซสเซอร์แบบใส่ท่อ

“นี่...”

เขาเห็นว่า ตัวระบายความร้อนที่ไร้รอยตำหนิของระบบทำความเย็นที่ใช้ในเครื่องซีพียูรุ่นใหม่ ได้เชื่อมเข้ากับคริสตัลโพรเซสเซอร์แบบใส่ท่อรุ่นเก่า โดยที่ไม่มีรอยตำหนิใดๆเลย เซี่ยทิงเสียนจ้องมองดูมันด้วยความสับสน

“เป็นยังไงบ้างคะ ปู่เซี่ย? มีปัญหาตรงไหนรึเปล่าคะ?” ซือเจียเสวี่ยเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา

“สาวน้อย เธอไม่ควรทำแบบนี้เลย...” เซี่ยทิงเสียนลากเสียงยาว

“หนู? เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”

ซือเจียเสวี่ยรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ บนใบหน้าที่น่ารักของเธอแสดงความไม่เข้าใจออกมา

เซี่ยทิงเสียนมองไปที่เธอและเห็นว่า เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขาก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “สาวน้อย คริสตัลโพรเซสเซอรของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอได้เอามันไปให้ผู้เชี่ยวชาญซ่อมมา”

“ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ยังได้ปรับโครงสร้างของตัวระบายความร้อนให้ด้วย เขาทำได้ยอดเยี่ยมมาก และเทคนิคในการติดตั้งของเขาก็ทำได้อย่างชำนาญ เขาไม่เพียงแต่จะทำให้ตัวเครื่องมีความเสถียรและการระบายความร้อนทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่เขายังได้เหลือพื้นที่เอาไว้ให้สามารถอัพเกรดในอนาคต เช่น การใส่ตัวระบายความร้อนเข้าไปเพิ่มอีกตัวหนึ่งด้วยวิธีเดียวกัน เพื่อให้ระบบระบายความร้อนมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย ด้วยวิธีการนี้ มันจะทำให้การทำงานของคริสตัลโพรเซสเซอร์เพิ่มขึ้นอีกกว่า 10%!”

“การที่เขามีความเข้าใจในคริสตัลโพรเซสเซอร์รุ่นเก่า และมีเทคนิคที่สุดยอดแบบนี้ได้ แสดงว่าเขาต้องเป็นนักประดิษฐ์คนหนึ่งใช่ไหม?”

“เธอควรจะรู้เอาไว้ว่า นักประดิษฐ์แต่ละคนนั้นจะมีรหัสของตัวเองอยู่ด้วย พวกเขาต่างก็มีความมั่นใจในงานของตัวเอง เธอได้เลือกให้คนคนหนึ่งซ่อมแซมสิ่งนี้ให้ แต่หลังจากนั้น เธอก็นำมันมาให้ฉันตรวจดูให้ การที่เธอไม่เชื่อมั่นในความสามารถของเขา มันถือได้ว่าเป็นการดูถูกเขาอย่างร้ายแรงเลยล่ะ!”

“เมื่ไหร่ที่เขารู้เรื่องนี้ขึ้นมา ไม่เพียงเขาจะแค้นเธอเท่านั้น แต่เขาอาจจะโยนความโกรธของเขามาลงที่ฉันด้วย! และอาจจะถึงขั้นท้าฉันเพื่อปะลองฝีมือกัน! เพื่อดูว่า ฉันมีคุณสมบัติพอที่จะตรวจสอบและซ่อมแซมงานของเขาหรือไม่!”

“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” ซือเจียเสวี่ยตกใจ

“เธอไม่ใช่นักประดิษฐ์ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะไม่รู้เรื่องในวงการนี้ ผลงานแต่ละชิ้นของนักประดิษฐ์ ล้วนแล้วแต่มาจากหยดเลือดในหัวใจของพวกเขา—ซึ่งเหมือนกับบุตรคนหนึ่งของพวกเขา พวกเขาไม่มีทางยินดีที่จะให้คนอื่นมายุ่งกับงานของพวกเขา! ในสถานการณ์แบบนี้ อย่างน้อยๆ เธอก็จำเป็นที่จะต้องแจ้งเขาและขออนุญาตจากเขาก่อน จากนั้น ฉันถึงจะสามารถตรวจสอบและทดสอบมันดูได้ แล้วเธอได้คุยกับคนที่เธอเอาไปให้เขาซ่อมรึยังล่ะ?”

ซือเจียเสวี่ยส่ายหน้าด้วยความงุนงง

“เอ่อ โอ้ ฉันก็สะเพร่าเองด้วย ฉันนึกว่า เธอแค่เอามันไปให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้ซ่อม ไม่คิดเลยว่า คนคนนั้นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ครั้งนี้ มันคงจะมีปัญหาอยู่บ้างแล้วล่ะ” เซี่ยทิงเสียนพูดออกมาอย่างท้อแท้

“แต่...แต่หนูเอาไปให้คนซ่อมแบบสุ่มๆจริงๆนะคะ แล้วเขาก็เป็นเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งเท่านั้น” ซือเจียเสวี่ยพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“อะไรนะ? เพื่อนนักเรียน...นักเรียนมัธยมปลายอย่างนั้นเหรอ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด