ตอนที่แล้วบทที่ 136 ข้าไม่สามารถรักษานางได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 138 การประลองแห่งความตาย

บทที่ 137 การประลองเลื่อนขั้น


หลังจากผ่านอาการตกตะลึง เจียงอี้ก็เรียกสติคืนมาและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "เจ้าหมายความว่า นอกเหนือจากสมุนไพรสยบวิญญาณแล้ว สมุนไพรอีกสองชนิดสามารถซื้อได้ด้วยตำลึงทอง?"

เฉียนว่านก้วนแสดงสีหน้าที่เจ็บปวดพร้อมพยักหน้า “มันเป็นไปได้ที่จะซื้อ แต่ราคาสูงเกินไป สุนัขแก่ตัวนี้ไม่ต้องใช้สมุนไพรที่มีค่าเช่นนั้นเพื่อช่วยแม่นางเสี่ยวนู๋หรอก เขากำลังพยายามที่จะขูดรีดเจ้า แต่ลูกพี่ ถ้าเจ้าต้องการซื้อมัน ข้าสามารถให้เจ้าได้ห้าล้านตำลึงทอง นี่เป็นสิทธิ์ทั้งหมดที่ข้าสามารถใช้ได้”

“ไม่จำเป็น!”

เจียงอี้จับมือของเขา “ตระกูลเฉียนของเจ้าอาจจะร่ำรวย แต่นี่เป็นเงินของตระกูลเจ้าไม่ใช่ของเจ้าเสียหน่อย! ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้ามากเกินไป ข้าจะหาทางด้วยตัวเอง แต่มันไม่มีทางที่จะหาซื้อสมุนไพรสยบวิญญาณจริงๆหรือ?”

"เจ้าเป็นหนี้ข้า นั่นมันหมายความว่าอย่างไร?"

เฉียนว่านก้วนถลึงตาและค่อนข้างโมโห "ลูกพี่ เจ้าไม่ได้ปฏิบัติกับข้าในฐานะพี่น้องหรือ? เงินของข้าก็คือเงินของเจ้า ข้าเป็นประมุขน้อยของตระกูล หากข้าบอกว่าข้าต้องการตำลึงทองแค่ไม่กี่ล้าน เจ้าแพะเฒ่าจะกล้าพูดอะไร? ส่วนเรื่องสมุนไพรสยบวิญญาณ…ตอนนี้ยังไม่มีใครนำมาขายทอดตลาด ข้าจะส่งคนไปเสาะหามัน"

"ตกลง! ว่านก้วน ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าอย่างแท้จริง ช่วยข้าหาแหล่งของสมุนไพรสยบวิญญาณมาให้ได้เร็วที่สุดไม่ว่าจะต้องใช้ตำลึงทองมากมายเท่าไหร่! แต่ ... "

เจียงอี้กระพริบตาก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก "ข้าไม่ต้องการตำลึงทองของเจ้าจริงๆ แล้วห้าล้านตำลึงทองก็ไม่เพียงพอเช่นกัน ข้ามีวิธีที่จะหาตำลึงทองได้อย่างรวดเร็ว"

เจียงอี้นั้นกำพร้าและอยู่คนเดียวมาตั้งแต่อายุยังน้อย เขาและเจียงเสี่ยวนู๋พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อความอยู่รอดโดยปราศจากการช่วยเหลือใดๆ ทำให้เขามีความคิดที่ค่อนข้างเป็นอิสระ เขาไม่ชอบขอความช่วยเหลือหรือเป็นหนี้บุญคุณใดๆ เขาชอบพึ่งพาตนเองเพื่อทุกสิ่ง ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธเฉียนว่านก้วนไปโดยธรรมชาติ

เขามีความคิดที่จะหาตำลึงทองและนั่นก็คือการล่าสัตว์อสูร สิ่งที่หุบเขาสามหมื่นลี้ไม่เคยขาดคือสัตว์อสูร วัตถุดิบจากสัตว์อสูรทุกตัวมีค่าเงินจำนวนมากและสัตว์อสูรขั้นหนึ่งและขั้นสองไม่สามารถทำอะไรเจียงอี้ได้

ดูเหมือนเฉียนว่านก้วนจะคิดได้เช่นกันและดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว "ลูกพี่ เจ้าต้องพึ่งเจตจำนงสังหารและตั้งใจจะล่าสัตว์อสูรเหรอ?ทำไมข้าคิดไม่ถึงนะ?"

"เมื่อเจ้าใช้เจตจำนงสังหารของเจ้า สัตว์อสูรเหล่านั้นที่อยู่ต่ำกว่าขั้นสองก็จะถูกจัดการได้อย่างง่ายดาย.. สัตว์อสูรขั้นสองเพียงแค่ตัวเดียวนั้นมีค่าอย่างน้อยก็หลายร้อยตำลึงทอง... "

เฉียนว่านก้วนจินตนาการถึงตำลึงทองที่หลั่งไหลมาจำนวนมหาศาล เขาจินตนาการได้ว่า สัตว์อสูรเหล่านั้นกลายเป็นแกะที่รอการสังหาร เมื่อเจียงอี้เปิดใช้งานเจตจำนงการสังหารครั้งนี้ แค่ความคิดนั้นก็ทำให้เขาตื่นเต้นเสียแล้ว

นัยน์ตาของเจียงอี้ยังเผยให้เห็นร่องรอยของความร้อนแรง เนื่องจากเขาได้เข้าถึงเจตจำนงการสังหาร เขาจะรู้สึกอึดอัดเมื่อเขาไม่ได้ฆ่า ความกระหายเลือดในการต่อสู้และการสังหารเหมือนจะฝังอยู่ในกระดูกของเขาไปแล้ว

เขาพึมพำกับตัวเองและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว "พรุ่งนี้ข้าจะเข้าร่วมการประลองเลื่อนขั้นศิษย์ชั้นยอด เมื่อข้าได้รับทักษะลับที่จะทำให้สัตว์อสูรเชื่อง ข้าจะไปที่หุบเขาทันที จากนั้น ว่านก้วน เจ้าช่วยหาใครสักคนที่จะช่วยข้ารวบรวมวัตถุดิบของสัตว์อสูรและขายมัน เมื่อเรามีเงินมากพอ เราจะซื้อสมุนไพรวิญญาณทั้งสองชนิดก่อน"

ดวงตาของเฉียนว่านก้วนสุกสกาวและพยักหน้าทันที "ตกลง ข้าจะไปกับเจ้า ข้าจะใช้เส้นทางลับเพื่อเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นศิษย์ชั้นยอดเช่นกันและทำให้สัตว์อสูรเชื่องเพื่อหาความสนุก เมื่อข้าหมดสนุกแล้ว ลูกพี่ก็จะช่วยข้าปราบสัตว์อสูรได้ด้วยเจตจำนงสังหาร จากนั้นมันก็จะง่ายสำหรับข้าที่จะทำให้สัตว์อสูรเชื่อง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้านี่หลักแหลมจริงๆ!"

"อืมมม…ข้าขอคิดก่อนนะว่าข้าอยากทำให้สัตว์อสูรชนิดใดเชื่อง? เสือโลหิตขั้นที่สอง? มันดูไม่โดดเด่นพอ อืมม...ราชสีห์ดุร้าย? มังกรมีปีก? หรือจะเป็นเจ้าแห่งหมีดีนะ?”

...

ในเช้าวันถัดมา เจียงอี้ไปที่สำนักและสมัครการเลื่อนตำแหน่ง เมื่อข่าวกระจายออกไปก็เกิดความโกลาหลขึ้นในสำนัก

มีข่าวลือว่าความแข็งแกร่งการต่อสู้ของเจียงอี้นั้นเป็นอันดับหนึ่งในสำนัก แต่ศิษย์ชั้นยอดและศิษย์อัจฉริยะหลายคนยังไม่ได้เห็นและไม่เชื่ออยู่แล้ว ตอนนี้พวกเขามีโอกาสที่จะได้เห็นแล้ว และศิษย์ชั้นยอดถือว่าได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเขาด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาทุกคนต่างพากันตื่นเต้น

รองเจ้าสำนักฉีเป็นเจ้าภาพในการประลองเลื่อนขั้นครั้งนี้เป็นการส่วนตัว ศิษย์ห้าคนที่ถูกเลือกไม่ใช่ไม่ใช่ใครก็ได้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งหมดนั้นอยู่เหนือขั้นที่สามของขอบเขตจื่อฝู่

ณ จัตุรัสของตำหนักใหญ่ การท้าทายยังไม่เริ่มขึ้น แต่เหล่าศิษย์และอาจารย์ส่วนใหญ่ต่างก็มารวมตัวกันที่นี่แล้ว แต่ศิษย์ที่มาจากตระกูลเจียงและตระกูลจ่างซุนไม่กล้าโผล่หน้าของพวกเขาออกมา

เจียงนี่หลิวถูกกักบริเวณในบ้านและจ่างซุนอู๋จี้กลับไปยังตระกูลจ่างซุน หากไม่มีใครสนับสนุนพวกเขา ไม่ว่าเจียงอี้จะปรากฏอยู่ที่ใดก็ตาม พวกเขาก็จะหายตัวไปโดยอัตโนมัติ

"ตึกตักๆ ตึกๆ!"

เสียงฝีเท้าจากทางทิศตะวันตกและสายตาที่นับไม่ถ้วน ศิษย์หญิงหลายคนต่างพากันหลงใหลเมื่อพวกนางเห็นนายน้อยสามในสี่คนเดินมาแต่ไกล สายตาของพวกนางร้อนแรงเป็นพิเศษเมื่อเห็นนายน้อยเสื้อคลุมเขียวที่อยู่ตรงกลาง

"เอ๊ะ? เจ้าอ้วนเฉียน ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าสาวงามพวกนั้นก็ชอบเจ้าเช่นกัน!"

จ้านอู๋ซวงหยอกล้อเฉียนว่านก้วนเมื่อเขาเห็นศิษย์หญิงหญิงจ้องมองมาที่เฉียนว่านก้วน เขาสะบัดผมอย่างแรงและพูดอย่างเฉยเมย "นายน้อยผู้นี้ทั้งหลักแหลมและมีเสน่ห์ จะแปลกตรงไหนหากจะมีสาวงามมาชอบข้า?"

"อุ๊บบ.ฮ่าๆๆ.."

จ้านหลินเอ๋อร์ระเบิดเสียงหัวเราะคิกคักและเย้าหยอก "พวกเขาไม่ได้ชอบเจ้าอ้วนเฉียนหรอก พวกเขาชอบเงินของตระกูลเจ้าอ้วนเฉียนน่ะ"

"ฮ่าๆๆ!"

เจียงอี้หัวเราะออกมาและไม่ได้รู้สึกมีความกังวลใดๆสำหรับการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้น เขากวาดตามองไปมาอย่างรวดเร็วและเห็นสาวงามนางหนึ่งที่แต่งกายเย้ายวน เจียงอี้ตบไหล่จ้านอู๋ซวงและกระซิบว่า "องค์หญิงหยุนเฟยกำลังมองเจ้าอยู่!"

จ้านอู๋ซวงหันไปมององค์หญิงหยุนเฟยโดยไม่รู้ตัว เมื่อพวกเขาสบตากัน พวกเขาทั้งคู่ก็ปล่อยเสียงหายใจที่ดังมากๆและเบือนหน้าหนีไป เจียงอี้ถอนหายใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองชอบพอกัน แต่ทำตัวราวกับว่าพวกเขามีความบาดหมางกัน มันดูตลกและน่าหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน

"องค์หญิงหยุนเฟย!"

จู่ๆเจียงอี้ก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเดินไปหาองค์หญิงหยุนเฟย เขาชี้ไปที่จ้านอู๋ซวงแล้วหัวเราะ "วันนั้นพวกเจ้ายังไม่ได้ตัดสินการแข่งขันเลย ทำไมไม่ให้ข้าต่อสู้ในนามของจ้านอู๋ซวงล่ะ วันนี้ หากข้าแพ้ ข้าจะจูบเท้าของสาวใช้ หากเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องจูบพี่จ้านของข้า ว่ายังไงล่ะ? "

"โอ้วว!"

ศิษย์ที่อยู่ใกล้ๆต่างพากันตกตะลึงในทันที ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น พวกเขาจะอุ่นเครื่องก่อนการประลอง? และมันก็เป็นการเดิมพันที่ช่างน่ายั่วเย้าเช่นนี้?สายตาที่จับจ้องไปที่องค์หญิงหยุนเฟยเพราะอยากเห็นว่าอันดับหนึ่งของสำนัก จะกล้ายอมรับการประลองนี้หรือไม่ พวกเขายังต้องการพิสูจน์ว่าเจียงอี้นั้นโหดเหี้ยมจริงเหมือนกับข่าวลือหรือไม่ด้วย

การแสดงออกขององค์หญิงหยุนเฟยเปลี่ยนไป นางพูดจาอย่างเย็นชา "เจียงอี้ ฝันไปเถอะ ข้าว่าเจ้าชอบสาวใช้ของข้าใช่หรือไม่? ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีโอกาสหรอก หากเจ้าต้องการประลอง ก็ให้จ้านอู๋ซวงมาสู้สิ เพื่อจะได้เห็นว่าองค์หญิงผู้นี้จะทรมานเขาอย่างไรบ้าง"

เมื่อองค์หญิงหยุนเฟยปฏิเสธการประลอง พวกเขาหลายคนต่างก็ผิดหวัง…และตกใจเช่นกัน ดูเหมือนว่าเจียงอี้นั้นจะน่ากลัวจริงๆ

"ตึก ตัก ตึก!"

เสียงฝีเท้าดังก้องมาจากทางเหนือ ทุกคนไม่กล้าพูดสิ่งใดและต่างพากันมองไปทางทิศเหนือ

รองเจ้าสำนักฉี และรองเจ้าสำนักหลายคนและกลุ่มอาจารย์เดินมาอย่างรวดเร็ว พวกเขามาถึงศูนย์กลางของจัตุรัสและมองไปรอบๆ รองเจ้าสำนักฉียกมือขึ้นและทำท่าให้ฝูงชนเงียบก่อนที่จะพูดว่า

"หลังจากข้าได้ปรึกษากับรองเจ้าสำนักหลายคน เราได้ตัดสินใจแล้วว่ากฎการประลองเลื่อนขั้นจะเปลี่ยนไป เนื่องจากความแข็งแกร่งที่ผิดปกติของศิษย์เจียงอี้"

"ศิษย์เจียงอี้ หากเจ้าสามารถผ่านการประลองในวันนี้ เจ้าจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์อัจฉริยะได้ทันที นอกจากนี้เจ้ายังจะได้รับศาสตร์ลับฝึกสัตว์วิญญาณรวมไปถึงเครื่องร่างสัตว์วิญญาณชั้นยอดและได้สิทธิ์ในการใช้อย่างถาวร”

สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดในตำหนักทักษิณเจ้าใช้ได้โดยไม่ต้องเสียอะไร และแน่นอน ... คู่ประลองของเจ้าก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน จากศิษย์ห้าคนจะกลายเป็นศิษย์ห้าสิบคน ซึ่งในนั้นจะมีอาจารย์สิบคนปะปนด้วย เจ้ากล้ายอมรับการประลองนี้หรือไม่?"

"โอ้....!"

ฝูงชนต่างระเบิดความตะลึงออกมา รางวัลแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ความยากของการประลองนั้นช่างบ้าบิ่นเกินไป แม้แต่อาจารย์ยังเข้าร่วมการต่อสู้?

ยายเฒ่าใจแคบ!

เจียงอี้สาปแช่งอยู่ในใจของเขา เจียงเหรินถูทำให้นางขุ่นเคือง แล้วเขาเกี่ยวข้องอะไรด้วยเล่า? เห็นได้ชัดว่ารองเจ้าสำนักฉีใช้เรื่องนี้มาจัดการกับความไม่พอใจส่วนตัวของนาง แต่เขาจะพลาดโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เขาเดินออกไปช้าๆและมองไปรอบๆ "ตกลง ข้ายอมรับการท้าทาย! แต่ ... ข้ามีคำขอ!"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด