ตอนที่แล้วบทที่ 6: เสียงแตกหักอันแสนรุงแรง! ความเศร้าโศกของปริศนาแท่งไม้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 8: การแก้แค้นของสโนว์ไวท์

บทที่ 7: การอ่านใจ พรสวรรค์ทางสายเลือดของอลิซ


บทที่ 7: การอ่านใจ พรสวรรค์ทางสายเลือดของอลิซ

ตกต่ำ นั่นคือความประทับใจแรกของเฉินรุยต่อเมืองพระจันทร์ดับ

ไม่แน่ใจว่าเมืองอื่นในอาณาจักรมารจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ ทั้งวังและอาคารส่วนใหญ่ของอาณาจักรมารนั้นดูเก่าๆ มีร้านค้าและแผงขายของเล็กน้อยตามทาง มารที่เขาเห็นระหว่างทางส่วนใหญ่ก็น่าเกลียดรวมถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ด้วย เมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยซากปรักหักพังและยังดูเลวร้ายมากพอสมควร

เมื่อมองไปที่ใบหน้าของมาร มันก็ทำให้เฉินรุยรู้สึกกลัว หากตัวตนของเขาถูกเปิดเผยในตอนนี้ เขาจะต้องตายหรือไม่ก็ต้องเจออะไรที่แย่ๆ อย่างแน่นอน

“เฮ้! เจ้าเดินตรงๆ หน่อยได้ไหม? อย่าไปจับขาตัวเองสิ ผ่อนคลายไหล่ของเจ้าหน่อย!” เสียงของอาเธน่าขัดจังหวะสิ่งที่เฉินรุยกำลังคิด “แม้เจ้าจะเป็นผู้ชาย แต่เด็กๆ จากตระกูลเวลส์ไม่ว่าจะคนไหนก็ยังดูแข็งแกร่งกว่าเจ้ามากเลยนะ!”

อันที่จริง เฉินรุยอยากจะบอกเสียเหลือเกินว่าเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา ไม่ใช่ผู้ชายแบบที่นางคิด แต่สาเหตุที่ท่าทางของเขาดูแปลกๆ ในตอนนี้ มันก็เพราะเขากำลังนั่งอยู่บนหลังแรดสามเขาตัวบักเอ้ก อีกทั้งเขายังกลัวว่าตัวเองจะหล่นลงไปโดนตัวอะไรกินอีกก็ไม่รู้

"ข้าขอโทษ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้นั่งบนตัวเจ้าตัวใหญ่นี้” เฉินรุยเริ่มคิดว่าทำไมโลกนี้ถึงไม่มีอะไรที่เหมือนกับโกลนและอานม้า ในตอนนั้นเอง เขาก็กำลังจะเริ่มคิดถึงสิ่งประดิษฐ์

สักพักหนึ่ง เขาก็สังเกตเห็นว่าอลิซสามารถทรงตัวบนแรดสามเขาได้สบายๆเลย ซึ่งมันแตกต่างกับเขามากโคตรๆ

“เจ้าไม่เห็นจะต้องกำมือแน่นเลยสักนิด! ผ่อนคลายซะ!” อาเธน่าตำหนิ

ไม่แน่ใจว่าโลลิน้อยเข้าใจเขาหรือเปล่า อยู่ดีๆ นางก็พูดขึ้นมาว่า“อาเธน่า ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ แน่นอนว่านี้มันเป็นครั้งแรกของเขา ก็ไม่แปลกหรอกที่จะเป็นแบบนี้”

ประโยคนี้ทำให้เฉินรุยเกือบจะตกจากแรดสามเขา มารที่อยู่ระหว่างทางก็สังเกตเห็นถึงท่าทางอันแปลกประหลาดของเขา พวกเขาจึงชี้ไปที่เขาและเริ่มนินทา โชคดีที่เฉินรุยสวมเสื้อคลุมอยู่ ดังนั้นตัวตนของเขาจึงยังไม่ถูกเปิดเผย ซึ่งพวกมารต่างก็ไวต่อกลิ่นอันน่าสงสัยของเขา แต่ก็ไม่มีใครคนใดเลยที่กล้าเข้าใกล้เจ้าหญิงและอาเธน่า

