ตอนที่แล้วบทที่ 203 - ฤดูกาลที่สอง (6) [16-07-2020]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 205 - คุณสมบัติของนักสำรวจ (2) [20-07-2020]

บทที่ 204 - คุณสมบัติของนักสำรวจ (1) [18-07-2020]


บทที่ 204 - คุณสมบัติของนักสำรวจ (1)

แม้ว่าจะคิดเอาไว้บางแล้ว แต่ว่าด้วยความสำเร็จที่กิลด์รีไวเวิร์ลได้ทำไว้ในก่อนหน้านี้ทำให้อิทธิพลของเรามาถึงจุดที่ไม่สามารถจะจินตนาการได้ เพียงแค่ประกาศออกไปว่าเป็นเรื่องสำคัญทุกๆที่ก็ได้แตกตื่นกันโดยที่ไม่ต้องยืมมือฮวาหยา

"ลีอนนนี่ฉันเองนะ"

"ว่าไงเพื่อน เป็นไงบ้าง มีดันเจี้ยนใหม่เกิดมาหรอ"

เราไม่สามารถปล่อยลีออนไว้ในตอนที่เราจะประกาศสิ่งที่สำคัญออกไปพวกเราเลยได้เรียกเขามาด้วย จากนั้นพวกเราก็ได้อธิบายถึงแผนที่ได้วางเอาไว้และสิ่งที่เราต้องการจะให้เขาทำหลังจากที่เราประกาศออกไป หรือก็คือเขาไม่จำเป็นต้องซ่อนสถานะนักสำรวจอีกต่อไปแถมเขายังสามารถสร้างนักสำรวจดันเจี้ยนได้ตราบใดที่คนๆนั้นตรงกับเงื่อนไขทั้งสองข้อ

ลีออนได้บินมาทีเกาหลีในทันทีหลังจากคิดเล็กน้อยอย่างที่เราไม่คิดมาก่อน เหตุผลที่เขาตอบก็คือมันน่าสนใจ

"ถ้าฉันสามารถจะทำให้ผู้ใช้พลังในอเมริกาเป็นนักสำรวจ นั่นก็หมายความว่าอเมริกาก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นับตั้งแต่ที่รัฐบาลได้รู้ว่าฉันทำสัญญากับพวกนายมันก็ชัดเจนแล้วว่าฉันได้เริ่มข้ามเส้นตั้งแต่เริ่มต้น ฉันเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนแล้วมันจะไม่ถูกต้องหากฉันซ่อนตัวอยู่ในเงา"

"ฮ่าห์ นายนี่เร่าร้อนจริงๆลีออน ขอบคุณนะ"

"นายก็รู้จักฉันดีเพื่อน"

ดันเจี้ยนมันเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่มาก เนื่องจากเราได้ซ่อนมันไว้ตลอดเวลาไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเกิดการวิพากวิจารย์จำนวนมาก แน่นอนว่าฉันก็มั่นใจว่าไม่ต้องสนใจในเรื่องนี้ แน่นอนเรายินดีเปิดแขนต้อนรับพวกเขา การที่ลีออนก็ยังอยู่กับเราด้วยทำให้ผู้คนยิ่งเริ่มสนใจกับการประกาศนี้

เร็นและเลอบิคสองคนนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่ามีโลกอื่นอยู่อีก แต่ว่าเพื่อที่จะเป็นการอธิบายถึงอันตรายที่โลกกำลังเผชิญอยู่ พวกเราได้ตัดสินใจจที่จะเอาเหล่าเด็กๆเหล่ามนุษย์สัตว์ที่เราช่วยเอาไว้มารวมด้วย หลังจากที่มีการแข่งขันกันเล็กๆในหมู่เด็กๆเอลฟ่าคือผู้ถูกเลือก

เดี๋ยวนะ มีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับเอลฟ่าที่ถูกเลือก ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะจริงจังกันไไปหน่อยหรอ นอกจากนี้เอลฟ่าฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าเธอจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เธออาจจะสามารถเริ่มปีนดันเจี้ยนในตอนนี้ได้เลยด้วยซ้ำ

ฉันเพียงแค่พูดออกไปว่าจะมีหนึ่งในพวกเขามากับฉัน จากนั้นเอลฟ่าก็พุ่งไปจัดการน็อกคนอื่นๆอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงแค่ 2 วินาที จากนั้นเธอก็เช็ดเลือดออกจากขาและถามฉันด้วยรอยยิ้มอย่างร่าเริง

"หนูขอนักบนตักพี่ได้ไหม"

"ไม่"

ไอน่าที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันได้ตะโกนออกไป

"นั่นเป็นที่ของฉัน"

"หยี้ ฉันเกลียดเธอ"

"ฉันก็เกลียดเธอเหมือนกัน"

ไอน่าและเอลฟ่าต่างก็จ้องเขม็งไปที่กันและกันด้วยท่าทางที่ต้องการจะสู้กัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากไอน่าทำพลาดไปเอลฟ่าได้ตัวแข็งไปแน่ ดังนั้นฉันจึงแปลกใจมากกับการควบคุมของไอน่า อืมม ฉันมั่นใจได้เลยว่าพวกเธอก็คงกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในอนาคต ใช่แล้วฉันแค่หวังว่าไอน่าคงจะไม่เผลอแช่แข็งไอน่าน่ะนะ

วันต่อมาทุกๆคนได้มายืนต่อหน้าคนทั้งโลกพร้อมๆกัน สื่อนับร้อยได้มารวมตัวกันกับการแถลงข่าวนี้และแสงแฟรชได้กระพริบอย่างวุ่นวายทำให้ฉันยังรู้สึกรำคาญ

ถึงแม้ว่าจะอยู่จุดศูนย์กลางแต่ฉันก็ต้องการให้มันหันไปทางอื่นบ้าง... หรือให้ดีกว่านี้คืออฉันต้องการให้สนใจในทุกๆคนในรีไวเวิร์ลไม่ใช่แค่ฉัน ฉันได้พาทุกๆคนมาด้วย ลีออนก็ยังคนนั่งอยู่ ส่วนไอน่าและฮวาหยาก็นั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนเอลฟ่าได้อยู่กับเลอบิคด้วยเหตุผลที่ว่าหัวหน้ากิลด์จะดูไม่สมศักดิ์ศรีหากมีเด็กสาวตัวเล็กๆมาอยู่ข้างๆ

หลังจากที่เห็นทุกคนที่อยู่ที่นี่ ฉันได้จับไมค์มาที่ปาก

"ดันเจี้ยนมันมีมาก่อนเหตุการณ์ดวงจันทร์แฝดหลายสิบปีแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนที่สร้างดันเจี้ยนหรือดูแลมัน สิ่งเดียวที่รู้ก็คือการมีอยู่ของมัน พ่อของฉันและคนอื่นๆอีกหลายคนได้ทำงานในฐานะนักสำรวจ แม้ว่าเราจะเพิ่งเริ่มมามีพลังในตอนที่มีดวงจันทร์แฝดก็ตาม"

"ถ้างั้นคุณก็ต้องการจะบอกว่าคุณสามารถเข้าไปในสิ่งนั้นได้... ดันเจี้ยนนั่นมันเชื่อมกับโลกอื่นๆหรอ แล้วก็พลังของคุณได้พัฒนาขึ้นที่นั่นใช่ไหม"

"แน่นอนว่าสิ พวกเราสามารถพิสูจน์ในเรื่องนั้นได้ มีสมาชิกของเราสามคนที่นี่คือเร็น เลอบิค และเอลฟ่าที่มาจากต่างโลก ในปัจจุบันโลกของพวกเขาได้ถูกยึดไปโดยเผ่าพันธ์ที่เรียกว่าเอลพาทิสซึ่งมันเป็นสิ่งที่คล้ายๆกับมอนสเตอร์ที่บุกมาในโลกเรา ฉันได้รับพลังที่จะไปโลกอื่นผ่านดันเจี้ยนและไปช่วยเร็น เอลฟ่าและเด็กคนอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ที่นี่"

"ทำไมถึงโดนยึดล่ะ"

ตามที่คาดเอาไว้พวกเขาให้ความสนใจในทวีปพาแนน ในตอนที่ฉันกำลังจะตอบกลับไปเอลฟ่าก็ตะโกนออกมา

"พวกมันกินสมอง จากนั้นพวกมันก็แกล้งทำตัวเป็นคนๆนั้น พวกมันกินยูรุโต๊ะไปเหมือนกันแล้วก็แม้แต่ฮีโร่อีกด้วย"

"...เรื่องแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งทวีปของพวกเธอ คนธรรมก็ยังถูกฆ่าไม่ก็ถูกกินโดยพวกเอลพาทิส และแม้แต่มอนสเตอร์หรือสัตว์ในระบบนิเวศก็ถูกควบคุม แม้ว่านักสำรวจดันเจี้ยนจะพยายามหยุดยั้งพวกมัน แต่มันสายเกินไปแล้ว ในท้ายที่สุดเร็นและเองหนีมายังโลกของเรา"

ห้องแถลงข่าวได้เงียบลงไป มันอาจจะยากที่จะจินตนาการถึงมอนสเตอร์ที่กินสมองของคน ยังไงก็ตามได้มีคนถามออกมาเพื่อทำลายความเงียบ

"แต่แล้วไหนล่ะหลักฐาน ไม่ใช่ว่ามันเคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อนหรอ คนที่มีหูสัตว์แบบนี้ไม่ใช่ว่าพวกนี้เป็นมอนสเตอร์หรอกหรอ"

"พวกเราแค่อาศัยอยู่ในโลกทีกต่างกับพวกเรา พวกเรามีสติปัญญาที่เท่ากับมนุษย์และที่สำคัญไปกว่านั้นพวกเขาก็ต่อสู้กับมอนสเตอร์เหมือนกับเรา นายคิดจะปฏิบัติกับคนที่ต่างกับเราเป็นศัตรูงั้นหรอ"

"ชูนะกับฉันก็เป็นโลกจากโลกอื่นเหมือนกัน ชินช่วยพวกเราเอาไว้จากศัตรูของโลกเดม่อนลอร์ด"

รูเดียได้พูดออกมา แม้ว่าเธอจะไม่ได้มาจากโลก แต่เพราะเธอดูเหมือนกับพวกคนผิวขาวดังนั้นก็ไม่มีทางที่จะพิสูจน์ว่าเธอมาจากโลกอื่น ดังนั้นนี้คือเหตุผลที่ฉันพาเร็น เลอบิคและเอลฟ่ามา

"คนจากโลกของฉันได้ต่อสู้กับกองทัพเดม่อนและกองทัพปีศาจมานานมาก พวกเราเพิ่งจะแพ้มันเมื่อไม่นานมานี้ ชินได้รับทักษะที่เรียกว่าท่องมิติและเขาได้มาช่วยฉัน ฉันเสียใจที่ฉันไม่สามารถเห็นสภาพโลกของฉันได้เลย ถ้านายได้เห็น ฉันจะไม่สงสัยเลยหากพวกนายเห็นแค่หินมานาเป็นเพียงแค่แหล่งพลังงานธรรมดา"

"เดม่อนลอร์ด ปีศาจ"

"ไม่ใช่แค่เดม่อนลอร์ดและเอลพาทิสเท่านั้นที่เป็นศัตรูของโลก มันยังมีผู้บุกรุกอีกหลายๆโลกที่กำลังถูกบุกอยู่ในเวลาเดียวกันโดยกองกำลังที่ต่างกันออกไป อย่างโลกนี้อีกไม่นานนักหรอกที่การบุกมันจะเริ่มขึ้น แต่ว่าเราก็ไม่สามารถจะผ่อนคลายได้ หลังจากที่เดม่อนลอร์ดพิชิตทวีปลูก้าแล้ว มันก็ได้เริ่มบุกมาที่โลกอื่นในทันทีและโชคร้ายที่โลกของเราถูกมันเลือกพอดี โลกของเราในตอนนี้กำลังเผชิญกับการโจมตีของสองกองกำลัง การบุกรุกของทั้งสองกำลังนี้ทำให้ช่องมิติสู่โลกของเราขยายขึ้นและเร่งเวลาของการบุกรุกนั่นเป็นเหตุผลที่เราเหลือเวลาเพียง 2 ปี"

"สิ่งที่คุณเพิ่งพูดมามันเกี่ยวกับมันคุณไหม คุณทำให้เกิดเรื่องร้ายแบบนี้ด้วยการไปช่วยผู้หญิงคนหนึ่งหรอ"

ในฐานะที่ฉันก็สงสัยในเรื่องนี้เหมือนกัน ฉันก็ไม่สามารถจะตำหนินักข่าวคนนี้ได้ แม้ว่าหลังจากที่ฉันได้รับคำตอบจากโรเล็ตต้าแล้วฉันก็ยังคงสงสัยอยู่ ยังไงก็ตามถ้าความสงสัยของฉันมันเป็นจริงนั่นก็หมายความได้หนึ่งในสองสิ่ง นั่นคือฉันได้ทำความผิดพลาดที่ร้ายแรงด้วยการกลายเป็นทหารรับจ้างต่างมิติในฐานะของฮีโร่หรือดันเจี้ยนซึ่งมันได้ช่วยให้ฉันได้พัฒนาขึ้นตลอดเวลาความจริงแล้วมันมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ยังไงก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่เหลวไรและน่ารำคาญที่จะไปคิดมัน ฉันทำได้แต่เพียงเชื่อมั่นว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นที่ว่าเป้าหมายต่อไปของเดม่อนลอร์ดคือเรา

"ถ้านั่นเป็นคำถามล่ะก็นายก็ควรจะถามก่อนว่าดันเจี้ยนเป็นมิตรหรือศัตรูของเรา ถึงแม้ว่าฉันจะไม่แน่ใจกับมันได้ แต่ถ้านั่นมันเป็นจริงล่ะก็มันก็ไม่มีอะไรที่เราจะเชื่อถือได้ แน่นอนว่านั่นมันเป็นนายที่เลือกว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ว่ายังไงก็ตามดันเจี้ยนเป็นสิ่งจำเป็น ถ้านายเชื่อเราก็ฟังซะ"

จากนั้นฉันก็บอกพวกเขาถึงเงื่อนไขที่จะกลายมาเป็นนักสำรวจดันเจี้ยน

"ถ้านายสามารถจะทำตามเงื่อนไขทั้งสามประกายได้ ฉันและทุกคนในรีไวเวิร์ลที่เหลือก็จะยอมรับนายในฐานะนักสำรวจคนใหม่ ฉันจะทำให้มันชัดเจนนะ พวกเราไม่ได้มีเจตนาในการควบคุมพวกนาย นายเพียงแค่ต้องสู้กับมอนสเตอร์ตามที่นายสบายใจ สำหรับศัตรูของโลกฉันจะเอาชนะพวกมันเอง"

"ทำไมคุณถึงเก็บเรื่องสำคัญอย่างนี้มาจนถึงตอนนี้ล่ะ ถ้าหากคุณบอกเรื่องนักสำรวจก่อนหน้านี้มันก็จะมีการพัฒนาที่ง่ายขึ้น"

"มันเป็นเพื่อที่คุณจะได้ผูกขาดอำนาจใช่ไหม หากเป็นแบบที่คุณบอกมาการเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนมันคือสิทธิ์พิเศษ ไม่ใช่ว่าการเชื่อฟังคุณคือทางเดียวที่จะกลายเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนหรอ นี่มันคือการยึดอำนาจเหนือสังคมยุคใหม่"

ฉันไม่ได้ถูกยั่วจากคำพูดนี้ ในตอนที่เสียงทั้งห้องโถงเริ่มดังวุ่นวายไอน่าได้รำคาญและพยายามจะปล่อยพลังงานเยือกแข็งออกมา แน่นอนว่าฮวาหยาได้หยุดเธอและปลอบเธอในทันที ใช่แล้วเราไม่สามารถจะใช้ความรุนแรงได้

ยังไงก็ตามเสียงของพวกเขาก็ยิ่งดังขึ้นและพวกเขาก็เริ่มพูดถึงสิทธิต่างๆในการแต่งตั้งนักรวจดันเจี้ยน สิ่งนี้ยิ่งทำให้มันน่ารำคาญมาก มันจะไม่มีความหมายอะไรในการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้

ฉันได้สูดหายใจเข้าเบาๆ ปิดตาลงและเปิดขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศได้เปลื่ยนไปเล็กน้อยในทันที ครู่หนึ่งมันก็เปลื่ยนไปมาก

สิ่งที่ฉันทำไปก๋ง่ายๆ ฉันได้เปิดใช้งานนัยตาซัคคิวบัส จิตวิญญาณนักฝึกสัตว์ และทักษะอื่นๆที่เพิ่มเสน่ห์ซึ่งฉันได้ยับยั้งมันเอาไว้ตลอดมาจนถึงตอนนี้ ในเวลาเดียวกันฉันก็เพิ่มพลังออกไปจนถึงขีดสุด อย่างสุดท้ายคือฉันได้เสริมพลังลงไปในดวงตามารของฉันประมาณหนึ่งแต่ว่าไม่เพิ่มจนถึงระดับที่ทำให้พวกเขากลายเป็นหิน

เสน่ห์นั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงไปถึงอิทธิพลต่อคนอื่นๆ ในตอนที่ฉันปล่อยเสน่าห์ของฉันออกมา ผลลัพธ์ทำให้ทุกอย่างนั้นดียิ่งขึ้น ฉันได้มองไปรอบๆอย่างช้าๆในขณะที่ปล่อยทั้งเสน่ห์และความน่าหวาดหวั่นออกมา

"อึก"

"พระเจ้า"

"นั่นเขา...เป็นมนุษย์อยู่หรอ"

"ตาของเขาเรืองแสงสีทอง"

ฉันได้พูดออกไปอย่างช้าๆ

"พัฒนานักสำรวจหรอ แน่นอนนั่นมันฟังดูดี การเพิ่มจำนวนนักสำรวจและพลังของมนุษยชาต นั่นมันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมและเป็นสิ่งที่ฉันก็ต้องการ แต่น่าเสียดาบที่สิ่งนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้มันสำเร็จได้ง่ายๆ ถ้าหากทุกคนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดมันจะมีสงครามงั้นหรอ ฆาตกรล่ะ อาชญากรรม ในอดีตมนุษย์มักจะมุ่งไปสู่ความตายเสมอ นั่นมันเป็นเรื่องจริงความโลภมันไม่สนว่าจะเป็นคนจากรัฐบาล องค์กรต่างๆหรือบุคคลทั่วไป ถ้าหากรีไวเวิร์ลไม่แข็งแกร่งพอพวกนายจะมาฟังเราแบบใจเย็นๆไหม ไม่เลย นายจะพยายามบังคับเราให้ทำตามที่นายต้องการ วิกฤติของโลกหรอ ฉันสงสัยฟังว่าพวกนายเคยได้ยินไหม มอนสเตอร์ที่ยังเหลือเต็มไปหมด เกต มานาสโตน ผลประโยชน์มันจะไม่ถูกจำกัดแค่นี้แน่"

ทั้งห้องโถงได้กลายเป็นเงียบสนิทลงไป

"นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องการพลัง เพื่อที่จะทำให้ทุกคนฟังเรา เราจะต้องแข็งแกร่ง ในตอนนี้พวกเราก็พร้อมที่จะพูดและพวกนายก็พร้อมที่จะฟัง นายสามารถไม่สนใจในสิ่งที่ฉันจะพูดได้ไหม ถ้าพวกเราไม่ได้มีพลังมาสนับสนุนคำพูดของเรา นายจะให้ความสนใจกับเราหรอ"

"....คุณจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าคุณจะไม่เป็นแบบนั้น"

ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้ถามออกมาอย่างชัดเจน นี่คือผู้ใช้พลังระดับ SS ของฝรั่งเศษ แรส มิเชล แม้ว่าฉันจะไม่เคยคาดคิดมาก่อนแต่มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เขาพูดออกมาอย่างมั่นใจว่าเขาจะรอวันที่ฉันได้บอกเขาทุกๆอย่าง ในตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะเดินทางมาที่เกาหลีเพื่อสิ่งนี้

"ทุกสิ่งที่นายพูดมันถูก ไม่จำเป็นต้องคำถึงความผิดพลาดทั้งหมดที่ถูกกระทำโดยมนุษย์ ยังไงก็ตามสิ่งที่นายพูดมันมีน้ำหนักเพียงแค่ข้างเดียว หากกลุ่มของนายไม่ได้แตกต่างไปจากกลุ่มที่ทรงพลังอื่นๆล่ะ ฉันต้องการจะถามนายหน่อยนายมั่นใจในการที่จะไม่หาผลประโยชน์ตัวเหนือผลประโยชน์ต่อผู้อื่นหรอ นายจะมอบสิทธิการเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนอย่างยุติธรรมไหม นายจะไม่ควบคุมพวกเขาเพื่อเป้าหมายของนายงั้นหรอ"

คำถามทั้งหมดนี้เป็นคำถามที่ดี แต่ถ้าหากจะมีใครที่จะต้องตอบคำถามของเขามันก็จะต้องเป็นฉัน

"ฉันมีทุกอย่างที่ฉันต้องการอยู่แล้ว อำนาจทางการเมืองหรอ ฉันไม่สนใจมันหรอก นอกจากนี้ถ้าฉันต้องการจริงๆฉันก็สามารถทำมันได้โดยไม่ต้องทำให้มันวุ่วายแบบนี้ ในตอนนี้ฉันเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแถมฉันยังมีเงินมากพอที่จะเติมเต็มมหาสมุทรด้วยทองอีกด้วย ฉันมีเพื่อนที่ดี มีพ่อแม่ที่รัก และน้องสาวกับลูกสาวที่สวยที่สุดในโลก"

"ละ ลูกสาว?"

ในขณะที่สื่อกำลังงุนงง ไอน่าได้เพ่นหน้าอกของเธอออกมาอย่างภูมิใจ ในขณะที่ยุยได้ซ่อนใบหน้าที่เขินเอาไว้ อืมม พวกเธอน่ารักจริงๆ

"มิเชล ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถจะขัดขวางเป้าหมายของฉันได้ ดังนั้นทำไมฉันจะต้องมาทำให้วุ่นวายด้วยล่ะ ให้คนนับถือฉันหรอ ฉันไม่ได้ต้องการเลย ฉันเกลียดคนที่เป็นแบบนั้นที่สุด นี้มันคือสิ่งที่นายควรจะจำเอาไว้ ถ้าหากนายต้องการจะเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนก็แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ถ้านายคิดว่าพวกเราไม่มีวิธีที่จะอ่านคนหรอ ฉันก็เรียกนายได้แค่ว่าไอ้โง่"

ดวงตามารของฉันได้ส่องแสงออกมาและย้อมแสงสีทองไปทั้งห้องโถง เมื่อเห็นดวงตาของเดซี่ที่เปล่งประกายมันดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันบอกเธอแล้ว หรือไม่บางทีเธอก็แค่กำลังคิดถึงสิ่งที่เรากำลังจะกินเป็นอาหารเย็น

"อย่างที่ฉันพูดออกไปมันมีเพียงแค่สามเงื่อนไขเท่านั้น มีความสามารถในการปีนดันเจี้ยนได้อย่างมั่นใจ ไม่ใช่อำนาจการแต่งตั้งนักสำรวจโดยที่ไม่ได้รับอนุญาติ และไม่สร้างอันตรายต่อคนอื่นโดยใช้อำนาจของตัวเองโดยไม่ระวัง แม้ว่าเราจะมีวิธีตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนๆนั้นเป็นคนที่ดี แต่นี่ก็เป็นวิธีที่จะสร้างความแน่นอนเอาไว้ เราไม่ได้ต้องการที่จะควบคุมใครแต่ยังไง แน่นอนพวกเราจะบอกรายละเอียดทางเทคนิคที่ลึกกว่านี้ในตอนก่อนที่จะกลายมาเป็นนักสำรวจ ง่ายๆเลยเพียงแค่นายจะต้องอยู่ภายใต้สัญญาเหล่านี้"

"ถ้างั้นทุกคนก็สามารถจะกลายเป็นนักสำรวจได้หรอ"

"ทุกคนที่ไม่ละเมิดเงื่อนไขของเรามีสิทธิที่จะมาเป็นนักสำรวจ พวกเราเพียงแค่จะพยายามจำกัดสิทธิในการแต่งตั้งนักสำรวจใหม่เพียงเพราะเพื่อจะไม่ให้เกิดนักสำรวจที่อ่อนแอหรือคนที่มีจิตใจที่ชั่วร้าย ตามที่ฉันได้บอกไปก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้ต้องการจะควบคุมพวกนาย พวกนายสามารถต่อสู้เพื่อประเทศ ครอบครัว หรือเพื่่อตัวนายเองได้ตามในแต่วิธีของตัวนาย"

"อืม...."

"สัญญานี้จะผูกมัดวิญญาณพวกเราเดียวกัน ถ้าหากว่ายังมีข้อสงสัยในตัวฉันอยู่ ฉันก็ก็สามารถจะเพิ่มข้อป้องกันไม่ให้ฉันไปรบกวนนายในกรณีที่ยังมีเงื่อนไขสามประการอยู่ได้เหมือนกัน แต่ว่าหากใครที่ฝ่าฝืนสัญญานี้ก็จะถูกดึงวิญญาณออกมา"

มิเชลได้จ้องตรงมาที่ฉันจากตรงที่นั่ง มันดูเหมือนว่าเขาจะได้พูดในสิ่งต้องการจะพูดหมดแล้วและเข้าก็เลือกที่จะนั่งดูนับจากนี้ แน่นอนว่าคนอื่นๆนอกเหนือจากมิเชลไม่มีใครที่กล้ามาคุยกับฉัน

"ฉันจะพูดอีกครั้งนะ เรามีเวลาเหลือเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น พวกเราจะต้องทิ้งความก้าวหน้าของมนุษยชาตเอาไว้ก่อนและยกหอกและดาบของเราขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับมอนสเตอร์ ไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้ก้าวหน้ามนุษยชาตจะต้องเสื่อมโทรีมจนกระทั่งอาจจะสูญสิ้นเผ่าพันธ์ไป"

"สูญสิ้นเผ่าพันธ์ คุณพูด..."

"รีไวเวิร์ลและผู้ใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่จะต้องปกป้องไม่ให้เกิดแบบนี้ขึ้น ถ้านายต้องการจะสู้กับมอนสเตอร์ในแนวหน้าก็ติดต่อมาหาเรา เราจะช่วยนายเอง"

การแถลงข่าวได้สิ้นสุดลงไปแล้ว คนทั้งโลกได้เห็นและได้ยินแล้ว ความจริงที่อยู่เบื้องหลังของมอนสเตอร์และการมีอยู่ของดันเจี้ยนได้ถูกเปิดเผยสู่โลกแล้ว พวกเราในตอนนี้พร้อมที่จะวิ่งไปต่อโดยไม่ลังเล

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด