ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปกฏแห่งมารตอนที่ 2

กฏแห่งมารตอนที่ 0+1


ปีศาจตอนที่ 0

บทที่ 0 ลูกชายของเอิร์ล

เมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เรามักจะพบเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในนั่น แม้แต่ผู้นำที่ชาญฉลาดยังยากเลยที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

พงศาวดารของจักรวรรดิ บทที่ 35 หมายเหตุ 7 ในยุคโรแลนที่ 12

ในช่วงบ่ายของฤดูร้อนวันนี้ ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาซึ่งลอยบนท้องฟ้ายังคงมีความร้อนที่แผ่รังสีออกมาอย่างไร้ความปราณี เพื่อเป็นการต้อนรับเฉลิมฉลองชัยชนะ เหล่ายามนับไม่ถ้วนต่างก็สวมเกราะสีแดงล้อมรอบท่าเรือหนึ่งไว้ มันหนาแน่นจนแทบจะไม่สามารถมีน้ำไหลผ่านไปได้เลย

และรอบๆท่าเรือ ก็มีทหารรักษาความปลอดภัยที่อัดแน่นอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ พวกเขามีจำนวนมาก เสื้อผ้าล้วนแล้วแต่ขาด อินทรธนูที่เคยสว่างไสวก็หม่นหมองลง หมวกของพวกเขาก็ปลิวว่อนกันไปทั่ว แม้แต่รองเท้าบูทของพวกเขาที่เหยียบย่ำมานับครั้งไม่ถ้วนก็ด้วย

สิ่งที่ทำให้ทหารรักษาความปลอดภัยหนึ่งพันคนหมดหวัง นั้นก็คงเป็นเพราะพวกเขาได้รับคำสั่งที่จะต้องให้มาเผชิญหน้ากับชาวเมืองหลวงที่มีจำนวนกว่าห้าหมื่นคน

ฝูงชนมากมายต่างเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น มีทั้งดอกไม้ เสียงเชียร์ เสียงปรบมือและแน่นอนว่ามีกลุ่มผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่พร้อมมอบจูบให้กับพวกเขาหรือแม้กระทั่งความบริสุทธิ์ ในความโกลาหลเช่นนี้ ทหารรักษาความปลอดภัยกว่าหนึ่งพันคนต่างก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังอยู่บนเรือที่กำลังโคลงเคลงพร้อมจะจมอยู่ทุกเมื่อ

ตอนนี้ พวกเขาล้วนแล้วแต่อิจฉาผู้คุมที่ท่าเรือ ซึ่งสามารถจัดระเบียบขบวนตัวเองได้อย่างสบายๆ ทั้งนี้อาวุธและชุดเกราะของพวกเขายังใหม่เอี่ยมอีก

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวออกัสตินที่หกได้ทรงมีรับสั่งให้คลองสีฟ้าอันแสนใหญ่โตได้ขยายเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า! ด้วยเหตุนี้จักรวรรดิจึงลงทุนคนทำงานนับหมื่นคนเป็นเวลาครึ่งปี โดยจ่ายเงินโดยมีราคาเทียบเคียงทองคำนับสามล้านชิ้น

และเหตุผลในการลงทุนครั้งนี้คือ การปล่อยให้เรือเดินสมุทรของกองทัพเรือเดินทางที่ยิ่งใหญ่ลำดับที่ 6 ของเรือทัพหลวงแดงตะวันตกผ่านไปยังท่าเรือประตูตะวันออกของจักรวรรดิ เพื่อที่จะแสดงถึงศักยภาพของจักรวรรดิรวมถึงการได้รับเสียงยินดีปรีดาของเหล่าประชาชนด้วย

ซึ่งไม่มีใครสนใจเลยสักนิดว่าของพวกนี้มีมูลค่าเท่าใด

เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนแรกของราชวงศ์ที่ได้ยกคำคัดค้านได้ถูกจักรพรรดิผู้โกรธเกรี้ยวขับไล่ไปยังชนบท และรัฐมนตรีการคลังที่ประสบความสำเร็จมีเพียงทางเลือกเดียวที่ทำได้ นั่นคือการใช้สมองของเขาและค้นหาทั่วทุกสิ่งจากตะวันตกไปยังตะวันออก เพื่อที่จะคั้นเหรียญสุดท้ายของจักรวรรดิและตอบสนองชายชราผู้แสนฟุ่มเฟือยผู้นั้น