เมื่อมาถึงประตูเมือง แรดสามเขาก็ได้หยุดลง

“เจ้าหญิงอลิซ ท่านจะไปที่ใดกัน?” คนที่หยุดแรดสามเขานั้นคือมารชายติดอาวุธคนหนึ่ง ทั้งสูงและมีกล้ามเนื้อ มีผิวสีแดง เขางอขนาดใหญ่สองเขาบนศีรษะของเขา ใบหน้าของเขาดูพร้อมใส่ได้ทุกคน เขาคงจะเป็นมารตัวจริงเสียจริงเลย

“โอ้ เป็นผู้ตรวจการอลันนี้เอง ท่านกำลังที่จะสอบสวนส่วนตัวหรือไงวันนี้” อลิซยิ้มเบาๆ “เรากำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบสีฟ้า”

อลันขมวดคิ้ว “มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทะเลสาบสีฟ้าเมื่อเร็วๆ นี้ ข้ากังวลว่ามันจะเป็น มังกรพิษ ที่กำลังหลับใหลอยู่ ข้าได้ส่งหน่วยสอดแนมไปสำรวจแล้ว เจ้าหญิงอลิซ ท่านควรรอให้เรายืนยันความปลอดภัยก่อนที่จะไปเล่นที่นั่น”

“มังกรพิษได้หลับมาหลายพันปีแล้ว นอกจากนี้ยังมีผนึกแสงและความมืดที่แข็งแกร่งที่สุดจากเจ้าพระอาทิตย์เที่ยงคืนด้วย ดังนั้นมันก็คงจะไม่มีปัญหาใดหรอ” อลิซชี้ไปที่เฉินรุย “นอกจากนี้ข้าไม่ได้ออกไปเล่นด้วย…นี่คือศิษย์ใหม่ของอาจารย์อัลดาซ อาจารย์ขอให้ข้าพาเขาไปที่ทะเลสาบสีฟ้าเพื่อรวบรวมสมุนไพร”

ในบรรดาการเล่นแร่แปรธาตุทั้งสองสาขาแล้ว ถ้าเป็นอาจารย์ด้านกลศาสตร์ พวกเขาก็จะรู้สึก "เคารพ" แต่ถ้าเป็นอาจารย์ด้านการปรุงยา พวกเขาก็จะรู้สึกต่ออีกฝ่ายว่า "น่าเกรงขาม" เพราะพวกเขานั้นเกรงกลัวพิษและผลเสียจากมันมากกว่าผลดีของมันเสียอีก

ซึ่งคำที่มักจะใช้กับอาจารย์นักปรงยาผู้นี้คือ น่ากลัวและเป็นอันตราย ไม่ควรไปหาเรื่องด้วยสักนิดเดียว อัลดาซนั้นเป็นคนประเภทนี้ เสียงร้องอันน่าหวาดกลัวจากตัวทดลองของมักจะดังก้องอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่ยามเฝ้าวังก็ไม่กล้าเข้าใกล้สักนิดเดียว พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าทำไมเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ของพวกเขาจึงเอาตัวตนที่เป็นอันตรายแบบนี้ไว้ในลานด้านนอกของวัง

สำหรับปรมาจารย์นักปรุงยาที่ลึกลับและน่ากลัวเช่นนี้ พอได้ยินว่ามีลูกศิษย์ใหม่มา อลันก็ต้องการที่จะรู้เหลือเกินว่าเป็นผู้ใด ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็จ้องไปที่คนใส่เสื้อคลุม และในเวลาเดียวกันนั้น อลิซก็ได้บอกให้เฉินรุยถอดเสื้อคลุมออก

“นี่มันมนุษย์ที่เราจับได้ในครั้งที่แล้ว!” ทหารที่อยู่ข้างหลังอลันกรีดร้องออกมา ทันใดนั้นสายตาที่เหมือนกับศัตรูก็ได้จ้องมองไปที่เขาแทบทุกทิศทาง เขาพยายามทำให้ตัวเองดูเป็นธรรมชาติ แต่เหงื่อเย็นเหยียบได้แต่ไหล่ลงมาจากหน้าผากของเขา

อลันนั้นรู้ตัวตนของเฉินรุยเร็วกว่าทหารคนอื่น เพราะเขาจำได้ว่า ตอนเขานำข่าวมาให้เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ ปรมาจารย์อัลดาซก็ได้เข้ามา เขาได้ขอนำมนุษย์ไปทำการทดลองของเขา ตอนนี้นักโทษหรือทาสคนนั่นได้กลายมาเป็นเด็กฝึกหัดของปรมาจารย์ผู้นี้จริงๆ งั้นเหรอ?

อลิซแนะนำเขาให้รู้จักกับอลันโดยไม่แยแสอะไร “ชื่อของมนุษย์ผู้นี้คือ เฉินรุย เนื่องจากความสามารถของเขาในด้านการปรุงยา เขาจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของอาจารย์อัลดาซและได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองพระจันทร์ดับของเรานับจากนี้เป็นต้นไป”

จากนั้นอาเธน่าก็ได้กล่าวอย่างมุทะลุว่า “นี่คือสิ่งที่อลิซกับข้าได้ยินมากับหูในวันนี้ หากเจ้ายังมีข้อสงสัยใดๆ เจ้าสามารถไปถามอาจารย์อัลดาซได้ด้วยตัวเองเลย!”

“อาเธน่า ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้ ข้า…”

ทัศนคติของอลันต่ออาเธน่านั้นค่อนข้างแปลก ก่อนที่เขาจะพูดจบ อาเธน่าก็ได้ขัดจังหวะอย่างเย็นชา“อลัน การสอบถามของเจ้าควรจบลงได้แล้ว อย่าทำให้เวลาการรวบรวมสมุนไพรของพวกข้าเสียเปล่า!”

ด้วยท่าทางของอาเธน่าที่แสดงออกมา เขาจึงได้บอกกับอลิซไปว่า“เจ้าหญิงน้อย หากเป็นแบบนี้ ข้าคงจะต้องส่งทหารไปปกป้องท่าน”

อลิซยิ้มและถามว่า “เจ้าเป็นห่วงว่าอาเธน่าไม่สามารถปกป้องข้าได้งั้นหรือ?”

อาเธน่าเลิกคิ้วที่สง่างามของนางและดวงตาสีแดงของนางก็ส่องแสงเปล่งประกายออกมา อลันส่ายหัวอย่างรวดเร็วและพูดกับเฉินรุยอย่างเย็นชา“ มนุษย์! อย่าพยายามหลบหนีหรือเล่นตุกติกล่ะ ไม่อย่างนั้น ตัวข้าคนนี้จะบดกระดูกเจ้าทุกชิ้นเอง

หลังจากที่อลันกล่าวจบแล้ว เขาก็โค้งคำนับต่อเจ้าหญิงน้อย เพื่อบอกให้พวกเขาสามารถผ่านไปได้เลย

จากนั้นแรดที่มีสามเขาทั้งสี่ตัวก็ได้ออกจากประตูเมืองพร้อมเสียงฝีเท้าอันหนักแน่น ภายในเมืองพระจันทร์ดับ ก็ได้มีข่าวว่าท่านอาจารย์อัลดาซได้คัดเลือกศิษย์เป็นมนุษย์ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

“จริงๆ แล้ว ข้าคิดว่าอลันก็ไม่เลวเลยนะ สถานะครอบครัวของเขาและของเจ้าเองนั้นเข้ากันเป็นอย่างดี” อลิซหัวเราะในขณะที่มองอาเธน่า “ถ้าเขาไม่ขอแต่งงานกับพ่อของเจ้าด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้า เจ้าคงจะไม่เกลียดเขามากขนาดนี้”

พอได้ยินแบบนั้น อาเธน่าก็พูดอย่างเหยียดหยาม “ข้าไม่ได้ชอบเขาตั้งแต่แรก! ผู้ชายคนนี้ทั้งขี้ขลาดและไร้ความสามารถ อาศัยอิทธิพลของตระกูลคารอนเพื่อเป็นผู้ตรวจการ รู้แค่วิธีรังแกผู้อ่อนแอ เขาไม่มีความสามารถเลยจริงๆ”

เมื่อได้ฟังจากที่นางพูดแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าสาวผู้แสนรุนแรงคนนี้ทำไมปฏิบัติตนกับอลันแบบศัตรู

“การเดินทางก่อนหน้านี้เราไปที่ป่าฝนสีดำกัน มันต้องเป็นเขาแน่ที่เปิดโปงความลับนี้กับท่านหญิง ข้าเกลียดคนแบบนี้เป็นที่สุด” อาเธน่าพูดเยาะเย้ย“ยังคิดพยายามที่จะมาข้องเกี่ยวกับข้าอีกงั้นเหรอ? มาถามดาบของข้าก่อนเถอะ!”

“ถูกต้องแล้ว อาเธน่าเป็นของข้า ไม่มีใครสามารถเอาเจ้าไปได้” โลลิน้อยหัวเราะ “เร่งความเร็วกัน!”

แรดที่มีสามเขาเริ่มเร่งความเร็ว มันยากที่จะเชื่อว่าความเร็วที่รวดเร็วขนาดนี้เป็นของแรดตัวใหญ่

สำหรับเฉินรุยที่ไม่มีเครื่องมือช่วยแบ่งเบาควาเจ็บปวดอย่างอาน การต้องนั่งเช่นนี้เป็นอะไรที่ทรมานมาก เขาทำได้แค่ก้มตัวกอดอกอย่างแนบแน่นเท่านั้น ซึ่งทั้งที่เขาทำขนาดนั้นก็ยังเกือบตกลงไปแล้ว

อาเธน่าพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการเปลี่ยนพาหนะของนางให้กับเขา เมื่อเห็นหญิงสาวผู้แสนรุนแรงนั่งอยู่บนหลังของแรดยักษ์ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วได้ เฉินรุยก็ได้แต่ยอมรับความอ่อนด้อยของตน

เมื่อเทียบกับความทรงจำของอาเธอร์ถึงโลกมนุษย์ด้านบนแล้ว สภาพแวดล้อมอาณาจักรมารนั้นแย่กว่ามาก แหล่งกำเนิดแสงมาจาก "ดาว" สองดวงบนท้องฟ้า แม้ว่าจะถูกเรียกว่าเป็น "ดาว" แต่แสงสว่างและความร้อนนั้นน้อยกว่าดวงอาทิตย์ของโลก ส่วนใหญ่มันถูกปกคลุมไปด้วยเมฆและควันในอากาศ ในช่วงเย็น พวกมันก็กลายเป็น "ดวงจันทร์" พร้อมกับเปล่งประกายความเยือกเย็นจางๆ ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนนั้นแตกต่างกันมากๆ

ตลอดทาง มีหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการกัดกร่อนโดยสามารถมองเห็นได้ทั่ว ทั้งยังมีถ้ำแปลกๆ ที่ทั้งมืดและลึกลับพร้อมกับพืชแปลกๆ ด้วย จนทำให้เกิดเป็นภูมิทัศน์ที่แสนจะมืด แต่กลับสวยงาม

ทะเลสาบสีฟ้าปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยภูเขา สภาพแวดล้อมนั้นเงียบสงบเป็นพิเศษ น้ำสีฟ้า พืชริมทะเลสาบและดอกไม้อันแสนงดงาม เหมือนสวรรค์ในโลกอันแสนมืดมิด

อย่างไรก็ตามเฉินรุยได้ฟังจากอลิซมาว่า น้ำในทะเลสาบนั้นเป็นสีฟ้าเพราะมังกรพิษขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่กำลังหลับใหลอยู่ที่ก้นทะเลสาบ พิษจากร่างของมันย้อมทะเลสาบให้กลายเป็นสีน้ำเงิน

ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเลยในทะเลสาบอยู่เลย พืชที่เขียวชอุ่มริมทะเลสาบส่วนใหญ่ก็มีพิษสูง นอกจากนี้ ยังมีดอกไม้ที่ดูสวยงามอยู่ชนิดหนึ่ง ซึ่งที่จริงแล้วเป็นพันธุ์กินเนื้อ รูปลักษณ์ที่สวยงามและน่าดึงดูดของมันก็ได้มาจากเลือดและเนื้อของเหยื่อ

พลังของมังกรนั้นค่อนข้างน่ากลัว โดยเฉพาะมังกรหายากที่มีพิษอีก การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของมันอาจทำให้ประชาในเมืองสูญพันธุ์ได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะไปยั่วยุมัน มังกรมีพิษตัวนี้นอนหลับใหลในทะเลสาบมาหลายพันปีแล้ว

สี่ร้อยปีก่อน ดินแดนของพระจันทร์ดับได้เกิดสงครามกลางเมือง เมื่อชายผู้แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรมาร เจ้าพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้นำกองทัพและผ่านทะเลสาบสีน้ำเงินไป แต่เขาเองก็ไม่กล้าที่จะไปทำให้มังกรพิษตัวนี้ตื่น เพื่อที่จะให้มันหลับต่อไป เขาจึงได้ตั้งใจลงตราประทับ ผนึกแห่งแสงและความมืด ใส่ไว้รอบๆ ด้วย

“มีกฏในอาณาจักรปีศาจด้วยนะว่า สิ่งที่สวยงามมักจะอันตรายเสมอ”

เฉินรุยเห็นด้วยกับคำพูดของอลิซเลย ซึ่งเขาก็ได้เพิ่มอีกประโยคหนึ่งเข้าไปในใจของเขา นั่นคือต้องระวังพวกมารสาวด้วย

เจ้าหญิงน้อยที่แสนจะน่ารักสุดๆ ซัคคิวบัสที่พร้อมจะดูดวิญญาณ นักรบดาบสาวผู้แสนกล้าหาญ มีข้อไหนบ้างที่ไม่อันตราย?

มังกรนั้นได้หลับใหลใต้ทะเลสาบ มันไม่ใช่เรื่องแต่ง อาเธน่าเองก็ไม่กล้าที่จะยุ่งกับมันด้วย นางเลือกจุดที่ดูปลอดภัยและจัดเตรียมของเพื่อจะขึ้นไปชมวิวใกล้ๆ ทะเลสาบ

“ข้าไม่ได้มาที่ทะเลสาบสีเงินมานานแล้ว อาเธน่า เจ้าจำครั้งก่อนได้ไหม?” อลิซพูดออกมาด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง “ครั้งนี้เราก็มาถึงกันแล้ว มาปิกนิกอีกกันเถอะ”

อาเธน่าลังเลเล็กน้อย “ไม่ใช่อลันพึ่งบอกหรือว่าเกิดเรื่องแปลกประหลาดที่ทะเลสาบสีเงิน? รีบๆเก็บผลไม้แล้วกลับกันเถอะ”

“เจ้าเชื่อในสิ่งที่อลันกล่าวด้วยเหรอ?” อลิซส่ายศีรษะของนางอย่างไม่เห็นด้วย “ถ้าเจ้าชวนเขามา เขาก็คงจะบอกว่ามังกรพิษได้ถูกกำจัดไปแล้ว ทะเลสาบสีฟ้านั้นคงจะปลอดภัยกว่าห้องน้ำบ้านของเขาเสียอีก”

“ข้าไม่มีทางตอบรับคำเชื้อเชิญเจ้าคนน่ารังเกียจแบบนั้น!” อาเธน่าพูดและตอบตกลงต่อสิ่งที่อลิซต้องการ “ก็ได้งั้น เคีย เจ้าไปเก็บแก้วมังกรหยก ข้าจะไปล่า เฮ้ มนุษย์ เจ้าไปช่วยอลิซจัดเตรียมสถานที่”

อันที่จริงเพื่อเพิ่มความก้าวหน้าของระบบสุดยอด เฉินรุยต้องการจะลองดอกไม้พิษของที่แห่งนี้  แต่เมื่อพิจารณาถึงดอกไม้กินเนื้ออันน่าสยดสยองและมังกรในทะเลสาบ เขาก็ยอมแพ้ต่อความคิดนี้ทันที

หลังจากที่เคียและอาเธน่าจากไป อลิซก็ได้สั่งเฉินรุยมากมาย สร้อยข้อมือที่ข้อมือของนางเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเก็บสิ่งของได้ แต่คุณภาพไม่สูงมาก เพราะพื้นที่ด้านในนั้นไม่ใหญ่เท่าไรนัก ทว่าของข้างในก็มีเพียบ ผลก็คือ ทันทีที่เปิดมันออกมา กลุ่มสิ่งของมากมายได้กระจัดกระจายทั่ว

เฉินรุยต้องช่วยนางในการทำความสะอาดและเขาก็ได้ตั้งใจ "ยก" กองบราขึ้นมา บางชิ้นมันมีขนาดใหญ่ซะเหลือเกิน เฉินรุยรู้สึกประหลาดใจ ปฏิกิริยาแรกของเขาคือ โลกนี้ดันมีของแบบนี้อยู่แล้วเหรอ? ปฏิกิริยาที่สองคือ ขนาดนี้ไม่เห็นจะตรงกับสัดส่วนของโลลิน้อยเลย บางทีอลิซอาจจะเก็บมันไว้ใช้เป็น 'เครื่องราง' หรือเปล่านะ?

ภายใต้การจ้องมองของอลิซ เฉินรุยก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นกองสิ่งของต่างๆ และกลับไปจัดการชิ้นอื่นๆ พอเมื่อเขาหันกลับไป กองของต่างๆ ก็ได้อันตธานหายไปแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะกลับไปอยู่ในช่องเก็บของของอลิซแล้ว

ไม่นานนัก ก็ได้มีชุดปิกนิกออกมาเต็มทั่วพื้นที่ ดูเหมือนว่าโลลิน้อยจะได้เตรียมพร้อมสำหรับเวลานี้มานานแล้ว

ในขณะนั้นเอง อาเธน่าและเคียก็ยังไม่ได้กลับมา พอไม่เห็นใครอยู่รอบๆ อลิซก็ได้เดินตรงไปหาเฉินรุยทีละก้าว เฉินรุยรู้สึกประหม่าครู่หนึ่งและถามว่า“เจ้าหญิงน้อย มีอะไรงั้นเหรอ?”

“ไฉนเจ้าถึงพูดเช่นนั้นออกมาเล่า?” อลิซพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแปลกๆ “เจ้าควรจะพูดว่า อย่าเข้ามาใกล้มากกว่านี้นะ ไม่อย่างงั้นข้าจะเรียกให้คนมาช่วย! พอจากนั้นข้าก็จะได้พูดว่า แม้ว่าเจ้าจะกรีดร้องจนไร้ซึ่งเสียง ก็คงจะไม่มีใครมาช่วยเจ้าหรอก!”

เฉินรุยพูดไม่ออกและได้แต่กลอกตา จากนั้นเขาก็ถามขึ้นมาว่า“ถึงข้าจะตะโกนจนหมดเสียงแล้วก็เถอะ แต่ไอ้คนที่จะมาช่วยข้ามันจะมาได้ยังไงกันงั้นเหรอ?”

อลิซมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ “แสดงว่าบนโลกมนุษย์มีหนังสือ 'ราชาปีศาจและเจ้าหญิง' อยู่ด้วยสินะ”

เฉินรุยได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเหลืออด แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ดูเหมือนว่าโลกใบนี้จะมีหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาณาจักรหรือเผ่าพันธุ์

แต่เขาก็ยิ้มไม่ออกในทันที เพราะอลิซดันพูดขึ้นว่า “เล่าเรื่องดีๆ ให้ข้าฟังที เหมือนกับเรื่องยุคดึกดำบรรพ์ที่เล่าก่อนหน้านี้ มันช่างเป็นจินตนาการที่ล้ำเลิศซะจริง”

หัวใจของเฉินรุยเต้นเร็วและเขาก็แย้งว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นเหตุการณ์จริง! หากข้าไม่ได้สืบทอดความคิดของท่านอาจารย์หงอคง ข้าจะสร้างเส้นทางฮัวหยงและปริศนาแท่งไม้ได้ยังไง?”

“ข้าจะบอกความลับกับเจ้าที่แม้แต่อาเธน่าก็ไม่รู้” อลิซพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ “เมื่อข้าพบเจ้าครั้งแรก ข้าก็ได้ปลุกหนึ่งในพรสวรรค์ที่ไม่เหมือนใครของลูซิเฟอร์ที่มีชื่อ อ่านความคิด และ…ข้าก็ได้ทดสอบมันกับเจ้าโดยไม่ตั้งใจ”

เฉินรุยตกใจและไม่สามารถพูดได้ซักพัก

ไม่ได้ตั้งใจบ้านเจ้าสิ!

ติดตามผู้แปลได้ที่ แฟนเพจ:แปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด