ตอนที่แล้วเล่ม1 : บทที่ 5 – การฝึกฝน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่ม1 : บทที่ 7 – เคล็ดวิชา

เล่ม1 : บทที่ 6 – อาจารย์


กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 6 – อาจารย์

“สารวัตร ท่านมีความเห็นยังไงกับเด็กนั่น?”

ชายอีกคนตรงหน้าต่างคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดออกมา

“ถ้ามิกกี้ใช้อาวุธและกำลังทั้งหมด เด็กนั่นจะไม่เหลือโอกาสแม้แต่นิดเดียว เขาใช้อายุและรูปร่างเพื่อประโยชน์ของตน ใช้คนของเราเพื่อฝึกฝนหลายสิ่งที่เขาเรียนรู้มาหลายปี เขาเป็นคนที่เก่งวางแผน ปรับตัวเก่ง ไร้ความกลัวต่อความเจ็บปวด และมีความมุ่งมั่นสูง เหตุการณ์มังกรเมื่อสิบปีก่อนคงจะยังฝังอยู่ในความคิดของเขาไม่มากก็น้อย เพียงคิดว่าเด็กนั่นจะไม่ยอมอ่อนข้อต่อความกระหายที่จะได้มาซึ่งพลัง เท่านี้ก็ทำให้ข้ากลัวขึ้นมาหน่อยแล้ว”

ความเงียบเข้าครอบงำทั้งห้องขณะที่ชายสองคนกำลังจ้องมองกลุ่มผู้พิทักษ์ในลานที่กำลังส่งเสียงโห่ร้องพร้อมกับมิกกี้ และตัดสินใจที่จะไปดื่มไวน์รอบค่ำกัน

“แล้วเราจะทำยังไงกับเขาดีครับสารวัตร?”

“ถ้าปล่อยเด็กนั่นให้เริงร่าแบบนี้ต่อไปจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแน่นอน ชัดเจนว่าเขาจะไม่หยุดค้นคว้าเคล็ดวิชา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาตั้งเป้าไว้ไกลเพียงใด”

“แล้วเราควรจะทำยังไงดีครับ”

ชายอีกคนหนึ่งทวนซ้ำ หลังจากทำงานร่วมกันมาหลายปีพวกเขาต่างมีความเข้าใจกันดีว่าบทสนทนาของพวกเขาเป็นอย่างไร เมื่อเห็นสารวัตรหลับตาใช้ความคิด เขาก็เงียบสนิท รอคำสั่งจากหัวหน้า

สารวัตรลืมตาขึ้นและถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา

“เราจะฝึกเขา”

* * * * *

ในขณะเดียวกันนั้น โนอาห์ก็ได้กลับมายังห้องพักและพบว่าแม่ของเขายังคงเก็บตัวอยู่ในห้อง หากตั้งใจฟังดีๆ ก็จะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ดังออกมาจากในห้อง

เขาไปอาบน้ำเพื่อชำระล้างคราบฝุ่นจากการทำงานของวันนี้ จากนั้นก็กินข้าวและเข้านอน

ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน คนรับใช้มาที่ห้องของเขาเพื่อปลุกเขาพร้อมกับภาชนะใส่น้ำ หลังจากส่งคนรับใช้ออกไป เขาก็ล้างหน้าและนั่งขัดสมาธิบนพื้น หายใจด้วยจังหวะที่แปลกออกไป เมื่อดำเนินการต่อไปด้วยความราบรื่น คุณก็จะได้เห็นว่าปกติแล้วโนอาห์ทำอย่างไรกับกระบวนการนี้

กล้ามเนื้อในร่ายกายของเขาเริ่มขยายใหญ่ขึ้นแต่ก็จะกลับไปสู่ขนาดปกติบ้างเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

หลังจากผ่านไปร่วมชั่วโมง เขาก็ลืมตาจากการนั่งสมาธิพร้อมด้วยคราบเหงื่อไคลทั่วร่างกาย

‘เคล็ดการหมุนเวียนน้ำแข็งและไฟเป็นวิธีเดียวที่จะเสริมสร้างกำลังกายผ่านการดูดซับ พลังงานหยาง ในช่วงกลางวัน และดูดซับ พลังงานหยิน ในช่วงกลางคืน ซึ่งห่างไกลจากมาตรฐานของผู้ฝึกตน แถมร่างกายยังขับน้ำด้วยพลังงาน ฉะนั้นขีดจำกัดของความแข็งแรงจะเท่ากับเด็กอายุสิบสี่ถึงสิบห้าปี เมื่อร่างกายจะเติบโตขึ้นกว่านี้ก็จะทำให้ดูดซับพลังงานได้มากขึ้น’

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและหยิบดาบเหล็กสั้นจากใต้เตียงออกมา เมื่อพลิกข้อมือ ดาบก็หายวับไปและปรากฏอีกครั้งในองศาที่เปลี่ยนไป หลังจากที่เขาออกกำลังกายเช่นนี้ด้วยสองมืออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นำดาบสอดกลับเข้าไปใต้เตียง จากนั้นก็นอนลงและผล็อยหลับไป

‘เคล็ดข้อมืออรสรพิษเป็นอุบายที่เอาไว้หลอกล่อศัตรูและปิดฉากด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มันไม่ถูกจัดอยู่ในเคล็ดการต่อสู้ การใช้งานเคล็ดนี้ถูกจำกัดด้วยปริมาณ “ลมหายใจ” ฉันสามารถควบคุมข้อมือได้ รูปแบบอื่นๆ ที่เรียนมาจากผู้พิทักษ์ก็คือส่วนของอาวุธที่ฉันยังคงใช้ไม่คล่องแคล่วนัก แล้วควรทำยังไงดี? ตอนนี้พวกผู้พิทักษ์คอยจับตาดูฉันอยู่ตลอด แถมยังไม่ยอมเผยข้อมูลอะไรอีกด้วย นี่ฉันต้องรอถึงสามปีเลยหรือกว่าจะได้เป็นผู้พิทักษ์ตระกูลอย่างเป็นทางการ? วิธีนี้มันช้าเกินไป โดยเฉพาะที่ฉันไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าที่มีค่าในช่วงระหว่างปีที่เหลือได้’

กลุ่มก้อนความคิดของเขายังคงดำเนินต่อไปขณะที่เขาเริ่มพิจารณาถึงหนทางที่ขัดต่อกฎมากขึ้น

‘ฉันคงต้องขโมยตำราจากผู้พิทักษ์มา แต่นั่นก็ทำให้ฉันต้องรู้ว่าเคล็ดใดที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง ใครที่มีเคล็ดอยู่ในรูปแบบของตำรา มันอาจทำให้ฉันต้องหลบหนีออกจากคฤหาสน์นี้ไปหลังจากนั้น มีโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนหรือความผิดที่คล้ายคลึงกัน’

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของลิลลี่ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเขา

‘ฉันคิดว่าฉันยังไปไม่ได้ เพื่อความแม่นยำที่มากขึ้น ฉันยังคงต้องอยู่ต่อไป นอกจากปัญหาของแม่แล้ว ปัญหาเรื่องเคล็ดก็ยังคงอยู่ ฉันรู้ดีว่าตระกูลนี้มีเคล็ดมากมายแต่ไม่มั่นใจว่าสถานการณ์ของโลกข้างนอกนั้นเป็นยังไง’

แสงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นในยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง

‘ช่างมันเถอะ บางทีฉันอาจจะเป็นคนโลภจนเกินไป ฉันรู้ดีว่าต้องไล่ตามพวกเด็กเหลือขอผู้โชคดีในตระกูลหลักให้ทันจนได้ ร่างกายของฉันยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และเคล็ดการหมุนเวียนน้ำแข็งและไฟก็จะคงอยู่ต่อไปจนกว่าจะอายุครบสิบแปดปี ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ฉันต้องเข้าไปยังเขตในผ่านคุณสมบัติของการเป็นผู้พิทักษ์และหลอกล่อพวกทายาทในตระกูลหลักให้หมด’

‘ไม่สิ กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือการที่ฉันหลอกพวกนั้นแล้วถูกฆ่าตายเพราะความโกรธ ชีวิตที่นี่สงบสุขมากเกินไป จนเริ่มลืมฐานะของตัวเองไปแล้ว คงไม่ประหลาดใจหากจะมีคนรับใช้สักคนหนึ่งที่นี่เอาข้อมูลไปบอกพวกคนเขตในหลังจากที่เห็นฉันแสงความสามารถต่างๆ เร็วกว่าที่ควรจะเป็น’

“เสร็จหรือยังคะคุณหนู ดิฉันเบื่อที่จะรอแล้วนะคะ”

เมื่อได้ยินเสียงนั่น ร่างกายของเขาก็พรวดพราดลุกขึ้นขณะวิ่งไปยังฝั่งตรงข้ามห้องที่เป็นประตู จากนั้นก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างและล้มลง เลือดไหลออกจากจมูกของเขาเข้ามาในปาก สิ่งที่เขาสะดุดล้มคือร่างของคนที่กำลังพูดคุยซึ่งเดินไปยังประตูก่อนที่เขาจะไปถึง

‘ข้ายังออกไปไม่ได้’

เขาพร้อมที่จะย้อนกลับไปที่เตียงเพื่อดึงดาบข้างใต้ขึ้นมาเมื่อชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเฉไฉ

“ใจเย็น ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายเจ้าหรอกนะ คิดว่าเป็นการยื่นข้อเสนอจะดีกว่า”

หลังจากที่ชายผู้นั้นพูดอีกครั้ง โนอาห์ก็หยุดและคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หันไปมองเขา

เขาดูอายุราวสี่สิบปี ความสูงหนึ่งเมตรเจ็ดสิบ ไม่มีเครา และมีผมสีทอง เขามีหน้าตาที่ดูสนุกสนานและมีรอยยิ้มเล็กน้อย

“เจ้าเป็นใคร?”

โนอาห์ถาม

“ข้าคือ วิลเลียม แชลลี รองสารวัตรผู้พิทักษ์เขตนอก ข้ามาที่นี่เพราะมีคำสั่งจากสารวัตรของผู้พิทักษ์มาฝาก เราต้องการคัดเลือกและฝึกฝนเจ้าก่อนที่เจ้าจะไปสร้างปัญหาขึ้นมา”

โนอาห์พูดไม่ออกไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของวิลเลียม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถาม

“แล้วปัญหาอะไรกันที่ข้าจะก่อขึ้นมา ผู้พิทักษ์แต่ละคนล้วนให้คำชี้แนะกับข้าถึงวิธีการฝึกฝนด้วยจิตอาสาทั้งนั้น”

เขาสวมรอยยิ้มที่สดใสที่เท่าที่จะทำได้ เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังอยู่ในร่างของเด็กชายวัยเพียงสิบขวบเท่านั้น

“พับผ่าสิ เรารู้ว่าเจ้าเรียนเคล็ดข้อมืออสรพิษสำเร็จแล้ว และเรื่องที่เจ้าโกหกในการต่อสู้กับมิกกี้อีก เจ้ายังคิดที่จะโกงบรรดาทหารของข้าเรื่องเคล็ดห่วยๆ อย่างเคล็ดการเหวี่ยงน้ำแข็งและไฟเช่นนั้นต่อไปน่ะหรือ? สิ่งนั้นเป็นเพียงการเลียนแบบเคล็ดของผู้ฝึกตนก็เท่านั้นแหละ”

โนอาห์รู้สึกกลัวขึ้นมาที่ได้รู้ว่าการปิดบังของเขาถูกพบอย่างง่ายดาย และรู้สึกหมดกำลังใจเมื่อได้ยินว่าเคล็ดที่สมบูรณ์ที่สุดที่เขาเรียนมาถูกพิจารณาเป็นเพียงแค่ การลอกเลียนแบบ

ขณะกำลังมองชายผู้ที่กำลังยิ้มให้อยู่ตรงหน้า ในที่สุดเขาก็ถามออกไปคำถามหนึ่งที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่

“ท่านจะสร้างให้ข้ากลายเป็นผู้ฝึกตนที่สามารถต่อสู้กับมังกรได้หรือไม่?”

วิลเลียมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจากความใสซื่อที่แฝงอยู่ในคำถาม เขามองโนอาห์และสัมผัสถึงความตั้งใจของเขา เขาเลือกที่จะตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา เขาถอนหายใจเล็กน้อยและหุบยิ้ม

“เส้นทางสู่การฝึกตนเป็นเส้นทางของบุคคนั้นๆ ผู้คนทั่วไปแม้มีเคล็ดที่ดีที่สุดก็มิอาจก้าวข้ามไปถึงขั้นอัครบิดรได้ในชีวิตนี้ ในขณะที่คนอีกกลุ่มที่มีเคล็ดการหายใจทั่วไปอาจแยกท้องฟ้าออกเป็นสองส่วนได้ ข้าจะไม่ปิดบังใดๆ กับเจ้า ข้าไม่สามารถสอนเคล็ดที่ดีที่สุดที่ตระกูลบัลวันมีให้กับเจ้าได้ แต่ที่แน่นอนก็คือข้านำเจ้าไปสู่เส้นทางของการฝึกตน การพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะขอให้เจ้าพิจารณาฐานะของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้ามี...”

“ข้าขอน้อมรับตามที่ท่านต้องการ!”

ก่อนที่วิลเลียมจะทันได้จบประโยค โนอาห์ก็พูดแทรกขึ้นมาทันที เขามองโนอาห์ และมองเห็นได้ถึงความบริสุทธิ์ใจที่เขามีก่อนจะหายไป โดยถูกแทนที่ด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยความตั้งใจและเจ้าเล่ห์

‘ช่างเป็นเด็กที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้ เจ้าทำให้ข้ารู้สึกต้องตั้งท่าป้องกันตัวอยู่ตลอดเวลา’

วิลเลียมคิดในใจก่อนที่จะกลับมาสวมรอยยิ้มบนใบหน้า และพูดออกไปอย่างมีความสุข

“ต่อจากนี้ไป จงเรียกข้าว่า อาจารย์!”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด