ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0645 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0647 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0646 [อ่านฟรี]


ตอนที่ 646 : เกาะยุทธ์อสูร

ฉินหยุนตระหนก เพราะหยางฉีเย่ว์ เซี่ยฉีโหรว และเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ควรให้เขาปลุกความทรงจำจากชาติภพก่อนขึ้นมา!

กระทั่งปิงชิงก็ด้วย!

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเห็นฉินหยุนจมดิ่งในความคิดจึงโพล่งเสียงดังใส่ “พี่ชาย ข้าไปแล้ว!”

“อา ให้ข้าไปส่งแล้วกัน” ฉินหยุนถอนหายใจ

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยสวมใส่หน้ากากอีกครั้ง ก่อนจะตามฉินหยุนออกจากพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์

“ระวังตัวด้วย!” ฉินหยุนโบกมือลาเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เดิมเขาคิดให้นางอยู่ต่อเพื่อช่วยขัดเกลาจารึกวิญญาณ

ทว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่คิดอยู่ต่อนานนัก ชัดเจนว่านางคิดหลบหน้า ไม่ต้องการหลุดปากบอกเรื่องราวต่อเขา

ฉินหยุนกลับห้องตนเอง ความรู้สึกสับสนวนเวียน เขากล่าวกับหลิงหยุนเอ๋อ “หยุนเอ๋อ ข้าจำได้ว่าเจ้าบอก ความทรงจำจากชาติภพก่อนหน้าของข้าอยู่ในจิตวิญญาณ แต่เพราะจิตวิญญาณข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ จึงทำให้ไม่อาจตื่นรู้มันขึ้นได้ใช่หรือไม่?”

“ใช่!” หลิงหยุนเอ๋อตอบ “อันที่จริง เป็นเพราะจิตวิญญาณของเจ้ามีความทรงจำมากมายผนึกเอาไว้ ด้วยสภาพจิตวิญญาณของเจ้าตอนนี้ คงไม่มีทางแบกรับการตื่นรู้ความทรงจำจำนวนมหาศาลขึ้นได้!”

“แต่เย่ว์เหม่ยได้นี่!” ฉินหยุนกล่าว “ครั้งพี่หยาง ก็เป็นหลังนางได้ผสานรวมกับวิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬ แต่เย่ว์เหม่ยเล่า นางไม่น่าทำได้ง่ายขนาดนั้นกระมัง?”

“ข้าไม่อาจทราบแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อรู้สึกว่าเรื่องราวค่อนข้างแปลก นางครุ่นคิดไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวคำ “เสี่ยวหยุน พวกนางต่างเห็นพ้องต้องกัน คือพวกนางไม่คิดให้เจ้าได้ทราบถึงชาติภพก่อน มันต้องมีเหตุผลเบื้องหลังสิ!”

“ชาติภพก่อนข้าเป็นคนเลวร้ายเพียงนั้น? แต่เย่ว์เหม่ยยังดีต่อข้าเช่นเดิม แม้นางทราบแล้วว่าชาติภพก่อนข้าคือผู้ใด!” ฉินหยุนนอนลงกับเตียง ภายในห้วงความคิด มีแต่เรื่องนี้วนเวียน

“เย่ว์เหม่ยเป็นการตื่นรู้ความทรงจำในภายหลัง ดังนั้น... นางจึงยอมรับเจ้า อย่างไรแล้ว ตัวเจ้าในช่วงชีวิตนี้ก็ดูแลนางอย่างดียิ่ง!” หลิงหยุนเอ๋อบอกความคิดของตนเองแก่ฉินหยุน

ฉินหยุนเองก็ทราบ ว่าหากตัวเขาเอาแต่มีห่วงติดพันต่อเรื่องนี้ มันจะทำให้ความคิดของเขาเตลิด นอกจากนี้แล้ว เขายังไม่อาจต่อต้านฝืนปลดผนึกความทรงจำได้

“หยุนเอ๋อ เจ้าคิดว่าภายหน้าหากมีโอกาส ข้าควรปลดผนึกความทรงจำเหล่านั้นหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“ข้าคิดว่ายังไม่ปลดผนึกจะดีกว่า ทุกสิ่งอย่างควรหยุดรอ จนกระทั่งเจ้าเข้าสู่แดนเซียนอ้างว้าง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ตามที่ข้าคิด เย่ว์เหม่ย พี่หยางของเจ้า และเย่ว์หลาน ต่างต้องเคยมีข้อพิพาทกับเจ้าในชาติภพก่อน ด้วยความทรงจำของพวกนางค่อย ๆ ตื่นรู้ขึ้นมา พวกนางต่างมองเจ้าเป็นคนใหม่แล้ว!”

“บางทีอาจเป็นเพราะ พวกนางรู้สึกว่าช่วงชีวิตนี้เจ้าเป็นคนที่ดียิ่ง ดังนั้นพวกนางจึงไม่อยากให้เจ้าต้องคลายผนึกความทรงจำของชาติภพก่อน พวกนางเป็นกังวล ว่าเจ้าจะกลับกลายเป็นคนผู้นั้น และพวกนางจะต้องเสียเจ้าไป!”

ฉินหยุนพอคิดตาม เขาค่อยรู้สึกว่าเรื่องราวสมเหตุสมผล

“คงเป็นข้าคิดเกินไปเอง! โดยสรุป สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้น และหาทางไปยังแดนเซียนอ้างว้างให้ได้โดยเร็วที่สุด!” ฉินหยุนกล่าวอย่างหนักแน่น

หากคำกล่าวของเขาถูกผู้อื่นได้ยิน คงต้องโดนหัวเราะเยาะเป็นแน่แท้

เพราะมีแต่เซียน จึงสามารถเข้าสู่แดนเซียนอ้างว้าง

แน่นอนว่าตัวตนครึ่งเซียนสามารถไปได้ กระนั้นคิดผ่านเส้นทางสวรรค์สู่แดนเซียนอ้างว้าง มันเป็นเรื่องยากมหาศาล หลังจากเข้าสู่เส้นทางดังกล่าว ผู้คนส่วนใหญ่มักต้องตายตก

ฉินหยุนเชื่อมั่น ว่าตนจะสามารถฝึกฝนร่างเซียน ด้วยวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ เขาคิดว่าการเป็นครึ่งเซียนจะไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

“ไม่แปลกใจที่เย่ว์เหม่ยสามารถพูดคำกล่าวอันลึกล้ำเช่นนั้น กระทั่งจ้าวสำนักหอขุนเขาดาบกระบี่ยังอึ้ง!”

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฉินหยุนรู้สึกว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยยังเป็นตัวนาง นางไม่แปรเปลี่ยนไปแม้เพียงนิดเพราะการตื่นรู้ความทรงจำจากชาติภพก่อน

ดังนั้น นางก็คงไม่มีอะไรให้ต้องน่าเป็นห่วงหากังวลถึงมากนัก

ก่อนหน้า เขายังกังวลถึงความปลอดภัยเชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่ต้องออกเดินทาง ทว่าตอนนี้ ความทรงจำของนางได้กลับคืน เช่นนั้นย่อมต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน

* * *

งานประลองยุทธ์ใกล้เข้ามาแล้ว!

อีกเพียงยี่สิบวันเท่านั้น

วันนี้ ฉินหยุนถูกหอพิทักษ์กฎเรียกตัว หลงเฉียวเฟิง เจี้ยนรั่วหยาน รวมถึงชายหนุ่มจากตระกูลเย่ว์ต่างมาพร้อมหน้า

ชายหนุ่มจากตระกูลเย่ว์นามเย่ว์ผูเฟิง อยู่อันดับที่สี่ ตัวตนของเขาค่อนข้างธรรมดา และไม่ค่อยพูดกล่าววาจาใด

กระนั้น เขากลับเป็นผู้ที่ค่อนข้างสุภาพ เมื่อได้เห็นฉินหยุน เขาได้เผยยิ้มสุภาพทักทาย

สี่อันดับสูงสุดของเทียบอันดับยุทธ์เต๋า ต่างมารวมตัวกันที่นี่

ในห้องโถงใหญ่ของหอพิทักษ์กฎ แม่เฒ่าหม่าในชุดดำก้าวเดินเข้ามา

“ท่านยายหม่า เหตุใดจึงมีแค่สี่คนจากเทียบอันดับยุทธ์เต๋า?” เจี้ยนรั่วหยานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“กฎของงานประลองยุทธ์เปลี่ยนแปลงกะทันหัน! ห้าสำนักเซียนได้รับสี่ตำแหน่ง! สำนักจันทรา และสำนักดวงดาว รวมถึงห้าตระกูลใหญ่ต่างได้สองตำแหน่ง ส่วนสำนักและตระกูลอื่นได้รับหนึ่งตำแหน่ง!”

“นอกจากนี้แล้ว ยังมีตำแหน่งว่างปรากฏ! ตำแหน่งว่างเหล่านั้นทางงานประลองยุทธ์จะใส่เข้าไปเอง”

คำกล่าวของแม่เฒ่าหม่า สร้างความตื่นตะลึงแก่ฉินหยุนและคณะ

หลังจากกฎแปรเปลี่ยน มันหมายความถึงมีผู้เข้าร่วมงานประลองยุทธ์น้อยลง

ฉินหยุนลอบยินดี ที่แต้มของเขาไม่ร่วงหล่นไปเกินอันดับสี่ หากไม่แล้ว เขาคงไม่ถูกเลือกตัวมาอย่างแน่นอน

“ท่านยายหม่า หอขุนเขาดาบกระบี่ถูกจัดเป็นสำนักอื่นด้วยใช่หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“ใช่!” แม่เฒ่าหม่าตอบกลับมาอย่างเฉยชา

เจี้ยนรั่วหยานยิ้มกล่าว “ตระกูลจี ตระกูลตงฟาง พวกสิบตระกูลชั้นรองต่างก็ถูกนับเป็นตระกูลอื่นด้วยเช่นกัน!”

หลงเฉียวเฟิงเอ่ยถาม “ท่านยายหม่า ผู้ที่เข้าร่วมได้รับการยืนยันแล้ว? ไม่ใช่ว่าพวกเรายังมีอีกยี่สิบวันก่อนเริ่มงานหรือ?”

“ผู้เข้าร่วมถูกกำหนดไว้หมดแล้ว งานประลองยุทธ์ก็ใกล้จะเริ่มแล้วด้วย! ยี่สิบวันหลังจากนี้ คืองานประลองอย่างเป็นทางการ ทว่าพรุ่งนี้ คือการเริ่มงานประลองอย่างไม่เป็นทางการ!” แม่เฒ่าหม่ากล่าวตอบ

ฉินหยุนและคณะต่างมองกันเองด้วยอาการตื่นตะลึง

“อะไรคืองานประลองยุทธ์ไม่เป็นทางการ?” เจี้ยนรั่วหยานเอ่ยถาม

“ในงานประลองยุทธ์ ศิษย์ที่เหนือล้ำจากหลายสถานที่จะเข้าร่วมแข่งขัน! สุดท้ายแล้ว จะมีเพียงสิบหกคนที่ได้เข้าร่วมงานประลองยุทธ์เป็นทางการ เพื่อได้ขึ้นสู้บนสังเวียน!” แม่เฒ่าหม่ากล่าว “ก่อนหน้านั้น ย่อมต้องเป็นงานประลองไม่เป็นทางการ เพื่อคัดเลือกทั้งสิบหกคนขึ้นมา!”

สีหน้าแม่เฒ่าหม่าจริงจังขณะกล่าวคำ “ขั้นตอนการคัดเลือกค่อนข้างอันตราย กระทั่งอาจสูญเสียชีวิต ดังนั้นแล้ว เมื่อเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ไม่เป็นทางการ สิ่งสำคัญคือเอาชีวิตรอด!”

แท้จริงมันถึงกับอันตรายเพียงนั้น!

ฉินหยุนย่อมไม่คิดหวาดเกรง เพียงแต่ยังมีข้อสงสัย

“เริ่มพรุ่งนี้แล้ว? มีเนื้อหาประกาศออกมาแล้วหรือ?” เจี้ยนรั่วหยานค่อนข้างดูตื่นเต้น

“เนื้อหาคือโยนพวกเจ้าไปไว้ที่เกาะยุทธ์อสูร! ที่เกาะยุทธ์อสูร มีสัตว์ราชันอสูรที่เหนือล้ำอยู่สิบหกตัว”

“ศิษย์ผู้ซึ่งสามารถสังหารสัตว์ราชันอสูร จะได้รับแก่นผลึกแก้ว นั่นถือเป็นตั๋วเข้าร่วมงานประลองยุทธ์รอบเป็นทางการ!” แม่เฒ่าหม่ากล่าว

“ง่ายดายนัก!” ฉินหยุนพบว่าเรื่องราวไม่คล้ายมีอันใดผิดแผก

แม่เฒ่าหม่าส่ายศีรษะ “ไม่ง่ายแม้สักนิด! ที่เกาะยุทธ์อสูร มันมีอสูรแข็งแกร่งอยู่จำนวนมาก อสูรนานาชนิด รวมถึงวิญญาณร้ายต่างถูกกักขังอยู่ที่นั่น นอกจากนี้แล้ว พวกมันยังอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม”

“ที่เกาะยุทธ์อสูร พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานอาวุธ! นั่นก็เพราะม่านพลังของเกาะยุทธ์อสูร เป็นเหล่าผู้อาวุโสของตำหนักจารึกเทวะร่วมมือกันสร้าง เมื่ออาวุธและอุปกรณ์ปลดปล่อยพลังออกมา พวกมันจะถูกม่านพลังดูดหายเข้าไป!”

หลงเฉียวเฟิงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “อสูรและวิญญาณร้ายในเกาะยุทธ์อสูรแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”

“วิญญาณร้ายที่ถูกกักขังอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ! ส่วนสัตว์ราชันอสูรทั้งสิบหกตัว พละกำลังพวกมันทัดเทียมขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ!” คำกล่าวของแม่เฒ่าหม่า เป็นผลให้สีหน้าของฉินหยุนเจื่อนลง

เจี้ยนรั่วหยานกลับเป็นฝ่ายเผยรอยยิ้มยินดี “ข้าสามารถใช้ดาบทั้งสอง พวกมันไม่สมควรมีปัญหาใช่หรือไม่?”

“ดาบต้นกำเนิดของผู้ฝึกตนดาบ ไม่ถูกนับเป็นอาวุธจริง ดังนั้นจึงสามารถใช้งาน!” แม่เฒ่าหม่ากล่าว

ฉินหยุนเผยสีหน้าไม่ยินดี หากเป็นเช่นนี้ เจี้ยนรั่วหยานก็ไม่ต่างอะไรกับไปเดินเล่นพร้อมดาบสองเล่มในมือ

“แม่นางผู้กล้าหาญ ให้ข้ายืมดาบเจ้าได้หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างไร้ยางอาย

“ฝันไปเถอะ!” เจี้ยนรั่วหยานกล่าว “กระทั่งว่าข้าให้เจ้าหยิบยืมได้ ดาบข้าก็ไม่ยอมรับเจ้า!”

ฉินหยุนแสยะยิ้มกล่าวคำ “ต่อให้ข้าไม่มีอาวุธ ก็ย่อมคว้าเอาแก่นสัตว์ราชันอสูรมาได้! ย้อนกลับไป เป็นข้าเอาชนะเจี้ยนหนันหู่ด้วยมือเปล่าด้วยซ้ำ! กระทั่งว่าไม่มีอาวุธ ข้าก็ยังแข็งแกร่งกว่าเจ้า!”

“เจ้า... ในช่วงหลายเดือนมานี้ การฝึกฝนข้าย่อมคืบหน้ามหาศาล เจ้าหาได้ใช่คู่ต่อสู้ของข้าไม่!”

ในเขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์ เจี้ยนรั่วหยานฝึกฝนเพิ่มพูนกำลังตนเองอย่างหนักหน่วง

นั่นคือสิ่งที่ปิงชิงบอกกล่าวต่อฉินหยุน เพราะเจี้ยนรั่วหยานตลอดมาเชื่อมั่น ว่านางคิดเอาชนะฉินหยุนเมื่อใดย่อมสามารถกระทำ

“อย่างนั้นพวกเราคงได้เข้ารอบสุดท้ายด้วยกัน ถึงตอนนั้น คงได้ประมือกันแล้ว!”

ฉินหยุนยิ้มกล่าวต่อ “แล้วก็หวังว่าเจ้าคงไม่คิด ว่าตนเองเป็นผู้เดียวที่ฝึกฝน เมื่อเจ้าคืบหน้า ข้ายิ่งคืบหน้ายิ่งกว่า!”

“ฉินหยุน ข้าเป็นกังวลนักว่าเจ้าจะไม่อาจชิงเอาแก่นสัตว์ราชันอสูรมาได้!” เจี้ยนรั่วหยานแสยะยิ้ม “แต่อย่าได้กังวลไป เมื่อถึงเวลา กระทั่งว่าเจ้าหามาไม่ได้ ข้าจะช่วยเจ้าหามาให้ เพื่อที่เจ้าจะได้เข้ารอบสุดท้าย ถัดจากนั้น ข้าค่อยมีโอกาสได้เอาชนะเจ้าต่อหน้าผู้คนมากมาย!”

ฉินหยุนยิ้มหัวเราะ “วิเศษนัก เมื่อใดเจ้าเข้าไปที่เกาะแล้ว เร่งรีบช่วยเหลือข้าคว้าเอาแก่นผลึกสัตว์ราชันอสูรมา ข้าเป็นกังวลนักว่าตนเองจะไม่อาจหามาได้!”

“บัดซบ!” เจี้ยนรั่วหยานตะโกน นางค่อยตระหนักได้ว่าฉินหยุนวางแผนล่อลวงต่อนาง

แม่เฒ่าหม่ากล่าว “เอาละ พวกเจ้าจงระวังศิษย์ของสำนักอื่นในเกาะยุทธ์อสูรให้ดี! ที่นั่นได้รับอนุญาตให้สังหารกันได้!”

เจี้ยนรั่วหยานขมวดคิ้ว “ฉินหยุน เจ้าคล้ายตกอยู่ในปัญหาใหญ่แล้วกระมัง! หุบเขาเซียนโอสถ ตระกูลหลง ตระกูลหยาง ตระกูลเทียน ขุนเขาเซียนอัคคีคราม กระทั่งตระกูลเย่ว์ พวกเขาต่างคิดอยากจัดการเจ้ากันทั้งสิ้น”

“จริงด้วย ยังมีตระกูลขยะเช่นตระกูลจี ห้าสำนักดวงดาว นี่เจ้าช่างแส่หาเรื่องไปทั่วยิ่งนัก!”

“แม่นางผู้หาญกล้า อย่าได้ห่วงหาข้าไป! กระทั่งเจี้ยนหนันหู่ข้ายังชนะได้ หากสวะพวกนั้นคิดแสวงหาความตาย ข้าก็ไม่ลังเลที่จะช่วยส่งเสริมพวกมัน!” ฉินหยุนยิ้มตอบ เขาไม่กังวลถึงเรื่องนั้นแม้แต่น้อย

แม่เฒ่าหม่านำเอารถลากบินได้ออกมา บอกต่อฉินหยุนและคณะให้ขึ้นโดยสาร

“รั่วหยาน ฉินหยุน! พวกเจ้าทั้งสองแข็งแกร่ง ดังนั้นทั้งสี่คนดีที่สุดหากเคลื่อนไหวลงมือด้วยกัน หากเป็นไปได้ ช่วยกันล่าแก่นผลึกสัตว์ราชันอสูรมาให้ได้!” แม่เฒ่าหม่ากล่าว “ร่วมมือกันสามารถกระทำ กฎมีเพียงแค่ห้ามผู้ใดถือครองแก่นผลึกสัตว์ราชันอสูรเกินกว่าหนึ่ง!”

“แม่นางผู้กล้าหาญ เมื่อใดพวกเราถึงที่นั่น ข้าจะฟังคำสั่งเจ้า!” ฉินหยุนปรบมือยกยอเจี้ยนรั่วหยาน

“เจ้านี่มัน! ก็ได้ ข้าย่อมช่วยปกป้องชีวิตอันเล็กจ้อยให้แก่เจ้า แม้ศัตรูเจ้ามีทั่วทุกหัวระแหงในโลกหล้า ทว่าด้วยนามข้า เจี้ยนรั่วหยานย่อมพร้อมสะกดข่มสวะเหล่านั้นให้!” เจี้ยนรั่วหยานเผยท่าทีหาญกล้าออกมา

พวกเขาทั้งสองประหนึ่งหมาหยอกไก่ต่อกัน พิจารณาให้ดีย่อมทราบ ว่าทั้งสองไม่ได้มีความเกลียดชังใดฝังลึก

เจี้ยนรั่วหยานมองที่หลงเฉียวเฟิงพร้อมกล่าวคำ “หลงเฉียวเฟิง ตระกูลหลงของเจ้าและฉินหยุนมีข้อพิพาทต่อกัน อย่าได้คิดแทงหลังฉินหยุนระหว่างอยู่ที่เกาะยุทธ์อสูร หากไม่แล้ว ข้าคงต้องจัดการเจ้าในฐานะผู้นำกลุ่ม!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด