ตอนที่แล้ว43 สถาบันเทียนฮ้วน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป45 การโต้เถียงของเต๋าอันยิ่งใหญ่

44 การปะทะกันของอนุภาคพลังงาน!


44 การปะทะกันของอนุภาคพลังงาน!

เมื่อเทียบกับบูธของสถาบันเทียนฮ้วนแล้ว เห็นได้ชัดว่า ที่บูธนี้มีนักเรียนมารวมตัวกันอยู่ไม่มากนัก ป้ายที่เขียนติดบูธของพวกเขาอยู่นั้น เป็นคำว่า “มหาวิทยาลัยชิงหยุน” ชายชราที่มีหนวดเคราสีขาวได้ยืนอยู่ตรงโมเดลอาร์ติเฟ็กซ์ขนาดใหญ่ เขาอธิบายให้กับนักเรียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาหลายสิบคนฟัง ด้วยความกระตือรือร้น

“นักเรียนทุกคนที่มาที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะของสหพันธรัฐ และในอนาคตก็จะกลายมาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตน! สำหรับการเป็นผู้ฝึกตนนั้น ในสายตาของผู้ฝึกตน อะไรคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุด? และนั่นก็คือ แน่นอนที่สุดว่าต้องเป็นการดูดซับและกลั่นพลังวิญญาณจากฟ้าดิน! ไม่ว่าทุกคนจะรู้อยู่แล้วหรือไม่ก็ตาม พลังวิญญาณที่เราพูดถึงกัน มันคืออะไร? พื้นฐานของมันคืออะไร? ฉันจะบอกให้ทุกคนได้รู้เอง ธรรมชาติโดยพื้นฐานของพลังวิญญาณก็คืออนุภาคมูลฐาน ที่เรียกว่า ‘อนุภาคของพลังงานวิญญาณ’ พวกเราจากมหาวิทยาลัยชิงหยุน คือมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียวที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับอนุภาคพลังงานชนิดนี้อยู่ และแข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ! นักเรียนทุกคนเชิญดูได้เลย!”

ชายชราเคราขาวได้ผายมือของเขาไปยังโมเดลที่มีรูปทรงแปลกประหลาด แกนของมันเป็นมีหลอดรูปร่างแบบวงแหวนขนาดใหญ่ ล้อมรอบแกนเอาไว้จนรอบ ซึ่งดูคล้ายกับยางรถยนต์ที่ทำขึ้นมาจากโลหะ

หลังจากนั้นไม่นาน ประกายแสงได้สะท้อนออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของวงแหวน มันได้พุ่งเข้าไปยังจุดศูนย์กลางด้วยความเร็วสูง พวกมันได้รวมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเสียงดัง “ปัง” เกิดเป็นประกายดาวระเบิดออกมาราวกับพลุ เกิดประกายแสงแสบตาขึ้น

ชายชราเคราขาวพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจว่า:

“นี่คือ ‘เครื่องรวมอนุภาคพลังงานวิญญาณ’ ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมหาวิทยาลัยชิงหยุนของเรา เป็นการปล่อยพลังงานวิญญาณออกมาจากเจ้าเครื่องนี้ ในทางทฤษฎีแล้ว มันสามารถปลดปล่อยพลังได้เท่ากับผู้ฝึกตนสองคนที่ปะทะกันอย่างเต็มกำลังได้ พลังที่ทั้งสองฝั่งปลดปล่อยออกมาจะรวมเข้าด้วยกัน และเกิดเป็นการระเบิดที่รุนแรง ทำให้เกิดเป็นอนุภาคของพลังวิญญาณแตกออกมาจำนวนหนึ่ง อีกไม่นาน เราก็จะสามารถปลดล็อคความลับของพลังงานวิญญาณได้! พวกคุณคิดว่ายังไง นักเรียนทั้งหลาย? หากพวกคุณสนใจอยากจะปลดล็อคความลับของพลังวิญญาณแล้วละก็ จงมาสมัครเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหยุนสิ!”

