ตอนที่แล้วบทที่ 143 การสังหารสัตว์อสูร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 145 เผ่าพันธุ์ปีกรัตติกาล

บทที่ 144 มันไม่น่าดึงดูดพอ


การกวาดล้างจบสิ้นลงภายในเวลาไม่นาน เจตจำนงสังหารของเจียงอี้ได้ผลเกินความคาดหมาย ในเมื่อมันสามารถสะกดข่มได้แม้แต่ปีศาจน้ำแข็งที่เป็นสัตว์อสูรระดับสองขั้นสูงสุด ก็คงไม่ต้องพูดถึงสัตว์อสูรทั่วไปที่มีเพียงไม่กี่สิบตัวเหล่านี้

ด้วยพลังของเจตจำนงสังหาร ฝูงสัตว์อสูรเหล่านี้ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมสยบและถูกสังหาร พวกมันไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้แม้แต่วิชาอสูรเพื่อเอาชีวิตรอด

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือการที่เจียงอี้ไม่สามารถควบคุมเจตจำนงสังหารได้ดั่งใจปรารถนา เขาสามารถเปิดใช้มันได้ก็จริง แต่เขาก็ยังไม่รู้ถึงวิธีที่จะออกจากสภาวะนี้ ท้ายที่สุด จ้านอู๋ซวงก็ต้องหาทางลงมือและลากตัวเจียงอี้กลับมา

แม้จะเป็นเช่นนั้น จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนก็สามารถสัมผัสได้ถึงเงินทองที่กำลังไหลมาเทมา ความเร็วในการล่าของเจียงอี้นั้นรวดเร็วอย่างมากซึ่งมีเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเท่านั้นที่เทียบได้

เจียงอี้สลบไสลอยู่ครึ่งค่อนวันก่อนที่จะรู้สึกตัว เฉียนว่านก้วนสั่งให้คนไปรวบรวมวัตถุดิบจากสัตว์อสูรและจัดการเผาซากศพ จากนั้นก็ใช้เครื่องหอมพิเศษเพื่อปกปิดกลิ่นคาวเลือด นอกจากนั้นพวกเขายังนำเนื้อของสัตว์อสูรมาย่างกินเป็นอาหารกลางวัน

เจียงอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่แค่อ่อนเพลียจากการใช้เจตจำนงสังหาร หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ เขาก็เข้าสู่ห้วงสมาธิเป็นเวลาสองชั่งโมงก่อนที่จะฟื้นตัวเป็นปกติ

เมื่อเจียงอี้มั่นใจแล้วว่าเขาสามารถกลับไปสู้ต่อได้อีกครั้ง เฉียนว่านก้วนก็ให้เฉียนคุนเผาอำพันทะเลเพื่อใช้หลอกล่อสัตว์อสูร

ตามคำอธิบายของจ้านอู๋ซวง สัตว์อสูรระดับต่ำเหล่านี้มีสติปัญญาเพียงเล็กน้อยและง่ายต่อการถูกดึงดูดโดยกลิ่น เช่นกลิ่นของเลือดหรือกลิ่นของอำพันทะเล

แน่นอนว่าเฉียนว่านก้วนย่อมใช้เครื่องหอมชั้นยอดที่สามารถกระจายกลิ่นได้ไกลถึงสามสิบกิโลเมตร

เจียงอี้ไม่ได้ไถ่ถามเฉียนว่านก้วนว่าอำพันทะเลเหล่านี้มีมูลค่าเท่าใด นับตั้งแต่ที่เจ้าอ้วนเลือกที่จะไม่พูดเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย จ้านอู๋ซวงก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาอีกครั้ง

นายน้อยเกือบทุกคนจากตระกูลใหญ่ไม่ชอบการสุงสิงกับคนของตระกูลเฉียนเพราะว่าคนเหล่านี้ฉลาดเกินไป พวกเขากลัวว่าวันหนึ่งพวกเขาอาจจะถูกหลอกไปขาย เพราะอย่างไรเสียตระกูลเฉียนก็ขึ้นชื่อเรื่องความโล�

เห็นได้ชัดว่าเฉียนว่านก้วนไม่ใช่คนประเภทนั้น บางทีคงเป็นเพราะเขามีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและมองเห็นประโยชน์ระยะยาว หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาหนึ่ง จ้านอู๋ซวงก็เพิ่งนึกได้ว่าเจ้าอ้วนผู้นี้ไม่เคยพูดถึงเรื่องเงินทอง เขามักจะเข้ามามีส่วนร่วมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหรือการชดใช้คืนใดๆ เรื่องนี้เองที่ทำให้เขาได้รับมิตรภาพจากเจียงอี้และจ้านอู๋ซวง

“บรู๊ววว!”

“กรู้! กรู้!”

“แกว๊ก! แกว๊ก!”

เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังสนั่นไปทั่วทั้งผืนป่า เจียงอี้ก้าวออกมาขณะเดียวกันผู้คุ้มกันลับทั้งสองต่างก็เดินออกมาจากห้องของพวกเขาเช่นกัน

ครั้งนี้เฉียนคุนใช้อำพันมากกว่าเดิมจึงทำให้ดึงดูดสัตว์อสูรมามากขึ้น มันอาจจะมากกว่าร้อยตัวเสียอีก ในเวลาเดียวกันจากระยะไกล เหยี่ยวที่มีขนาดลำตัวยาวกว่าสามเมตรกำลังบินตรงเข้ามา

“อู๋ซวง, ว่านก้วน เหยี่ยวตัวนี้ไม่เลวเลย! ข้าคิดว่ามันจะต้องเป็นสัตว์อสูรระดับสองขั้นสูงแน่ๆ ทำไมถึงไม่จับมันมาฝึกเสียล่ะ?”

คิ้วของเจียงอี้เลิกขึ้นขณะที่หันไปถามเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวง ด้วยการพึ่งพาพลังของเจตจำนงสังหาร การฝึกสัตว์อสูรก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

“มันอ่อนแอเกินไป ข้าไม่สนใจ!” จ้านอู๋ซวงตอบพลางส่ายศีรษะ

“ข้าก็ไม่เอา! หากว่าเป็นมังกร ข้าอาจจะรับมาพิจารณา แต่กับเหยี่ยวตัวนี้มันยังดีไม่พอ” เฉียนว่านก้วนกล่าว

“แกว๊ก! แกว๊ก!”

ด้วยสายตาอันเฉียบคมของเหยี่ยว มันสามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน ปีกอันใหญ่โตของมันกระพืออยู่กลางอากาศและโฉบเข้ามาใกล้ มันกระจายกลิ่นอายอันดุร้ายออกมาและจับจ้องไปยังร่างอันอ้วนท้วนสมบูรณ์ของเฉียนว่านก้วนราวกับอาหารอันโอชะ

“ตายซะ!”

เจียงอี้คำรามพร้อมกับปลดปล่อยเจตจำนงสังหาร เขากระทืบเท้าและกระโจนเข้าหาเหยี่ยวยักษ์ กริชสีแดงที่ส่องประกายแสงสีดำกรีดเฉือนไปที่กะโหลกศีรษะของมันในทันที

“แกว๊กกกก!”

หลังจากที่สัมผัสได้ถึงเจตจำนงสังหาร กลิ่นอายอันดุร้ายก็ถูกดึงกลับไป ดวงตาอันใหญ่โตของเหยี่ยวเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกและต้องการที่จะหลบหนี

ฉึก!

กริชสีแดงเลือดแทงลึกลงไปในหัวกะโหลกของเหยี่ยวยักษ์ แต่เจียงอี้ก็คิดไม่ถึงว่ากะโหลกของมันจะแข็งขนาดนี้ กริชของเขาแทบจะกระเด้งกลับออกมาหลังจากที่แทงเข้าไปได้เพียงไม่กี่เซนติเมตร

เจียงอี้ใช้มือคว้าไปที่ลำคอของเหยี่ยวยักษ์ขณะที่มันบินควงอยู่ในอากาศและใช้กริชในมือกระหน่ำแทง เมื่อยืนยันได้ว่ามันตายแล้ว เจียงอี้ก็กระโดดออกมาและเปลี่ยนทิศทางไปยังสัตว์อสูรตัวอื่นแทน

การสังหารหมู่ได้เริ่มต้นอีกครั้งแล้ว!

“ลูกพี่โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว! เขาดูคล้ายกับเครื่องจักรสังหารอย่างไรอย่างนั้น”

เฉียนว่านก้วนคร่ำครวญออกมา ทางด้านของจ้านอู๋ซวงก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เขากำลังจินตนาการว่ามันจะน่ากลัวแค่ไหนหากพวกเขาไม่ใช่เพื่อนกันแต่เป็นศัตรู

ฟึบ!

หลังจากที่ผ่านไปไม่นาน สัญญาณไฟก็ถูกยิงขึ้นฟ้าจากทางป่าที่อยู่ไกลออกไป เมื่อเฉียนคุนเห็นดังนั้น เขาจึงรีบมารายงาน “ท่านประมุขน้อย ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ พวกเราจะทำยังไงดีขอรับ?”

หุบเขาเมฆาทมิฬแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในเขตของสำนักจิตอสูร ดังนั้นจึงมีนักล่าจำนวนมากที่เข้ามาเพื่อล่าสัตว์อสูร โชคดีที่เฉียนว่านก้วนได้สั่งให้คนคอยออกลาดตระเวรพื้นที่โดยรอบและให้ส่งสัญญาณทันทีเมื่อมีคนเข้ามาใกล้

ม่านตาของเขาหดแคบลงและตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ “ส่งสัญญาณกลับไป ขอให้พวกนั้นบอกคนที่มาใหม่ถึงตัวตนของข้า แต่ถ้าหากว่าพวกมันยังกล้าเข้ามาอีก เช่นนั้นก็ฆ่าได้เลยโดยไม่ต้องเจรจา!”

เฉียนคุนไม่กล้ารอช้าและรีบส่งสัญญาณกลับไปในทันที ในขณะเดียวกันจ้านอู๋ซวงก็ลอบยกนิ้วให้ เขาต้องยอมรับว่าการดูแลความเรียบร้อยของเฉียนว่านก้วนนั้นมีประสิทธิภาพจริงๆ

เฉียนว่านก้วนยิ้มกว้างและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ท่าทางตรงไปตรงมาของเขาทำให้ดูน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก หลังจากที่เวลาผ่านไป เจียงอี้ก็สังหารสัตว์อสูรตัวสุดท้ายเสร็จ จากนั้นเจ้าอ้วนก็กล่าว “เรียบร้อยแล้วพี่อู๋ซวง เจ้ารีบลงมือเถอะ! ลูกพี่เสียแรงไปเยอะ เขาควรจะพักผ่อนได้แล้ว”

“ถูกต้อง สัตว์อสูรเกือบสองร้อยตัวถูกสังหารภายในวันเดียว วัตถุดิบที่ได้รับจากพวกมันคงมีมูลค่าหลายหมื่นตำลึงทองเลยทีเดียว หากใช้ความเร็วระดับนี้ เกรงว่าคงจะใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปีก็สามารรวบรวมเงินสิบล้านตำลึงทองได้แล้ว!”

จ้านอู๋ซวงเองก็รับทราบถึงปัญหาของเจียงอี้แล้วเช่นกัน… ความจริงด้วยสถานะของเขา การขอเงินห้าล้านตำลึงทองจากตระกูลก็สามารถทำได้ทันที แต่เขารู้จักนิสัยของเจียงอี้ดีจึงทำให้เขาสลัดความคิดนั้นทิ้งไป สิ่งที่จ้านอู๋ซวงกำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็คือการช่วยเหลือเจียงอี้ทางอ้อม

ปัก!

จ้านอู๋ซวงทะยานเข้ามาใกล้ร่างของอีกฝ่าย ทางด้านของเจียงอี้เองก็มองกลับไปด้วยสายตาอันดุร้ายแต่ก็บังคับให้ตัวเองหยุดเคลื่อนไหว จากนั้นก็ปล่อยให้จ้านอู๋ซวงใช้สันดาบสับมาที่คอของเขาก่อนที่ร่างของเขาจะทรุดลงไปนอนกับพื้น

“ลงมือ!”

ทันใดนั้นเฉียนว่านก้วนก็ส่งสัญญาณ จากนั้นเหล่าสมาชิกตระกูลเฉียนต่างก็เริ่มทำงานและเคลื่อนย้ายซากศพของสัตว์อสูรพร้อมกับชำระล้างสถานที่ในเวลาเดียวกัน

จากการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วของพวกเขาก็ทำให้เห็นได้ว่าคนเหล่านี้มีความรู้เกี่ยวกับสัตว์อสูรเป็นอย่างดี

หากไม่มีพวกเขาอยู่และปล่อยให้เจียงอี้จัดการด้วยตัวเอง มีหวังกลิ่นคาวเลือดที่เหลืออยู่คงจะดึงดูดสัตว์อสูรมาเพิ่มขึ้นและทำให้การล่าวุ่นวายกว่านี้เป็นแน่

เมื่อทำการเก็บกวาดและชำแหละซากสัตว์อสูรเสร็จเรียบร้อย เฉียนว่านก้วนก็ออกคำสั่งอีกครั้ง “นำวัตถุดิบเหล่านี้ไปยังเมืองจิตอสูรและขายในราคาที่ดีที่สุด… อ่อ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วก็นำเม็ดยามังกรปฐพีมาให้ข้าด้วยหนึ่งพันเม็ด นายน้อยผู้นี้เริ่มอยากจะบ่มเพาะพลังขึ้นมาแล้ว!”

“เม็ดยามังกรปฐพี?”

จ้านอู๋ซวงเพิ่งกลับมาจากการนำเจียงอี้ไปพักในห้อง เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเฉียนว่านก้วน ร่างของเขาถึงกับหยุดชะงักด้วยความประหลาดใจ ต้องรู้ก่อนว่าเม็ดยามังกรปฐพีเป็นเม็ดยาที่ดีที่สุดในบรรดาเม็ดยาระดับพิภพ

สมาชิกตระกูลเฉียนขึ้นชื่อเรื่องความขี้เกียจในเรื่องของการบ่มเพาะพลัง อย่างตัวของเฉียนว่านก้วนเองก็เป็นเพียงจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกแม้ว่าจะบ่มเพาะพลังมาเป็นเวลานาน

มันคงเป็นเรื่องตลกขบขันที่จู่ๆเขาจะตั้งใจบ่มเพาะพลัง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเตรียมเม็ดยาเหล่านี้ให้กับเจียงอี้

จ้านอู๋ซวงจ้องมองเฉียนว่านก้วนด้วยสายตาแปลกพิกลขณะเอ่ยถาม “เจ้าอ้วนเฉียน ทำไมเจ้าถึงเอาใจใส่เจียงอี้ดีเช่นนี้? เป็นไปได้ไหมว่า… เจ้าจะตกหลุมรักเขา? แท้จริงแล้วเจ้าเป็นพวกชมชอบไม้ป่าเดียวกันใช่หรือไม่?”

“ห๊ะ…”

เฉียนว่านก้วนตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ แต่พริบตาเดียวดวงตาของเขาก็ส่อแววเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็บิดตัวเล็กน้อยและแสร้งทำเป็นเขินอายก่อนที่จะกล่าวตอบ ท่าทางของเขาในตอนนี้ดูคล้ายกับสาวน้อยที่กำลังมีความรักยิ่งนัก!

“แหมม! พี่อู๋ซวงล่ะก็… ทำไมเจ้าถึงวิจารณ์ข้าเช่นนี้ล่ะ~? แม้ว่าข้าจะเป็นบุรุษ แต่ข้าก็หลงใหลในผู้ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีกล้ามใหญ่ๆ… อย่างเจ้า!”

“เอาแบบนี้ดีไหม? คืนนี้เจ้าก็มาหาข้าที่ห้องสิ รับรองข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี~”

ปัง!

โดยไม่ต้องกล่าวอะไรออกมาให้เสียเวลา จ้านอู๋ซวงก็ใช้ขาอันใหญ่โตของเขาหวดใส่ร่างของเฉียนว่านกวนและส่งเขาลอยกระเด็นออกไป…

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด