ตอนที่แล้วWOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 44
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 46

WOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 45


"ฆ่า!....." ผู้ที่มาถึงด้านบนกำแพงคนแรกนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ 1 ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ใช่เพียงขั้นที่ 1 ทั่วไป หากแต่อยู่ในระดับปลายแล้ว

แคร์รี่ได้กระจายเหล่าผู้ฝึกยุทธ์อย่างน้อย 2 คนเข้าไปในทัพเกราะเบาแต่ละกอง แคร์รี่เชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกมันแล้ว การจะยึดครองกำแพงนั้นสามารถกระทำได้

เซียวอวี๋แค่นเสียงดูถูกกับกลยุทธ์ของแคร์รี่ หากแคร์รี่ทุ่มสมาธิจัดเหล่าผู้ฝึกยุทธ์เข้าเป็นกองเดียว บางทีมันอาจจะคุกคามเซียวอวี๋ได้

ทว่าแคร์รี่กลับแบ่งแยกพวกมัน ซึ่งในกรณีนี้เพียงแค่ใช้เหล่าออร์คกลุ้มรุมโจมตีเข้าไปก็เพียงพอจะสังหารผู้ฝึกยุทธ์ได้แล้ว การรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ย่อมไม่เป็นปัญหาตราบใดที่พวกมันไม่ใช่ขั้นที่ 2 ขึ้นไป ในตอนนี้เหล่าออร์คนั้นสามารถกำจัดผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างง่ายดายแม้ว่าพวกมันจะอยู่ในระดับกลางหรือปลายของขั้นที่ 1 ก็ตาม

เหตุผลที่เซียวอวี๋เลือกสร้างฐานทัพของออร์คเป็นแห่งแรกนั้นก็เนื่องมาจากความแข็งแกร่งและพละกำลังของพวกมัน ในยุคของอาวุธเย็นเช่นนี้ ไม่มีเผ่าพันธ์ุใดจะแข็งแกร่งไปกว่าออร์คอีกแล้ว กระทั่งมนุษย์หรือเอลฟ์ก็ไม่สามารถเปรียบได้ในช่วงเริ่มต้น

นอกจากนั้นแล้ว เขายังมีพลเดินเท้า พวกเขาสามารถจัดตั้งขบวนโล่และปิดล้อมผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ 1 ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นสงครามที่ด้านบนของกำแพงจึงไม่ได้แตกต่างไปจากคราก่อนมากนัก แม้ว่าจำนวนไพร่พลที่แคร์รี่ขนมาจะมากกว่าหลายเท่าก็ตาม

ครั้งล่าสุดนั้น เซียวอวี๋เพียงแค่ใช้นักรบออร์ค 200 นาย ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่มีพลเดินเท้าเสียด้วยซ้ำ ในครั้งนี้เขามีนักรบออร์ค 500 นาย พลเดินเท้า 100 นาย และเอลฟ์นักล่าอีก 100 นายที่ขึ้นมาสนับสนุนบนกำแพง กองทัพของแคร์รี่จะไม่มีวันเอาชนะได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะนำไพร่พลมามากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้ 5 เท่า

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เลือดและเศษซากอวัยวะของฝ่ายแคร์รี่ที่ตกตายก็ย้อมไปทั่วด้านบนกำแพง เหล่าออร์คที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาจากฉากดังกล่าวได้เปิดใช้ทักษะคลุ้มคลั่งขึ้นทันที พวกมันสับร่างของไพร่พลที่ปีนขึ้นมาด้านบนอย่างโหดเหี้ยม

พลธนูและจ้าวมนตรายังคงลงมือสังหารทหารที่โถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาซ่อนตัวอยู่หลังแนวโล่ของพลเดินเท้า

จ้าวมนตรายกคทาขึ้นร่ายคลื่นเยือกแข็ง ทักษะที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับการตั้งรับก็ถูกใช้ออกมา แท่งน้ำแข็งได้เจาะทะลวงไพร่พลที่วิ่งเข้ามาจนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก

โดยปกติแล้ว กองทัพของแคร์รี่ควรจะมุ่งเน้นไปที่การกำจัดจ้าวมนตราเป็นอันดับหนึ่ง แคร์รี่เพียงต้องส่งทหารไม่กี่นายและผู้ฝึกยุทธ์สองคนเพื่อปลิดชีพจ้าวมนตรา

แม้กระนั้น เซียวอวี๋ก็ได้จัดพลเดินเท้า 10 นายและออร์ค 10 นายเพื่ออารักขาจ้าวมนตราไว้แล้ว เขาตระหนักดีว่าเขาไม่อาจสูญเสียจ้าวมนตราไปได้อย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะต้องจ่ายออกไปเพียงไหนก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเซียวอวี๋เองก็ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาได้เรียนรู้ทักษะของเบรดมาสเตอร์เอาไว้ ดังนั้นการที่เขาจะรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งถึงสองคนนั้นย่อมไม่เป็นปัญหา

นอกจากนี้เซียวอวี๋ยังได้จัดเตรียมดาบยาวสำหรับตัวเองเพื่อที่จะสามารถเปล่งประสิทธิภาพของทักษะออกมาได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ซึ่งรูปแบบการใช้ดาบยาวนี้ เซียวอวี๋ได้ประยุกต์ใช้จากดาบถังที่เขาเคยฝึกมาในชีวิตก่อน

จ้าวมนตราได้เพิ่มระดับขึ้นเป็น 7 หลังจากผ่านไปสักพัก เซียวอวี๋จึงจัดสรรแต้มลงไปที่ทักษะเกราะเหมันตร์ในทันที ทำให้มันเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่ 2 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการป้องกันให้จ้าวมนตราขึ้นอีกส่วน

การต่อสู้ที่ด้านบนของกำแพงนั้นกลายเป็นฉากโศกนาฏกรรมที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กองทัพของแคร์รี่ต้องเผชิญกับการสูญเสียอย่างหนัก ทางฝั่งของเซียวอวี๋เองก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไปไม่น้อย ทว่ายังไม่หนักหนาเท่า แคร์รี่ยังได้จัดส่งมือหน้าไม้ให้ปีนขึ้นมาบนกำแพงด้วย ทว่าที่ด้านบนของกำแพงนั้นมีขบวนโล่ของพลเดินเท้าคอยปิดกั้นเอาไว้อยู่ พวกออร์คนั้นอยู่หลังพลเดินเท้าออกไปเพียงหนึ่งถึงสองก้าว ด้วยเหตุ่นั้นแม้ว่าพลหน้าไม้จะต้องการยิงพวกมันก็ตามหากทว่ากับมีแนวโล่คอยขวางกั้นพวกมันอยู่

พลธนูเอลฟ์นั้นอยู่ถัดจากพวกออร์ค เซียวอวี๋ได้สั่งการให้พวกเขาทุ่มเทสมาธิไปกับการยิงสังหารไพร่พลที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่จำเป็นต้องยิงพวกทหารที่อยู่บนกำแพงหรือกำลังปีนขึ้นมา พวกออร์คจะคอยรับมือกับทหารส่วนนี้เอง

แคร์รี่กลายเป็นโกรธเกรี้ยวขณะที่จ้องมองไปยังสนามรบ เขาถ่ายทอดออกไปอีกคำสั่งในทันที "โจมตีต่อไป! เร่งความเร็วขึ้นอีก! ข้าต้องการกำแพงนั่น! หากว่าพวกมันไม่สามารถตีชิงกำแพงมาได้ เมื่อกลับไปข้าจะให้พวกมันอยู่ในสถานะทาส!"