“ความจริงแล้ว มันเป็นแบบนี้เองสินะ! พลังวิญญาณก็คืออนุภาคมูลฐานอย่างหนึ่งนี่เอง!”

“การปะทะกันของอนุภาคพลังวิญญาณ! มันสุดยอดไปเลย! ฉันอยากจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหยุนจังเลย!”

นักเรียนทั้งหมดที่ฟังการบรรยายของชายชราเคราขาว ต่างทึ่งและพูดคุยกันอย่างเกรียวกราว

แม้แต่หลี่เย้า ก็ยังถูกดึงเข้าไปร่วมในบรรยากาศเหล่านี้ด้วย เขารู้สึกว่า มหาวิทยาลัยชิงหยุนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย

ในเวลานั้นเอง เสียงอันเกรี้ยวกราวที่ดังเสียดแทงเข้าไปในหู ได้ดังมาจากด้านหลังของเขา “นักเรียนทุกคน อย่าโดนคำพูดของไอ้แก่นั่นหลอกเอา ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องหลอกลวงเท่านั้น!”

ชายร่างกายสูงใหญ่ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามา และขึ้นไปยืนบนเวที

ชายคนนี่มีความสูงอยู่ที่ 240 เซนติเมตร เขามีผิวสีแทนเข้ม ผมสีเทา และที่หน้าอกของเขาก็ได้ติดคำว่า “วิทยาลัยทหารแห่งแรกของสหพันธรัฐ”

ใบหน้าของชายชราเคราขาวก็ได้เปลี่ยนเป็นโมโหขึ้นมาในทันที “จ้าวเทียนเกอ ทำไมไม่ไปอยู่ที่บูธของตัวเองล่ะ ไอ้หนู!? แกจะมาที่มหาวิทยาลัยชิงหยุนทำไมกัน?!”

จ้าวเทียนเกอหัวเราะเยาะและหันไปมองนักเรียนที่อยู่รอบๆด้วยสายตาของเวือร้ายที่กำลังจ้องมองเหยื่อ เขาพูดว่า “จงโป๋ยา ฉันทนไม่ได้หรอกนะ ที่ต้องมาเห็นคุณใช้คำพูดไร้สาระและไม่เป็นความจริงมาชักจูงเด็กน้อยที่หลงทางเหล่านี้น่ะ ความหมายของพื้นฐานทางธรรมชาติของอนุภาคพลังงานวิญญาณอย่างงั้นเหรอ? ไร้สาระสิ้นดี! นักเรียนทุกคน! พวกคุณจะต้องไม่หลงไปกับคำพูดของเขาเด็ดขาด ในวงการสถาบันการศึกษายังไม่มีการยอมรับทฤษฎีนี้เลยด้วยซ้ำ! แต่ฉันบอกทุกคนที่อยู่ตรงนี้ได้เลยว่า พลังวิญญาณนั้นไม่ใช่อนุภาค แต่เป็นคลื่นพลังงานที่แยกจากกันไม่ได้! อนุภาคพลังวิญญาณไม่มีอยู่จริง! คลื่นพลังวิญญาณต่างหากที่เป็นของจริง!”

“ไร้สาระ! น่าขันนัก! แกก็เป็นได้แค่ตัวตลกที่อยู่ใต้สรวงสวรรค์เท่านั้น! จ้าวเทียนเกอ ถ้าแกยังเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระอีกละก็ กลับไปที่บูธของแกเลยนะ อย่ามาพ่นเรื่องไร้สาระแถวนี้!” ชายชราเคราขาวจงโป๋ยาดูเหมือนกำลังโมโหมาก และแสดงท่าทางเกรี้ยวกราดออกมา

ตรงกันข้ามกับจ้าวเทียนเกอที่มีเบื้องหลังเป็นกองทัพ เข้ากลับไม่เดือดดาลและโมโหเลยแม้แต่น้อย เขาพูดออกมาอย่างสงบว่า “ในการโต้เถียงโดยการใช้เหตุผลนั้น มันไม่จำเป็นที่จะต้องข่มขู่ผู้อื่น ศาสตราจารย์จงโป๋ยา เมื่อสักครู่ คุณได้แสดงคำพูดที่เกรี้ยวกราดออกมา ทำไมคุณถึงไม่แสดงให้นักเรียนพวกนี้ได้เห็นกันล่ะ ว่าความลับที่พวกคุณ มหาวิทยาลัยชิงหยุนสามารถค้นพบจากการปะทะกันของอนุภาคพลังงานมีอะไรบ้าง?”

ทันทีที่ประโยคนี้ถูกพูดออกมา จงโป๋ยาก็มีใบหน้าซีดราวกับไก่ที่ถูกถลกขนออก เขาเงียบนิ่งไปในทันที ใบหน้าที่ยับย่นกลายเป็นชีดเซียว เขากระแอมกระไออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ในตอนนี้ จากการวิเคราะห์ของเรา ยังไม่สามารถหาความลับของอนุภาคพลังวิญญาณออกมาได้ ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะการปะทะกันของอนุภาคพลังงานยังอยู่ในระดับที่ต่ำจนเกินไป การปะทะกันของผู้ฝึกตนระดับเขตแดนวิญญาณไม่สามารถสร้างแรงระเบิดที่รุนแรงมากพอได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราสามารถสร้างแรงปะทะของผู้ฝึกตนระดับรวมวิญญาณได้ละก็ ผลจากการปะทะของอนุภาคพลังวิญญาณก็จะต้องเผยความลับออกมาได้แน่นอน!”

“พอได้แล้ว!”

จ้าวเทียนเกอใช้สายตาเหลือบมอง เขาตะโกนออกมาด้วยลักษณะของคนที่เป็นทหารเลือดร้อนว่า “เพื่อที่จะสามารถสร้างการปะทะของอนุภาคพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับเขตแดนวิญญาณได้ มหาวิทยาลัยของคุณได้ขอและใช้เงินงบประมาณจากสหพันธรัฐไปแล้วเท่าไหร่? และทำให้วิทยาลัยทหารของเราต้องใช้ชีวิตอย่างยากจน! แล้วในตอนนี้ คุณยังจะบอกว่า จำเป็นต้องพัฒนาการทดลองให้ โดยสร้างการปะทะอนุภาคพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับรวมวิญญาณอย่างงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้น ผมคิดว่า ถึงทางสหพันธรัฐจะให้งบประมาณคุณกี่สิบปี มันก็คงจะไม่มีทางพอหรอก! เงินพวกนี้มันมากพอที่จะเอามาสร้างยานรบได้หลายลำ หรือไม่ก็นำมาสร้างเป็นเกราะรบสำหรับเอาไปต่อสู้ที่ดินแดนรกร้างได้หลายหมื่นชุดแล้ว! สหพันธรัฐให้เงินคุณไปตั้งมาก แต่คุณก็ยังจับได้เจ้าอนุภาคนี้ไม่ได้สักแอะเดียว แล้วคุณยังจะกล้าของบประมาณเพิ่มอีกอย่างนั้นเหรอ? ทั้งที่ความจริงแล้ว เงินพวกนั้นควรจะเอาไปเลี้ยงสัตว์อสูรของทางกองทัพยังจะได้ประโยชน์กว่าซะอีก อย่างน้อย พวกมันก็เอาไปเฝ้าบ้านของคุณได้!”

ความอับอายที่ชายเคราขาวได้รับ ทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และท่าทางที่ดูน่าประทับใจของจ้าวเทียนเกอ ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเกลียดชังมากยิ่งขึ้น อยู่ๆชายชราก็ได้ระเบิดพลังออกมา ภายในพริบตาเดียว ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว พร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่รุนแรงขึ้น เขาพูดออกมาว่า “จ้าวเทียนเกอ ถ้ายังพูดเรื่องไร้สาระออกมาอีกละก็! เราคงต้องออกไปตัดสินกันข้างนอกแล้วล่ะ!”

จ้าวเทียนเกอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงพลังที่จงโป๋ยาปลดปล่อยออกมา เขาส่งเสียงหึออกมา แล้วพูดว่า “จงโป๋ยา คุณคือศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยชิงหยุนไม่ใช่เหรอ? คุณคิดว่าตัวเองเป็นพวกคนป่าเถื่อนเมื่อ 40,000 ปีก่อนเหรอ? การโต้แย้ง, การไม่เห็นด้วย และการถกเถียงในเรื่องของความรู้เป็นความจริงที่มักจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แล้วทำไมผมจะต้องไปเสียเลือดเสียเนื้อของตัวเองด้วยกัน? ถึงคุณจะทำลายและบดขยี้กระดูกของผมจนกลายเป็นเถ้ากระดูก และทำลายดวงวิญญาณของผมจนไม่สามารถกลับมาเกิดได้อีกตลอดกาล...พลังวิญญาณ...ก็ยังคงเป็นคลื่นพลังไม่เปลี่ยน! มันไม่มีทางกลายเป็นอนุภาคไร้สาระนั้นได้หรอก!”

คำพูดเหล่านี้ คล้ายกับสายฟ้าที่ฟาดเขาใส่จงโป๋ยาในพริบตาเดียว หลังจากเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่ง ร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียก ราวกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออก เขาโบกมือและพูดว่า “สหายเต๋าจ้าว สิ่งที่คุณพูดมานั้นถูกต้อง การถกเถียงเกี่ยวกับความจริงนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องของกำลังเข้ามาเกี่ยว มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันเกือบจะตกลงไปในความโกรธแล้ว! การทีฉันสติหลุดเป็นเพราะฉันขาดความยับยั้งชั่งใจและวุฒิภาวะของผู้ใหญ่ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ฉันยืนยันที่จะทำตามเส้นทางที่ฉันต้องการ พลังงานวิญญาณคืออนุภาคมูลฐานชนิดหนึ่งอย่างแน่นอน และสุดท้าย พวกเรามหาวิทยาลัยชิงหยุนจะพิสูจน์ให้ได้เห็นเอง! นักเรียนทุกคน ถ้าหากพวกคุณยอมรับทฤษฎีของฉัน พวกคุณก็สามารถอยู่ต่อและเราสามารถพูดคุยกันเพิ่มเติมได้ แต่ถ้าคุณคิดว่า คำพูดของสหายเต๋าจ้าวนั้นถูกต้อง พวกคุณก็สามารถไปหาเขาได้ และเดินไปที่บูธของวิทยาลัยทหารแห่งแรกของสหพันธรัฐและฟังการบรรยายจากเขาแทน”

“ผมไม่มีการบรรยายเรื่องแบบนั้นหรอก ทางวิทยาลัยของเราเน้นไปที่เรื่องของการปฏิบัติงานมากกว่า และเราก็ไม่มีเรื่องของการวิจัยเกี่ยวกับความลับของคลื่นพลังวิญญาณด้วย ทั้งหมดที่พวกเราทำคือการสังหารสัตว์อสูรและปกป้องประเทศชาติ! นักเรียนทุกคน หากพวกคุณยินดีที่จะต่อสู้กับสัตว์อสูรในสนามรบเคียงข้างผม ถ้าอย่างนั้น คุณก็จะได้รับการต้อนรับและเข้าร่วมกับพวกเราเพื่อปกป้องประเทศชาติไปด้วยกัน! สิ่งที่เราต้องการคือคนหนุ่มเลือดร้อนทั้งหลาย!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด