ตอนที่แล้วWOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 18
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 20

WOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 19


"โชคดีที่พวกเราได้นำรถตีเมืองมาด้วย มิฉะนั้นก็ยากที่จะตีหักเข้าไปได้" ผู้บัญชาการกล่าวอย่างโล่งใจ แคร์รี่ได้นำพวกมันมาเพื่อที่จะแสดงศักยภาพของกองทัพ ดังนั้นเขาจึงได้นำรถตีเมืองที่มีมูลค่ากว่า 10,000 เหรียญทองมาด้วย

"เซียวอวี๋! ข้าต้องจ่ายออกไปอย่างหนักในสงครามครั้งนี้ เมื่อเข้าไปได้ข้าจะเริ่มการฉลองด้วยการฆ่าพวกมันทั้งหมด!" แคร์รี่ยืนกำหมัดอยู่บนรถม้า เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและกระดกมันลงไปในครั้งเดียว อย่างไรก็ตามมือที่ถือแก้วไวน์ของเขามันซีดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับไวน์ที่มีสีแดง

เซียวอวี๋ยังคงนั่งชมฉากสงครามอยู่บนกำแพงขณะที่จิบไวน์สลับกับเคี้ยวผลไม้ เขาไม่ได้สูญเสียนักรบไปแม้แต่คนเดียวในขณะที่อีกฝ่ายมีคนล้มตายไปแล้วมากกว่า 1,000 คน

นี่เป็นสิ่งพิสูจน์อย่างดีถึงความแข็งแกร่งของพวกนักรบที่ถูกอัญเชิญมา พวกเขาสามารถรับมือกับกองทัพที่มีมากกว่าฝ่ายตนเองได้ถึง 10 เท่าตราบเท่าที่ใช้กลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม

"เรื่องจำนวนของพวกนักรบนั้นเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นจึงต้องเสริมความแข็งแกร่งของพวกเขาด้วยอุปกรณ์ โรงตีเหล็กของออร์คและแอนเชียนส์ออฟวอร์ของเอลฟ์จะสามารถสร้างอุปกรณ์ชั้นดีออกมาได้ตราบเท่าที่ฉันมีเงินจ่ายออกไป หากว่าฉันสามารถติดตั้งอุปกรณ์ เซ็ต 1 หรือ เซ็ต 2 ให้พวกเขาได้แล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครหยุดยั้งเราได้อีก!" เซียวอวี๋พึมพำ เขาถามระบบถึงการอัพเกรดอุปกรณ์และพบว่ามันยังมีอุปกรณ์คลาสสิคจากเวิลด์ออฟวอร์คราฟที่สามารถผลิตได้อยู่ด้วย แม้ราคาของมันจะสูงมาก แต่เซียวอวี๋ก็กำลังรอเวลาที่เขาจะสามารถครอบครองอุปกรณ์เซ็ตที่ 5 ได้

ตูมมมมมม!

มีเสียงดังก้องออกมาขณะที่ท่อนไม้กระทุ้งเข้าที่ประตูเมือง

แม้แต่ชาวเมืองที่หลบซ่อนตัวอยู่ก็ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน เสียงของมันราวกับภูเขาที่กำลังพังทลายลงและร่วงกระแทกพื้นดิน

เดิมที เมืองไลอ้อนถูกสร้างขึ้นเป็นอย่างดี ทว่าในตอนนี้มันเริ่มมีเสียงดังออกมาจากประตูหลังจากรับการโจมตีอย่างหนักหน่วงของรถตีเมืองไปไม่กี่ครั้ง

เห็นได้ชัดว่ามันจะใช้เวลาอีกไม่นานนักในการที่จะทะลวงประตูเมืองเข้ามา

เหล่าพลธนูยังคงยิงศรปลิดชีพกองทัพฝั่งศัตรูอย่างต่อเนื่อง ถึงตอนนั้นมันจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างยิ่งหากว่าประตูเมืองถูกพังทลายลง

เซียวอวี๋ยังคงใจเย็นขณะมองดูสถานการณ์ เขากวักมือเรียกกรอมมารับคำสั่ง

กรอมพยักหน้า จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาด้วยภาษาของออร์ค นักรบออร์ค 50 นายติดตามเขาลงไปที่เบื้องล่างทันที

ตูมมมมมม!

รถตีเมืองยังคงกระทุ้งไม้ไปที่ประตูอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นพวกทหารยังใช้หลังคาของมันเป็นโล่กำบังลูกธนูที่ยิงเข้ามา ดังนั้นแม้แต่ศรของทิรันด้าก็ยังไร้ประโยชน์เมื่อเป็นเช่นนี้

ในเวลาเดียวกันก็มีแสงสีทองปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของเซียวอวี๋ ทิรันด้าได้มาถึงระดับที่ 7 แล้ว จากนั้นเหล่าพลธนูทั้งหมดก็เริ่มเพิ่มระดับขึ้นมา

ทิรันด้าสามารถใช้ทักษะศรเวทย์เพื่อสังหารพวกทหารธรรมดาที่ยกโล่ขึ้นป้องกันได้ เธอยังสามารถใช้ศรกระจายเพื่อสังหารพวกทหารที่ไร้โล่ได้อีก เธอเพียงคนเดียวได้สังหารศัตรูไปมากกว่า 300 คน

เธอได้มาถึงระดับที่ 7 ซึ่งเหนือกว่ากรอมแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ผลงานของกรอมเริ่มจะปรากฏให้เห็นชัดขึ้น ดังนั้นเซียวอวี๋คาดว่ากรอมก็คงจะเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ทิรันด้าได้รับแต้มทักษะมา 2 แต้มหลังจากที่เพิ่มระดับจาก 5 มา 7 เซียวอวี๋จึงจัดสรรแต้มไปที่ทักษะตาเหยี่ยวและศรกระจาย

เหตุที่เขาตัดสินใจเช่นนั้นก็เพราะว่า เซียวอวี๋ทราบว่าอีกฝ่ายมีผู้ใช้มนตรา! ทิรันด้าจะสามารถน้าวคันศรเพื่อยิ่งปลิดชีพเขาได้ในระยะที่ไกลมากขึ้น

ทักษะตาเหยี่ยวของทิรันด้ามาถึงระดับที่ 2 ซึ่งถือว่าสูงสุดแล้ว ศรกระจายของเธอก็มาถึงระดับที่ 3 ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถเพิ่มระดับของมันได้อีก

ด้วยเหตุนั้นทิรันด้าจึงเริ่มสังหารศัตรูด้วยความเร็วที่มากขึ้น

ตูมมมม! ตูมมมม! แคร๊กก~

เสียงแตกหักดังขึ้นขณะที่ส่วนหัวที่แหลมคมของไม้กระทุ้งโผล่เข้ามาจนเกิดเป็นรูโหว่ที่ประตู ทหารฝ่ายแคร์รี่จึงเริ่มขว้างหอกผ่านรูนั้นเพื่อที่จะสังหารพลเฝ้าประตูทันที

ทว่าพวกเขากลับพบว่ามันไม่มีผู้คนอยู่หลังประตูเมืองเลย

ในเวลาเดียวกัน เสียงพื้นที่สั่นสะเทือนก็ดังขึ้นขณะที่ประตูถูกเปิดออกอย่างช้าๆ

พวกทหารศัตรูกลายเป็นประหลาดใจ แม้ว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในการเจาะรูขึ้นที่ประตู แต่พวกเขายังคงไม่สามารถพังมันเข้าไปได้ แล้วเหตุใดประตูถึงเปิดออก?

ในไม่ช้าพวกเขาก็สามารถมองเห็นนักรบร่างใหญ่หลายสิบคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำได้

มีกลิ่นอายกระหายเลือดแผ่ออกมาจากร่างของพวกเขา พวกเขาราวกับไม่ใช่มนุษย์หากแต่เป็นสัตว์ร้าย สัตวร้ายที่กระหายเลือด! บรรยากาศตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันขณะที่ผู้บัญชาการออกคำสั่งโจมตี ทหารฝ่ายศัตรูเริ่มโถมเข้าหาประตูเมืองทันที ตั้งแต่ประตูเมืองถูกเปิดออก มันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะสามารถแก้แค้นให้กับสหายที่ตายไปได้

"ฆ่ามันนนน!"

ทหารฝ่ายแคร์รี่ยกชูอาวุธพุ่งเข้าหาเหล่านักรบในผ้าคลุม พวกทหารที่กำลังวิ่งอยู่ด้านหน้าสุดหยุดชะงักทันที ขณะที่ใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไป

นักรบที่กำลังรอพวกเขาอยู่มีความสูงมากกว่าสองเมตร ผู้นำของอีกฝ่ายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสุดก็มีรูปร่างที่สูงราวกับขุนเขาลูกหนึ่ง ผู้นำของอีกฝ่ายค่อยๆชักดาบออกมาจากหลังอย่างเชื่องช้า

อ๊ากกกกก!

เหล่านักรบออร์คต่างสลัดเสื้อคลุมทิ้งขณะที่ชักขวานขนาดยักษ์ออกมา ผิวกายสีเขียวและกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งถูกเปิดเผยสู่สายตาของฝ่ายศัตรู

"ออร์คคคค!" ดวงตาของทหารฝ่ายศัตรูเบิกกว้างขณะที่พวกเขาเริ่มตัวสั่นด้วยความกลัว พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่ากำลังต่อสู้อยู่กับพวกออร์ค ไม่แปลกใจเลย เหตุใดพวกเขาถึงไม่สามารถเข้ายึดกำแพงเมืองได้!

ความตื่นหนกลดลงในขณะที่ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามา เหล่าทหารที่อยู่ทางด้านหลังนั้นไม่ได้เห็นฉากนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงพยายามจะก้าวไปข้างหน้า ทว่าเหล่าทหารที่อยู่เบื้องหน้าเริ่มหวาดกลัวและกลายเป็นปั่นป่วนขึ้น พวกเขาเริ่มผลักดันสหายทางด้านหลังกลับไปและพยายามจะแหวกฝ่าคลื่นมนุษย์เพื่อหลบหนี

โฮกกกกก!

กรอมคำรามและเริ่มออกวิ่ง เขาใช้อมนิแสลชฟันทหารนายแรกที่พบเห็นจนขาดเป็นสองท่อน จากนั้นก็ถึงคราวของพวกนักรบออร์คที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง พวกมันยืนป้องกันเต็มความกว้างของช่องประตูอย่างสมบูรณ์ ขวานของพวกมันเริ่มเหวี่ยงเพื่อสับร่างของศัตรู

พวกทหารไม่สามารถต้านทานขวานยักษ์ที่สับลงมาได้

ภายในเวลาไม่กี่วินาที กรอมและเหล่านักรบออร์คก็สังหารกองทหารไปได้หลายสิบคน

พวกเขาไม่ได้บุกจู่โจมต่อ แต่ยืนอัดแน่นเพื่ออุดช่องว่างของประตู จะต้องไม่มีมนุษย์คนใดหลุดรอดเข้าเมืองไปได้!

ฝ่ายศัตรูยังคงบุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ทหารทั้งหมดที่บุกเข้าไปก็ทอดกายเป็นซากศพ ภายในเวลาไม่ถึงสามนาทีซากศพกว่า 200 ร่างก็เริ่มกองสุมกันที่ปากประตูเมือง

พวกออร์คนักรบนั้นสวมใส่เกราะ ดังนั้นส่วนที่สำคัญของพวกมันจึงได้รับการปกป้อง แม้ว่าพวกมันจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่มันก็ไม่ใช่บาดแผลที่ร้ายแรงแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยิ่งสงครามรุนแรงขึ้นเท่าใดพวกมันก็ยิ่งดุดันมากขึ้นเท่านั้น

"พวกมันเป็นออร์ค!" เหล่าทหารของศัตรูเริ่มตะโกนส่งต่อข้อความนี้แบบปากต่อปาก

..........................

..........................

"เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? พวกมันมีนักรบออร์คงั้นรึ? พวกเจ้าเห็นอย่างชัดเจนหรือเปล่า?" แคร์รี่กลายเป็นตกตะลึง แก้วไวน์ในมือของเขาร่วงลงแตกกระจายเต็มพื้นและย้อมชายเสื้อที่หรูหราของเขาให้กลายสีแดง

"ใช่ขอรับนายน้อย! พวกมันเป็นออร์คอย่างแน่นอน พวกนักรบออร์คกำลังป้องกันอยู่ที่ประตูเมือง พวกเราไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีกันไม่มาก แต่พวกที่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำสมควรจะเป็นพวกออร์คขอรับ" ทหารรีบกล่าวรายงานอย่างนอบน้อม

"บัดซบ! พวกมันผุดออกมาจากนรกขุมใดกัน?" แคร์รี่กลายเป็นโกรธแค้น เขาสูญเสียกำลังพลไปเกือบ 2000 นายแล้ว พ่อของเขาจะต้องทุบตีเขาแน่ยามเมื่อกลับไปที่ตระกูล

แต่แคร์รี่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ พวกออร์คนั้นสูญพันธุ์ไปนานแล้ว มีตำนานเล่าขานว่าพวกมันอาศัยอยู่ที่ส่วนลึกของเทือกเขาอัลคาเกน.....เซียวอวี๋เข้าไปที่นั่นและทำข้อตกลงกับเผ่าพันธุ์ออร์คงั้นหรือ?

แต่นักรบออร์คนั้นไม่เชี่ยวชาญในด้านของการยิงธนู...แล้วพวกนักธนูที่มีรูปร่างบอบบางนั่นล่ะ...

ความวุ่นวายและความหงุดหงิดทำให้หัวใจของแคร์รี่เต้นระรัว เขาจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่หลังจากที่ได้รับชัยชนะในครั้งนี้เอาไว้ พิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ สนุกไปกับเรือนร่างสาวงามและ....

"พวกมันต้องเคลื่อนย้ายพวกนักรบออร์คจากบนกำแพง ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกมันไม่ได้มีนักรบออร์คมากมายนัก พวกเราจะสามารถกำจัดพวกนักรบออร์คด้วยทหาร 3,000 นายได้หรือไม่?"

แคร์รี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขากล่าวขึ้นว่า "สั่งการลงไป ให้พวกทหารเข้าโจมตีโดยไม่ต้องสนใจว่าจะต้องจ่ายออกไปเพียงใด พวกนักรบออร์คพวกนั้นจะกลายเป็นไร้ประโยชน์หากว่าเราสามารถเข้าเมืองไปได้ พวกเราจะสามารถใช้กำลังคนที่มากกว่าสังหารพวกมันทั้งหมด! นอกจากนั้น ท่านอาจารย์คูม่าร์ยังอยู่ที่นี่....ท่านอาจารย์ให้พวกเรายืมมือท่านได้หรือไม่?"

มีชายผู้สวมใส่ชุดคลุมยืนอยู่ด้านข้างของแคร์รี่ เขาหันมาทางแคร์รี่และกล่าวว่า "นายน้อยแคร์รี่ ข้ามาที่นี่เพื่อรับใช้ท่าน"

หลังจากนั้นกองทหารและผู้คุ้มกันของคูม่าร์ก็อารักขาคูม่าร์เข้าสู่สนามรบ......