สายตาของแคร์รี่จับจ้องอยู่ที่ทัพเกราะหนักขณะที่ถ่ายทอดคำสั่งที่รุนแรงนี้ออกไป ทัพทหารเกราะหนักได้อยู่ห่างจากประตูเมืองราว 10 เมตรแล้ว

ในคราแรกยามเมื่อเซียวอวี๋สั่งเปิดประตูนั้น แคร์รี่คิดว่าเซียวอวี๋กำลังหวาดกลัวความตายและต้องการยอมจำนนแต่โดยดี ทว่าในตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าเซียวอวี๋ไม่ได้มีความคิดที่จะยอมจำนนแต่อย่างใด หากแต่ว่าประตูเมืองนั้นยังคงเปิดอ้าอยู่ มันคิดเล่นลูกไม้ใดกันแน่?

กองกำลังเกราะหนักนั้นมีผู้ใช้มนตราซุกซ่อนตัวอยู่ ทั้งยังมีเครื่องทลายประตูอีกด้วย แคร์รี่คาดว่าเซียวอวี๋ทราบว่าจะอย่างไรประตูเมืองก็ต้องถูกทำลายอยู่แล้วดังนั้นเซียวอวี๋จึงหวังพึ่งพาแนวป้องกันของพวกออร์คแทน

กลยุทธ์การป้องกันแบบสปาตันของเซียวอวี๋ได้ประทับอยู่ในจิตใจของแคร์รี่อย่างล้ำลึก ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะทำลายความมั่นใจของเซียวอวี๋โดยการบดขยี้แนวป้องกันนั้นลง

"หน้าโง่! ครั้งล่าสุดนั้นเป็นเพราะข้าไม่มีทัพเกราะหนัก ดังนั้นจึงมิอาจทะลวงประตูเข้าไปได้ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะยังหวาดกลัวพวกออร์คของเจ้าอีก? ข้าได้ศึกษาตำรามากมายและฝึกทัพเกราะหนักเพื่อกวาดล้างพวกออร์ค! ทัพของข้าได้ฝึกอย่างหนักสำหรับวันนี้! วันที่จะกวาดล้างพวกออร์ค! แต่ทว่าเจ้ากลับยังคงใช้กลยุทธ์เดิมอีกครั้ง! ฮ่าาา! รอดูกองทัพของข้ากุดหัวพวกออร์คสวะเหล่านี้เถอะ!"

ผู้บัญชาการไพร่พลเกราะหนักจ้องมองไปยังประตูเมืองที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ภายในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ฝ่ายศัตรูย่อมต้องทราบว่าการเคลื่อนทัพของพลเกราะหนักนั้นเชื่องช้าอย่างยิ่ง หากทว่าพวกมันก็ยังคงไม่ปิดประตู นั่นเป็นเพราะเหตุใดกันแน่?

หรือพวกมันเชื่อจริงๆว่าออร์คจะสามารถบดขยี้ทัพเกราะหนักได้?

ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์มาแล้วว่า รูปขบวนทหารราบเกราะหนัก 100 นาย สามารถปราบพิชิตออร์คที่กล้าหาญแต่ไม่เข้าใจเรื่องการจัดทัพใดๆ 100 ตนได้

ปูนนนนนนน

ไพร่พลเกราะหนักยังคงก้าวเท้าไปข้างหน้าทีละก้าว

"เตรียมตัววว!" ผู้บัญชาการตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง พวกมันได้ฝึกซ้อมอย่างหนักมาตลอดหนึ่งเดือนก็เพื่อวันนี้ นี่จะเป็นการใช้จริงแล้ว

ไพร่พลเกราะหนักตะโกนโห่ร้องออกมาขณะที่ยกโล่ขนาดใหญ่ขึ้น โล่ของพวกมันนั้นครอบคลุมตั้งแต่เข่าจนถึงช่วงคอ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังยืนเรียงชิดติดกัน นั่นเป็นผลให้โล่ของพวกมันต่อประสานกันเป็นแนวป้องกันอันแข็งแกร่ง

พวกมันวางแผนที่จะใช้รูปแบบนี้เพื่อบดขยี้แนวป้องกันของพวกออร์ค

พลไพร่แถวหน้าสุดจะใช้ดาบต้านทานพวกออร์ค จากนั้นแถวถัดมาจะเป็นพลหอกและหน้าไม้ พวกมันสามารถยิงลูกศรหรือขว้างหอกได้ขณะที่แถวแรกเข้าปะทะกับพวกออร์ค ไพร่พลที่อยู่ในแถวถัดๆมาจะสามารถลงมือสังหารพวกออร์คได้อย่างง่ายดายตราบใดที่แถวแรกยังสามารถคงรูปขบวนเอาไว้ได้

กองทัพค่อยๆเคลื่อนพลเข้าใกล้ประตูเมืองทีละนิด นอกจากนั้นแล้วผู้ใช้มนตราที่ปะปนอยู่ในทัพยังสามารถร่ายมนต์เพื่อสังหารพวกออร์คได้อย่างรวดเร็ว

เดิมทีมันสมควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ในวันนี้ผลลัพธ์ย่อมต่างออกไป เนื่องจากผู้บัญชาการที่พวกมันจะต้องเผชิญนั้นคือ เซียวอวี๋

อสูรหนึ่ง ยกยิ้มเยาะยามเมื่อเห็นทัพเกราะหนักเดินผ่านประตูเข้ามา

พวกออร์คนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่สัตย์ซื่อและไร้เดียงสา ทว่าเหล่าออร์คที่ติดตามเซียวอวี๋นั้นราวกับมาจากคนละเผ่าพันธ์ุ พวกมันได้ถอดแบบมาจากเซียวอวี๋ ทั้งความชั่วร้ายและเลวทรามทั้งมวล พวกมันได้รับสืบทอดมาจากเซียวอวี๋โดยไม่บกพร่อง โดยเฉพาะพวกออร์คกลุ่มแรกที่ถูกสร้างออกมา อสูรหนึ่งนั้นเป็นผู้ที่ชาญฉลาดที่สุดในหมู่พวกมัน มันแทบจะสามารถถอดแบบบุคลิกลักษณะเซียวอวี๋มาได้ทั้งหมด

โดยปกติแล้ว เหล่าออร์คที่ถูกระบบสร้างขึ้นมาจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆและปฏิบัติตนราวกับหุ่นเชิด จิตใจของพวกมันล้วนบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับทารกแรกเกิด พวกมันรู้จักเพียงการต่อสู้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทารกมันจะรับเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาจากผู้เลี้ยงดู จากการที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันนั่นเอง

เซียวอวี๋ก็เปรียบได้กับเป็นบิดาของออร์คเหล่านี้ พวกมันล้วนเลียนแบบการกระทำ คำพูด และแนวคิดของเซียวอวี๋มาทั้งหมด

"เตรียมพร้อม!" อสูรหนึ่งตะโกนออกมา

เหล่าออร์คต่างแยกตัวออกเป็นสองฝั่งในทันที จากนั้นเครื่องจักรที่มีปีกติดตั้งอยู่ก็ปรากฏออกมาจากเบื้องหลัง

ผู้บัญชาการรู้สึกถึงลางร้ายทันทีที่ได้เห็นเครื่องจักรรูปร่างประหลาดพวกนั้น

ซึ่งเหตุการณ์ถัดมาก็พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้คิดผิด ปีกทั้งสองกางออกและเผยให้เห็นใบมีดรูปร่างจันทร์เสี้ยว

แกร๊กกกก แกร๊กกกก

เสียงประหลาดสองเสียงดังขึ้น ขณะที่ใบมีดพุ่งแหวกฝ่าอากาศออกมา

ใบมีดที่ถูกยิงออกมานั้นรวดเร็วเสียจนไม่สามารถมองเห็นได้ทันด้วยตาเปล่า ทัพเกราะหนักนั้นไม่เคยประสบพบเจอกับอาวุธเช่นนี้มาก่อน.............