แน่นอนว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องการที่จะฝังศพชายชราคนนี้ภายในใจของเขา ลึกมากๆ ลึกมากๆๆๆจริงๆ

เมื่อพระอาทิตย์ยามบ่ายมาถึง เรือก็เริ่มที่จะพาดผ่านมายังคลองแห่งนี้ ผู้คนต่างส่งเสียงเชียร์ก้องออกมา

ตามแนวแม่น้ำ เรือรบขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาใกล้ท่าเรืออย่างช้าๆ โครงร่างที่น่าเกรงขามทำให้ทุกคนที่เฝ้ารอคอยมันอยู่ต่างก็ตกตะลึง

ของกองทัพเรือเดินทางที่ยิ่งใหญ่ลำดับที่ 6 ของเรือทัพหลวงแดงตะวันตก ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของกองทัพเรือจักรวรรดิ นั่นเป็นเรือรบขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในพิธีต้อนรับนี้ เรือรบได้รับการทาสีใหม่และซ่อมแซมโดยการเคลือบสีดำจนทำให้น่ากลัวขึ้น ท่ามกลางเสียงเชียร์ เรือทัพหลวงแดงตะวันตกก็เริ่มเข้ามาใกล้ท่าเรืออย่างช้าๆ ราวกับสัตว์ร้ายสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งก็ได้มีธงดอกบานหนามกระพืออยู่บนเสากระโดง

ในขณะที่เรือจอดทอดสมอ ผู้คนหลายหมื่นคนที่รออยู่ต่างก็โยนหมวกนับไม่ถ้วนขึ้นไปบนฟากฟ้า รองเท้าจำนวนนับไม่ถ้วนเหยียบย่ำลงกับพื้นและมีบ้างที่สูญหายไป ขาของผู้คนนับไม่ถ้วนเองก็ต่างฟกช้ำด้วยการกระแทกกันไปมา และทหารรักษาความปลอดภัยที่น่าสงสารพวกนี้ จำเป็นที่จะต้องทำทุกอย่างที่จะทำให้ฝูงชนเลิกโกลาหล

เอิร์ลเลแมนผู้บัญชาการกองเรือเดินสมุทรของจักรวรรดิได้ยืนอยู่ที่หัวเรือพร้อมกับมองลงไปที่ผู้คนที่กำลังส่งเสียงเชียร์

นี่คือ จอมพลผู้มีอายุสามสิบเก้าปี เอิร์ลแห่งจักรวรรดิ เขาสวมเครื่องแต่งกายที่ดูยิ่งใหญ่เปล่งประกายไปทั่ว เสื้อคลุมสีแดงเองก็สะบัดอยู่ด้านหลังของเขา สองเหรียญบนหน้าอกของเขาเผยให้เห็นว่าเขาเคยเข้าร่วมภารกิจสำรวจของกองเรือเดินสมุทร และไม่ต้องสงสัยเลยว่า การได้รับชัยชนะครั้งนี้จะทำให้เขาได้รับเหรียญที่สามของจักรพรรดิ

สายตาของเอิร์ลผู้นี้ค่อนข้างที่จะดูเกียจคร้าน สายตาของเขาไม่ได้มองไปที่กลุ่มผู้คนที่ส่งเสียงเชียร์เลยและหากสังเกตดีๆแล้ว จะพบว่าคิ้วของเขาขมวดเข้ากันจนดูเหมือนจนเป็นคนใจร้อนเลย

บ้าเอ้ย ไอ้เกราะเฮงซวยนี้ทั้งหนักและไร้สาระชะมัด!

ในฐานะทหารกองทัพเรือ เอิร์ลผู้นี้ไม่เชื่อว่าการสวมใส่ชุดเกราะหนักเช่นนี้จะเหมาะสำหรับการรบทางเรือ มันแค่เป็นการแสดงตามคำสั่งของทหาร สำหรับการสวมใส่เหรียญพวกนี้ เอิร์ลผู้นี้ก็คิดว่าความคิดทั้งหมดนั้นไร้สาระยิ่งกว่าเดิมอีก มันก็เหมือนกับคนรวยที่เพิ่งจะพบหนทางร่ำรวยที่แท้จริง ไม่มีทางที่พวกเขาจะทำอะไรแบบนี้ เขารู้สึกแค่ว่า การกระทำแบบนี้ก็เป็นเพียงแค่การคงศักดิ์ศรีของตนไว้เพียงเท่านั่น

ยิ่งกว่านั้นแล้ว ฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์ด้านล่างก็เสียงดังเกินไป เสียงไชโยโห่ร้องของพวกเขาเหมือนกับสึนามิที่กระทบกับคลื่นลูกใหญ่ จนคลื่นพวกนี้ส่งเสียงกัดเซาะหูจวนเจียนจะหมดความอดทน

จากนั้นเขาก็ได้มองลงไปที่ดาดฟ้าโดยไม่รู้ตัว

เพื่อเป็นการจัดเตรียมสำหรับพิธีนี้ เรือทัพหลวงแดงตะวันตกจึงได้รับการทาสีใหม่ เมื่อสามวันที่แล้ว คราบเลือดเก่าๆบนดาดฟ้าก็ได้ถูกลบออก ต้นไม้บนดาดฟ้าที่เคยอยู่ร่วมรบก็ได้ถูกนำไปใช้แล้วและแม้แต่ส่วนหน้าของเรือที่ไว้ใช้เจาะเรือของศัตรูก็ถูกแทนที่ไปด้วยของไร้สาระ โถ้เวรเอ้ย ไอ้พวกขี้ประจบประแจงจักรพรรดิมันดันเอารูปแกะสลักมาแทนส่วนเจาะเรือซะงั้น แถมมันยังบอกอีกว่าคนที่แกะสลักเป็นช่างของจักรพรรดิ

สำหรับเรื่องนี้ กองทัพเรือจักรวรรดิได้จ่ายเงินพิเศษไปกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญทอง

ความยิ่งใหญ่ของการต่อสู้คือความสง่างามของการต่อสู้ แต่คนงี่เง่าพวกนั้นไม่ทราบหรือว่า ในการรบทางเรือหลังจากเรือรบปะทะกัน สิ่งแรกที่ถูกทำลายก็คือส่วนที่ใช้เจาะเรือ?

ดูเหมือนว่าเขาจะใช้จ่ายเงินหนึ่งหมื่นเหรียญทองเป็นของไร้ประโยชน์ซะได้ แทนที่จะเป็นงานของช่างแกะสลักผู้ชำนาญการ เสาเข็มที่แหลมคมดูจะมีประโยชน์มากกว่า

ในความเป็นจริง ลึกลงไปในใจของเอิร์ลเลแมนก็คิดอย่างลับๆว่า แม้แต่การจัดทัพที่ 6 นี้ก็เป็นอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมากๆแล้ว

เป็นเวลาหลายสิบปีที่จักรวรรดิได้ทำการสำรวจพื้นที่ทะเลทางใต้ซ้ำหลายๆครั้ง

เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีเกาะมากมายนับไม่ถ้วนในทะเลทางใต้ มันเหมือนกับไข่มุกในมหาสมุทร มีป่าแปลกๆ ชนเผ่ายุคหินแสนป่าเถื่อน ทองคำ อัญมณี สิ่งมีชีวิต ความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องทะเล

แต่เอิร์ลผู้นี้ไม่คิดว่า การออกไปพร้อมกับเรือรบขนาดใหญ่นับโหลนี้เพื่อไปข่มขู่เรือคายัคของชนเผ่าดั้งเดิม จะเรียกได้ว่าเป็นนักสำรวจ

มันเหมือนกับการปล้น การสังหารหมู่ การบุกรน การปล้นสะดม มันเป็นการปล้นแบบหน้าด้านๆ!

ซึ่งเอิร์ลผู้นี้ก็ไม่เชื่อว่ามีอะไรที่ผิดปกติกับเรื่องพวกนี้ ผู้อ่อนแอมักจะถูกผู้แข็งแกร่งกลืนกินเสมอ ดังนั้นแล้ว คนที่อ่อนแอย่อมต้องตกเป็นเหยื่อ แต่เขาเชื่อว่า ความผิดพลาดในนโยบายของจักรวรรดิในเรื่องทะเลทางใต้นั่นเป็นเรื่อง: การสำรวจที่บ่อยจนเกินไปและผลตอบแทนที่ได้รับมาก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ

ในการสำรวจสองหรือสามครั้งแรก กองทัพเรือของจักรวรรดิผู้ยิ่งใหญ่นั้นได้จัดการเรือลำอื่นลำแล้วลำเล่า จนได้รับทองคำ อัญมณี เครื่องเทศและสินค้าทางทะเลมามาก มันแทบทำให้ทั่วทั้งจักรวรรดิรู้สึกยินดีถ้วนหน้า

แต่หลังจากนั้นเอง แม้แต่ยุ้งฉางที่อุดมสมบูรณ์ก็มิอาจที่จะสามารถเก็บเกี่ยวซ้ำๆได้ การปล้นมากเกินไปได้ทำลายเผ่าดั้งเดิมใกล้ชายฝั่งและกองกำลังทัพเรือจึงเลือกเดินทางต่อไป มุ่งหน้าไกลออกไป ไกลออกไป จนเส้นทางการเดินทางของพวกเขาเริ่มไกลออกไปอีก

ท้ายที่สุด ทะเลทางใต้ไม่ได้ประกอบไปด้วยชนเผ่าพื้นเมืองที่ถูกรังแกอย่างง่ายดายและมันก็ไม่ได้มีแค่ทองคำกับอัญมณีเท่านั้น แต่ยังมีอากาศแสนร้อน สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คลื่นยักษ์นับไม่ถ้วน หินโสโครก น้ำวน พายุ

การเก็บเกี่ยวชั่วคราวพวกนี้ได้เปลี่ยนสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดของจักรวรรดิไปสู่ทุ่งร้างและป่ารก ซึ่งทุกๆครั้งการเก็บเกี่ยวก็เริ่มลดลงไป แต่ถึงอย่างนั้น การเฉลิมฉลองหรือพิธีพวกนี้กลับยิ่งใหญ่ขึ้นเสียทุกครั้งไป

เอิร์ลเลแมนได้เป็นผู้สั่งการเดินทางสามครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นทำให้เอิร์ลผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังในทะเลใต้ จึงทำให้จอมพลทหารเรือผู้นี้มีหลายชื่อในทะเลทางใต้:

โจร! อำมหิต! เพชฌฆาต! มือของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดของชนพื้นเมือง ในหัวใจของชนเผ่าดั้งเดิมที่เขาเป็นผู้รุกราน เขานั้นเปรียบเสมือนกับปีศาจผู้ชั่วร้ายที่เผาบ้านของพวกเขาพร้อมกับทำให้เป็นทาส

แน่นอนว่าท่านเอิร์ลผู้นี้ไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจก็คือ การรุกรานที่มากเกินไปจนทำให้เกิดการพัฒนาที่ผิดปกติในหมู่ชนพื้นเมืองพวกนี้ โดยเฉพาะในด้านการทหาร ก่อนที่เขาจะกลับมาในครั้งนี้ เขาได้ยินมาว่า มีบางประเทศในหมู่เกาะชนเผ่าดั้งเดิมได้รวมตัวกันในที่ๆห่างไกลของทะเลทางใต้ เพื่อที่จะต่อต้านกองกำลังทหารของจักรวรรดิ

โชคดีที่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกังวลอีกต่อไป เขารู้ดีว่านี่เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว ต่อจากนี้ไป เขาจะอยู่ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิและหากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาจะรับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของจักรวรรดิโดยใช้เวลาแปดหรือสิบปี จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีด้านทหารในปัจจุบันเกษียณไป ถ้าเขามีโชคสักหน่อย บางทีเขาอาจจะประกอบอาชีพทางการเมืองในปีต่อๆไป จากนั้นก็ใช้อำนาจของตน เพื่อที่จะได้ไปเป็นนายก

สำหรับการเดินทางพวกนั้นนะเหรอ ช่างแx่งมันสิ นั่นคือเรื่องกังวลของผู้บัญชาการกองทัพเรือคนต่อไปต่างหาก

แม้ว่าชาวพื้นเมืองพกวนั้นจะพัฒนาไปถึงจุดที่พวกเขาสามารถสร้างปืนใหญ่เวทมนตร์ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาอีกแล้ว

ในหมู่เสียงเชียร์มากมายนั้น เขาจ้องมองจากข้างบนลงสู่ข้างล่างไปยังฝูงชน และในที่สุด เขาก็ได้ยืนอยู่ต่อหน้าพื้นดินของจักรวรรดิแล้ว! เขาโบกมือให้กับฝูงชน แต่การกระทำของเขาเหมือนกับการตวัดมือไปมาในทันที

ก่อนอื่นเลย เจ้าหน้าที่นั้นกำลังอ่านคำแถลงการอย่างเป็นทางการจากจักรพรรดิพร้อมกับคำสรรเสริญและบอกให้เขาฟังว่าพรุ่งนี้เขาจะต้องไปรับรางวัลที่พระราชวัง

ดูเหมือนว่าความปราถนาของเขาจะสัมฤทธิ์แล้ว โอกาสทางการเมืองของเขาเองก็สดใส

แต่ก็ได้มีคนใช้ที่สวมเสื้อผ้าสีเทาที่อยู่ในหมู่ฝูงชนเดินเข้ามาพร้อมกับกระซิบเข้าเบาๆในหูของเขา จนทำให้หัวใจของเอิร์ลผู้นี้ตกลงไปยังตาตุ่ม

มันเป็นข่าวจากที่บ้าน

การเดินทางครั้งนี้ผ่านไปนานหลายปีบนทะเลอันไร้ขอบเขต ซึ่งข่าวเองก็มาถึงด้วยความยากลำบาก เลแมนยังไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่บ้านเลย

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ภรรยาและลูกของเขา เมื่อสามปีก่อน เมื่อเขาออกจากการรบ ภรรยาของเขาก็เจียนจะคลอดแล้วและเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นบุตรชายหรือสตรี!

ข่าวจากบ้านที่แจ้งมาคือ: บุตรชาย

แต่เห็นได้ชัดเลยว่า เด็กแรกเกิดคนนี้ปัญญาอ่อน

ข่าวร้ายชิ้นนี้ชิ้นนี้ทำให้เขาแทบจะตกลงไปสู่ห้วงอารมณ์แห่งความทุกข์ทั้งๆที่มีความสุขมากๆ

นี้มันข่าวร้าย!

ผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนในเมืองหลวงของจักรวรรดิต่างก็มาต้อนรับเขาและทุกๆคนก็เห็นว่า สีหน้าบนใบหน้าของเขาดูทุกข์อย่างหนัก

ปีศาจตอนที่ 1

บทที่ 1 - ปัญญาอ่อน

เมื่อ ดู๋เวย โรแลนเพิ่งเกิด ไม่มีใครกล้าเรียกเขาว่าเป็นคนปัญญาอ่อน ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะของครอบครัวโรแลนเสียด้วยซ้ำ

สามปีที่ผ่านมาเมื่อดู๋เวยเกิดในครอบครัวเอิร์ลโรแลน เขาทำให้หมอตำแยตกใจมาก เพราะเขาไม่เคยร้องไห้หรือส่งเสียงเลย

เขาไม่เคยต้องการให้ผู้ใหญ่ปลอบโยนเขาเลยสักนิด ชีวิตของเขานั้นเหมือนกับผู้ใหญ่ ตื่นขึ้นมาในเวลาเป๊ะๆ อ้าปากเมื่อมีอาหารเข้ามาและนอนเมื่อถึงช่วงเวลากลางคืน นอกเหนือจากการเปิดปากของเขาแล้ว แม้แต่เวลากินยังไม่มีเสียงออกจากปากของเขา สิ่งเดียวที่เขาทำในชีวิตประจำวันคือการจ้องมองเข้าไปในพื้นที่โล่งๆ

เขาไม่เคยฉี่รดเตียงเลย เพราะเขาเรียนรู้การสั่นกระดิ่งที่อยู่ข้างๆตัวเขา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกๆครั้งที่เขาสั่นกระดิ่ง สาวใช้ก็จะมาช่วยเขา การกระทำนี้ทำให้ครอบครัวโรแลนเชื่อว่า เจ้าตัวน้อยคนนี้เป็นอัจฉริยะตั้งแต่อายุยังน้อย

อย่างไรก็ตาม การคิดแบบนี้ก็ได้แค่ครึ่งปีเท่านั้น ... เพราะเขาไม่เคยพูดเลย

เด็กอายุเท่าเขามักจะได้เรียนรู้ที่จะพูดคำง่ายๆเช่น พ่อแม่ แต่ปากของดูเว๋ยนั้นเหมือนดั่งคำสาป ไม่ว่าภรรยาของเอิร์ลจะสอนเขามากเพียงใด ก็ไม่มีเสียงออกมาจากปากของเขา

แม้แต่คนที่เกิดมาเป็นใบ้ก็ยังสามารถครวญครางได้เลย แต่นายน้อยผู้นี้กลับนิ่งเฉยราวก้อนหิน เมื่อเขาหนาว หิว ต้องการใช้ห้องน้ำ เขาก็จะสั่นกระดิ่ง

ภรรยาของเอิร์ลจ้างหมอที่น่านับถือมากมายและแม้แต่นักเวทย์พอเห็นเขา ต่างก็บอกว่าถูกสาป แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ในท้ายที่สุด แม้ภรรยาเอิร์ลจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีก็ยังต้องรู้สึกเศร้า ดูเหมือนว่าลูกชายของเธอจะปัญญาอ่อน

โชคดีที่ดู๋เวยสามารถเดินได้ตั้งแต่อายุสามขวบ แม้ว่าจะคลานบ้าง เดินบ้าง แต่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากเด็กคนอื่นๆ

ในช่วงกลางคืนที่มีพายุเมื่อเดือนที่แล้ว เหตุการณ์สำคัญก็ได้เกิดขึ้นในคฤหาสน์เอิร์ล

ดู๋เวยคลานออกมาจากห้องของเขาไปที่ลานบ้านในตอนที่สาวใช้ต่างไม่ได้มองเขา เขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับมองท้องฟ้า ฝนเทลงมาบนตัวเขาและแม้แต่ฟ้าผ่าก็ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวเลย เขากำหมัดแน่นเหมือนกับตะโกนขึ้นไปบนฟ้า

เจ้าตัวน้อยที่ไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยในสามปี สุดท้ายก็ได้เปิดปากของเขาขึ้นมา เขาตะโกนออกไปจนข้ารับใช้คนอื่นๆพบตัวเขา ตัวของเขาเปียกโชก ร่างกายของเขาเย็นและสั่นเทา ใบหน้าของเขานั้นซีด

ภรรยาของเอิร์ลได้มาทันทีหลังจากได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นเธอก็หมดสติไป เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอก็จับลูกชายของเธอและร้องไห้ออกมา หมอได้ให้ยากับเขาหลายอย่าง แม้แต่นักเวทญ์ก็ได้ถูกจ้างมาให้ใช้เวทย์รักษาตัวของเขา

แต่ร่างกายของเจ้าตัวน้อยก็ได้แต่เย็นลงและเย็นลงเรื่อยๆ แม่ของเขาวิ่งไปที่วิหารของเทพีแห่งแสงและนำนักบวชมา นักบวชได้ให้พรกับดู๋เวย และภรรยาเอิร์ลก็ได้แต่คุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นเทพธิดาตลอดทั้งคืน เพื่อสวดภาวนาให้ลูกชายของตน

มันไม่ได้ใช้เวลาจนถึงเช้าถัดจากวันนั้น ร่างของเด็กชายก็เริ่มที่จะอุ่นขึ้น อย่างน้อยมันก็ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาหมดสติไปอีกวันหนึ่ง ภรรยาของเอิร์ลได้จับตัวเขาไว้ตลอดเวลาและแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย หลังจากสองวันผ่านไป ใบหน้าของเธอก็เหี่ยวแห้ง

จากนั้น ก็ดูเหมือนว่าดู๋เวยพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวในตอนเขาหลับ ใช่แล้วดูเหมือนเขากำลังพูดในตอนที่หลับ ไม่มีใครสามารถเข้าใจความหมายของมันได้ แต่เนื่องจากเจ้าตัวน้อยยังไม่เคยเรียนรู้การพูดอะไรเลย มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กจะพูดอะไรที่ไม่รู้เรื่องออกมา

อย่างไรก็ตามภรรยาเอิร์ลนั้นก็ยินดี หลังจากฟังดู๋เวยอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอก็ถามแม่บ้านว่า ใครที่มีชื่อว่ามัดและเป็นคนดูแลดู๋เวยกัน?

มาดาม ไม่มีคนใช้ที่มีชื่อนั้น

คนใช้ได้ค้นหาคฤหาสน์ทั่วทั้งหมด จากนั้นพวกเขาพบคนดูแลคอกม้าที่ใช้ชื่อนั้น ภรรยาเอิร์ลได้เรียกเขาเข้าพบในทันที

ลูกชายของฉันได้พูดชื่อของคุณตลอดการนอนหลับของเขา มัด ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเอ่ยชื่อออกมา บางทีมันอาจเป็นคำพยากรณ์จากเทพีแห่งแสงก็เป็นได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะไม่ต้องทำงานในคอกม้าอีกต่อไป เจ้าจะรับใช้เจ้านายตัวน้อยและอยู่เคียงข้างเขา

มัดรู้สึกยินดีมาก ทันใดนั้นเขาก็โค้งมือของเขาต่ำลงไปพร้อมกับทำท่าทีเคารพเหมือนกับข้ารับใช้ ในตอนนี้เขาเหมือนกับเห็นปลายทางที่สว่างไสวในอนาคตของเขา

แม้ว่าดู๋เวยจะไม่รู้อะไร แต่าเขากลับโกรธแค้นและตะโกนต่อพระเจ้าในวันนั้น เขาเปียกฝนและเกือบจะเสียชีวิต นอกจากนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาสบถว่า ฟัค ระหว่างการนอนหลับของเขาและก็ได้มีคนที่ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลซะงั้น

อาการบาดเจ็บของดู๋เวยกินเวลาตลอดทั้งเดือน ร่างที่บอบบางของเขานั้นอ่อนแอลงมาก หนึ่งเดือนก่อนใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย แต่วันเวลาก็ทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม เจ้าตัวน้อยคนนี้เองก็ยังคงไม่พูดอยู่ดี่ แม้แต่มัดเองเขาก็ยังไม่สนใจเลยสักนิด เขาจ้องเข้าไปในพื้นที่ว่างแทบทุกวัน อย่างไรก็ตาม บางครั้งสาวใช้ก็จะพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการที่ภรรยาของเอิร์ลที่คอยดูแลเขา คุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นเทพธิดาต่อหน้าอัศวินมากมายโดยไม่หลับและพักผ่อนเลย ...

หลังจากนั้น เมื่อภรรยาของเอิร์ลมาพบลูกชายของเธอ ก็ดูเหมือนว่าในดวงตาเจ้าตัวน้อยนี้จะมีสายตาที่ดูอบอุ่น

แฟนเพจ:TranslateEverthingที่ใจต้องการจ๊ะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด