ตอนที่แล้วบทที่ 186 - สังเคราะห์ทักษะ (5) [12-06-2020]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 188 - สังเคราะห์ทักษะ (7) [16-06-2020]

บทที่ 187 - สังเคราะห์ทักษะ (6) [14-06-2020]


บทที่ 187 - สังเคราะห์ทักษะ (6)

ฉันได้เผาผลไม้ที่หนอนมันได้อยู่ภายในด้วยความใจเย็นที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ จากนั้นก็ตามเร็นไปดูเด็กๆ ในตอนนี้ฉันพึ่งจะนึกออกฉันไม่สามารถจะตระหนักได้ถึงมานาของหนอนแมลงเลย แน่นอนว่ามันได้สายเกินไปที่จะเสียใจแล้ว เรือเล็กมันได้ออกจากฝั่งมาแล้ว

มีคนอยู่ด้านหน้าได้กำลังมองมาที่พวกเราด้วยความสงสัย ดังนั้นฉันจึงเดินออกไปข้างหน้า

"เจ้าชาย...นายนี่ก็มีด้านที่น่ารักเหมือนกันนะ"

"หุบปากน่าเร็น"

"กรี๊ดอีกรอบสิเจ้าเด็กใหม่ อีกทีหนึ่ง"

"เงียบไปน่าเลอบิค"

ฉีนรู้สคกหงุดหงิดที่มากแต่ว่าดูเหมือนมันจะลดคตวามอึดอัดระหว่างพวกเข้าได้ ในตอนที่ตาของฉันคมขึ้นในที่สุดพวกเขาก็ได้เงียบลงไปแล้วมุ่งหน้าต่อไปยังที่ๆเด็กๆกำลังนอนหลับอยู่ แน่นอนว่ามันพวกเขาไม่ได้อยู่ไกลนัก พวกเขานั้นอยู่ในกระท่อมที่ทำมาจากโคนที่ดูเหมือนว่าเร็นจะเป็นคนทำขึ้นมา เลอบิคได้เสียรอยยิ้มที่สดใสไปและตรวจสอบเด็กๆที่กำลังหลับอยู่

"ลิน่า ยูรุโต๊ะ เดมิ... ด้วยเพียงแค่อำนาจขององค์เหนือหัวพวกเขา...."

"ฉันได้เสียเด็กไปสองคนในระหว่างทางแล้ว ฉันยังคงไม่สามารถจะลืมสายตาที่พวกเขามองมาที่ฉันได้"

เร็นได้พูดออกมาอย่างสงบและลูบหัวเด็กๆ ทีมนุษย์สัตว์ผู้หญิงและผู้ชายอย่างละสองคน และมีเด็กผู้หญิงเผ่ามนุษย์สองคนและเด็กชายอีกหนึ่งคน

ในตอนแรกฉันเดาว่าพวกเขาน่าจะมีอายุประมาณ 15 หรือ 16 ปี แต่ว่าทั้งแปดคนดูเหมือนะมีอายุเพียงแค่ระหว่าง 10 หรือ 12 เท่านั้น บางทีก็อาจจะน้อยกว่านั้นอีกด้วย สถานการณ์ของเร็นเหมือนกับอยู่ในหลุมศพจริงๆ... เมื่อคิดถึงระยะยาวที่ก่อนพวกเขาจะเติบโตจนสามารถเข้าไปในดันเจี้ยนได้ด้วยตัวเอง ฉันก็ถอนหายใจออกมา

"พี่เร็น?"

"หลับเถอะทิคกี้"

"อื้อ"

มนุษย์ผู้หญิงสองคนที่ตื่นขึ้นมาได้หลับตาลงไปอีกครั้งหลังจากที่เห็นเร็น เร็นได้หวีผมของเธอและเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาได้เปลื่ยนไปอย่างรวดเร็ว

"ฉันจะแสดงแผนที่ไปชายฝั่งให้ดูเองเจ้าชาย"

"ฉันอยากจะได้ยินแผนของนายเร็น"

"ทำตามที่ประสงค์เถิดองค์เหนือหัว"

เลอบิคและฉันได้ตอบกลับไปพร้อมกับหยักหน้า เร็นก็ยังได้หยักหน้าตอบกลับมา จากนั้นจู่ๆเขาก็มองกลับไปที่เลอบิค

"อย่าเรียกฉันแบบนั้นเลยเซอร์เลอบิค มันไม่มีประเทศอื่นอีกแล้วในทวีปนี้"

"แต่องค์เหนือหัว------"

"เรียกฉันว่าเร็น นั่นคือชื่้อเดียวที่ฉันมีอยู่ ท่านไม่จำเป็นจะต้องให้เกียรติผมเหมือนแต่ก่อนแล้วก็ได้"

"ฉะ ฉะ ฉะ ฉันจะไปกล้าเรียกองค์เหนือหัวแบบนั้นได้ยังไงกัน! นะ นะ นะ นั่นมันแบบคู่รัก..."

"...คู่รัก?"

"มันก็เพียงแค่การเรียกชื่อกันและกันเท่านั้น หยุดเวอร์ได้แล้ว...."

วันนี้มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนแล้วว่าเลอบิคนั้นรักเร็น แต่ว่าตามที่คาดเอาไว้เร็นที่อยู่คนเดียวมาทั้งชีวิตเขาไม่สามารถที่จะสังเกตุเห็นสิ่งนี้ได้ ทำไมนายถึงคิดว่าเลอบิคจะกลับมาหลังจากทิ้งโลกไว้ล่ะ? มันเป็นเพราะว่าเธอมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ไงเจ้าโง่! ฉันรู้สึกเหมือนกับอยากจะบ้าหลังจากได้เห็นแบบนี้

"เจ้าชายรัชทายาทนายดูเหมือนจะต้องการพูดอะไรนะ....?"

"ไม่ๆ ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะพูดอะไรได้ ดังนั้นฉันจะไม่พูด...."

"เจ้าชายนี่เป็นคนลึกลับจริงๆ...."

หัวนายสิลึกลับ

"อะแฮ่ม องค์เหนื... ท่านเร็น กะหม่อมไทำไม่ได้ กะหม่อมไม่สามารถจะไม่ให้เกียรติท่านเร็นได้ กะหม่อมไหวังว่าท่านเร็นจะเข้าใจ...."

"อย่าพูดกับฉันแบบสุภาพด้วยเหมือนกัน พูดกับฉันเหมือนกับพูดกับเจ้าชายรัชทายาท"

"ถะ ถ้ามันแบบนั้นก็...โอเค นั่นมัน...ดีแล้วใช่ไหม?"

"เยี่ยมเลยสิ ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่ได้สนิทกับท่าน"

"ท่านเร็น........"

การหายใจของเลอบิคได้ติดขัด ฉันอยากจะออกไปเพื่อให้เธอแสดงความปรารถนาเลยจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่เธอจึงกั้นมันเอาไว้

"ฉะ ฉันไม่ได้เป็นอัศวินอีกแล้ว ดังนั้นเอาคำว่า 'เซอร์' ออกไปเธอ เรียกฉันเพียงแค่เลอบิคพอแล้ว"

มันรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังจะพยายามที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วยวิธีการให้เร็นเรียกชื่อของเธอ แต่ว่าฉันก็ยังคงอยู่เงียบๆและเพียงแค่มองแผนที่ที่เร็นเปิดขึ้นมา เร็นดูเหมือนว่าจะยังคงลังเลแต่ด้วยการคะยั้นคะยอของเลอบิคเขาก็ได้ยอมรับและตัดสินใจที่จะเรียกเธอด้วยชื่อ เลอบิคได้ส่งข้อความมาหาฉันในทันที

[ฉันจะตายเพราะความสุขแล้ว! ทะ ท่านเร็นกำลังเรียกชื่อฉัน... ต้องขอบคุณนายมากที่พาฉันมาเจ้าเด็กใหม่]

เธอไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก แต่ไปตายซะไป

ระยะระหว่างป่าที่พวกเราอยู่เคลบิสและปลายทางของเราชายฝั่งเมลีทมีอยู่ประมาณ 1000 กม. เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงรอยเท้าเท่าที่จะเป็นไปได้มากที่สุดเราจะเป็นต้องเดินทางผ่านเทือกเขา ยังไงก็ตามมันมีระยะทางประมาณ 50 กม. และจากปลายเทือกเขาไปจนถึงชายฝั่งมันเป็นพื้นที่เปิดโดยสมบูรณ์ ที่นั่นพวกเราจะต้องเตรียมตัวพร้อมรับการโจมตีจากศัตรู ฉันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อคิดถึงการที่เร็นจะทำมันโดยไม่มีฉันอยู่ด้วย

"พวกเราจะไปกัน 50 กม.ต่อหนึ่งวัน โชคดีที่ว่าเด็กๆได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีในวัยของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาเลยทนไหว พวกเขาทุกคนเป็นสมาชิกของราชวงศ์หรือชนชั้นสูงดังนั้นพวกเขาจึงอ่าน เขียนได้และแม้กระทั่งใช้มานา โดยเฉพาะเด็กๆเผ่ามนุษย์สัตว์นั้นจะโดดเด็นเป็นพิเศษ หากจำเป็นพวกเขาก็สามารถจะวิ่งไปในขณะที่แบกเด็กๆชาวมนุษย์ไปได้ด้วย หุหุ พวกเขาน่าชื่นชมจริงๆเลย

"นั่นมันเป็นวิธีที่นายได้เดินทางผ่านป่ามาจนถึงตอนนี้สินะ"

"ใช่แล้ว"

ฉันได้ยิ้มออกมาขมๆกับการเดินทางหนึ่งพันกม. ด้วยเพียงแค่เท้าเปล่า... ฉันทำได้เพียงแค่หัวเราะอย่างเปล่าประโยชน์ ฉันได้ตรวจสอบในแผนที่อีกครั้งและดึงกระดาษออกมาเพื่อวาดมัน วงกลมขนาดเล็กแปดอันและสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ห้าอัน ด้วยการเขียนมันด้วยมานาทำให้สัญลักษณ์นั้นไม่แข็งแต่กลับรอยเหมือนกับน้ำ

"พวกเราต้องเร็วกว่านี้ พวกเราน่าจะทำได้เพราะพวกเราคือนักสำรวจ"

"นั่นมันก็จริง แต่ว่าพวกเด็กๆล่ะ?"

"พวกเราจะแบกพวกเขาไป"

ฉันได้เอาวงกลมเล็กๆมาวางไปบนสามเหลี่ยม เร็นที่กำลังมองกระดาษอยู่ได้ถามออกมาอย่างระมัดระวัง

"เจ้าชายมันยังมีอันตรายอื่นๆในป่าอีกนอกเหนือจากเอล พาทิส มันได้เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งและมอนสเตอร์ที่ชอบซุ่มโจมตี ถ้าเราแบกเด็กเอาไว้พวกเราจะทำยังไงล่ะ? ถ้าไม่ใช่แบบนั้นฉันก็จะแบกพวกเขาทุกคนไปนานแล้ว"

"ฟังฉันนะ เพื่อที่จะป้องกันเด็กๆจากการซุ่มโจมตีพวกเราจะให้ล็อทเต้คุมด้านหลัง"

ฉันได้เอาสามเหลี่ยมสีดำแทนตัวล็อทเต้และลากไปไว้ด้านหลังสุด ในรูปแบบของมนุษย์ล็อทเต้ก็ยังคงมีพลังที่มากและยังมีความแข็งแกร่งในฐานะสายโจมตีอยู่ เธอสามารถจะจัดการกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าเธอจะเจอกับใครที่เทียบเท่ากับผู้บัญชาการกองทัพปีศาจในทวีปลูก้า ฉันก็ยังเชื่อว่าเธอเอาอยู่ แน่นอนว่าเพื่อรักษาความสามารถในการเคลื่อนไหวเอาไว้เธอจะไม่แบกเด็กๆไว้

"นั่นมันยังไม่พอ พวกเราอาจจะปลอดภัยจากการซุ่มโจมตีจากด้านหลัง แต่ว่าแล้วด้านหน้าล่ะ? ฉันสามารถจะบอกได้ว่าผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่ง แต่ว่ามันจะไม่ดีกว่าหรอถ้าหากให้เธอมาอยู่ด้านหน้าโดยที่ไม่ต้องดูแลด้านหลังเรา"

"ถ้างั้นพวกเราก็จะมีจุดอ่อน นายสามารถทิ้งหน้าที่ด้านหน้าไว้กับฉันได้ พูดตามตรงนะฉันเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในคนที่อยู่ที่นี่"

ฉันได้ลากสามเหลี่ยมสีทองแทนตัวฉันและวางมันไว้หน้าสุด จากนั้นเร็นก็หยักหน้ารับในขณะที่เลอบิคขมวดคิ้ว

"อะไรนะ? นายอาจจะยังไม่รู้ แต่ว่าฉันเป็นนักสำรวจเลเวล 69! ฉันยอมรับว่านายแข็งแกร่งพอที่จะเป็นทหารรับจ้างต่างมิติ แต่ในแง่ของความแข็งแกร่ง---"

"เลอบิค.... เจ้าชายรัชทายาทเป็นหัวหน้ากิลด์รีไวเวิร์ล"

"อะไรนะ!? ท่านหมายถึงคนใจมารที่เล่นกับหัวหน้ากิลด์ผู้ดูแลหรอ?"

"โอ้ เธอมาเจอฉันข้างนอกสิ"

หลังจาก 5 นาทีผ่านไปเราก็กลับมา เร็นได้ไอออกมาแห้งๆและพยายามเมินรอยบวมที่หัวของเลอบิค

"เพราะว่าเจ้าชายรัชทายาทได้บอกว่าจะอยู่ด้านหน้า ถ้างั้นเลอบิคกับฉันจะแบกเด็กไว้คนละสี่คนเอง"

"ไม่ พวกนายทั้งสองคนต้องป้องกันด้านข้าง"

ฉันได้วางสามเหลี่ยมที่เหลือไว้ด้านซ้ายและขวา ในตอนนี้มีสามเหลี่ยมขนาดใหญ่หนึ่งอันและวงกลมเล็กๆอยู่ตรงกลาง เร็นได้เอียงหัวของเขา"

"เจ้าชายของโทษนะ แต่ว่าฉันไม่ชอบกับปริศนา"

"เจ้าเด็กใหม่หยุดเล่นและเข้าเรื่องได้แล้ว"

"มันง่ายมาก พวกเราจะให้คนอื่นแบกพวกเขาไง"

จากตอนเริ่มมีสามเหลี่ยมอยู่ห้าอัน ในตอนนี้เมื่อรู้ว่าเร็นได้เอียงหัวงง ฉันก็ได้ยิ้มออกมาและอัญเชิญริยู ในทันทีที่เธอได้เอามานาของฉันไปเธอก็ปรากฏกายในรูปของมนุษย์หมาป่าและกระโดดมาหาฉัน

[ชิน!]

"หวัดดีริยู ขอโทษนะ แต่ว่าเธอช่วยแปลงร่างในร่างหมาป่าของเธอได้ไหม?"

[แต่ว่าฉันชอบร่างมนุษย์สัตว์มากกว่าอะ!]

"น่านะ"

[ก็ได้!]

ฉันรู้สึกชอบมากที่ริยูฟังทุกอย่างที่ฉันขอให้เธอทำ ฉันรู้สึกขอบคุณมากที่เธอได้พบกับเจ้านายอย่างฉันและไม่เจอกับคนที่มีเจตนาแอบแฝง

เมื่อริยูได้เปลื่ยนร่างเป็นหมาป่าตัวใหญ่ เร็นและเลอบิคก็ได้หยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ฉันสื่อ

"ถ้างั้นเธอก็แปลงร่างต่างๆได้ น่าทึ่งมากเธอเป็นหญิงสาวสวยและร่างหมาป่าของเธอก็สวยงามเหมือนกัน"

"...กรรร"

เลอบิคดูเหมือนจะถูกกระตุ้นจิตวิญญาณการแข่งขันขึ้นมาด้วยคำพูดของเร็น แต่ว่าเพราะฉันขี้เกียจเกินไปที่จะสนใจฉันเลยเมินเธอ

"ริยูน่าจะแบกเด็กๆไว้บนหลังของเธอได้ เธอมีสติปัญญาที่จะปกป้องพวกเขาจากการตกลงมาและที่สำคัญกว่านั้นเธอนั้นก็เคลื่อนไหวได้เงียบและเร็วเมื่อเริ่มเดินทาง"

[ชินกำลังชมฉันหรอ?]

"แน่นอนสิ ริยูน่าทึ่งที่สุด"

[เอะเฮะๆๆ]

ฉันได้ลูบคางของริยู เร็นได้มองอย่างอิจฉาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับไปแสดงท่าทางจริงจัง

"ถ้างั้นพวกเราจะปล่อยเด็กๆไว้กับเธอและเน้นไปที่การปกป้องพวกเขา"

"แน่นอน แบบนี้มันดีกว่าใช่ไหมล่ะ?"

"...เจ้าชายรัชทายาทนี่น่าทึ่งจริงๆ ฉันไม่สามารถจะหาคำมาชมกับความสามารถนี้ได้เลย"

"เร็นก็น่าทึ่งเหมือนกัน ไม่มีใครที่จะสามารถเอาชนะความปรารถนาของเร็นที่จะปกป้องเด็กๆได้เลย"

"อึก ไม่ต้องชมฉันหรอก"

หน้าของเร็นได้กลายเป็นสีแดง และเขาก็ได้หันหัวไป หูของเร็นก็ยังกระดิกโดยความไม่แน่ใจจะทำยังไง เลอบิคได้เริ่มจ้องมาที่ฉันในตอนนี้ เดี๋ยวสิ เธอกำลังพิจารณาว่าฉันเป็นคู่แข่งงั้นหรอ!?

ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเร็นก็ได้ปลุกเด็กๆทีละคน พวกเขาทุกคนได้ลุกขึ้นมาเงียบๆโดยที่ไม่ขอร้องอะไรเลย พวกเขาได้ยืดตัวและลุกขึ้นมาในทันทีราวกับว่าพวกเขาไม่ได้หลับสนิทไป จากนั้นพวกเขาก็ตกใจหลังจากเห็นฉัน ได้ส่งเสียงเชียร์ออกมาหลังจากเห็นเลอบิค และได้ตะโกนอย่างตกใจหลังจากเห็นริยู

"พี่ชายสุดเท่คนนี้เป็นใครอะ?"

"เกราะเท่จังเลย! ระหว่างพี่ชายคนนี้กับเร็นใครจะชนะกันนะ?"

"พี่เร็นก็เท่เหมือนกัน"

"พี่สาย พี่ยังมีชีวิตอยู่?"

"พี่อัศวิน หนูอยากจะเห็นพี่"

"ดูสิๆ หมาป่าสุดเท่"

"ว้าว! ขนสวยอะไรแบบนี้!"

"จะต้องเป็นท่านบรรพบุรุษในตำนานแน่เลย"

"นุ่มจัง...!"

"ท่านหมาป่า ท่านมาเพื่อปกป้องเราหรอ?"

เมื่อคิดว่าริยูได้รับความนิยมอย่างขาดลอยฉันก็ได้มองไปที่เลอบิค เธอก็กำลังมองไปที่ท้องฟ้ายามเช้า

"ฉะ ฉันหนีทัพ... และก็ยังพ่ายแพ้หมาป่า..."

"พวกเขาเป็นเด็กเลอบิค"

"หุหุ ฉันมีแต่ท่านเร็น"

"ทำไมเธอไม่สารภาพไปล่ะ?"

หลังจากได้กินอาหารเช้าพวกเราก็ได้ให้เด็กๆขึ้นไปบนหลังริยู ฉันสามารถจะรับมือกับการแสดงรูปธรรมของริยูอย่างต่อเนื่องได้ด้วยการโคจรวงจรเพรูต้าอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นฉันไม่จำเป็นจะต้องดื่มมานาโพชั่น ยังไงก็ตามเด็กๆได้ลังเลที่จะนั่งบนหลังริยู

"ขี่หลังท่านหมาป่า..."

"ไม่ ท่านหมาป่าจะได้รับโชคร้ายของเรา"

"ขนนุ่มอะไรแบบนี้!"

"พวก ริยูไม่ว่าอะไรหรอกกับคนที่อยู่บนหลังของเธอหรอกไม่ต้องกังวล"

[ฉันเกลียดคนอื่นนอกจากชิน แต่ว่าฉันจะยอมให้พวกเขาเพราะพวกเขาเป็นเด็ก]

"ท่านหมาป่าพูดด้วยล่ะ!"

"จริงๆแล้วท่านหมาป่าเป็นพี่สาวล่ะ!"

ฉันได้ถามเร็นว่าทำไมเด็กๆถึงได้ปฏิบัติกับริยูอย่างสุภาพในทันที

"จักรวรรดิมนุษย์สัตว์ทีตำนานเทพนิยายน่ะที่เริ่มด้วยการพบกันของสิงโตทองและหมาป่าเงิน นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่เด็กๆชอบเธอคนนั้นมากๆ"

"แล้วทำไมเร็นก็ชอบริยูล่ะ?"

"อึก มะ ไม่! ฉันไม่ได้มีความคิดไม่ดีนะ! ฉันก็แค่คิดว่าเธอสวยมาก"

"หยุดน่าเลอบิค"

"....เลอบิค"

เร็นได้เอียงหัวและหันไปมอง เลอบิคที่กำลังถือเครมอของเธอได้รีบซ่อนมือไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็วและยิ้มออกมา

"มันไม่มีอะไรหรอกค่ะท่านเร็น"

"เจ้าชายรัชทายาทเลอบิคทำอะไรหรอ"

"เปล่าๆ ไม่มีอะไร แล้วเร็นนายคิดยังไงกับเลอบิค?"

"อืมม เลอบิคสวยมากๆและแข็งแกร่ง เธอได้กลายมาเป็นอัศวินองค์รักษ์ฉันตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะอยู่ในช่วงสงครามทหารจำนวนมากก็เป็นแฟนคลับของเธอ"

เลอบิคได้โยนอาวุธลงและจับแก้มของเธออย่างยินดี ฉันได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและหยุดเร็น

"พอได้แล้ว"

ทันใดนั้นเร็นก็ยิ้มขึ้นและกระซิบข้างหูฉัน

"...เจ้าชายรัชทายาทสนใจเลอบิคหรอ? ฉันพึ่งจะนึกขึ้นได้นะว่านายเป็นคนพาเธอมาที่นี่.... ฉันควรจะแนะนำนายกับเธอไหม?"

"นายมาสรุปแบบนี้ได้ยังไงเนี่ยเจ้าโง่"

พวกเราไม่ได้มีเวลาที่จะคุยกันแบบนี้มากนัก เมื่อเด็กๆได้ขึ้นบนหลังริยู พวกเราก็ได้รีบออกไป เร็นนั้นช้าที่สุดดังนั้นพวกเราจึงต้องลดความเร็วลงเพื่อรอเขา แต่ว่าพวกเราก็ได้เดินทางเร็วกว่าเร็นที่เดินทางคนเดียวก่อนหน้านี้ประมาณ 7 เท่า

เหมือนกับที่เร็นได้พูดเอาไว้ พวกเราได้เจอกับมอนสเตอร์ในป่า ส่วนใหญ่จะมีลักษณ์ที่แปลกๆและมักจะโผล่ออกมาจากพื้นดินหรือไม่ก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ยังไงก็ตามเหตุผลที่ทำให้ฉันสร้างรูปแบบนี้ขึ้นมาทำให้สามารถปกป้องเด็กได้อย่างทั่วถึง แถมมอนสเตอร์ป่าเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นอันตรายต่อฉัน

[ก๊าซซซซซซ]

[อะไรที่นายพยายามจะทำด้วยการเข้าป่านี้?]

มีมอนสเตอร์ที่เหมือนกับลิงอุรังอุตังที่มีร่างกายที่ถูกละลายซึ่งดูเหมือนจะอาบไปด้วยกรดกระโดดลงมาจากต้นไม้ในขณะที่มอนสเตอร์อีกหนึ่งตัวที่ดูเหมือนแมงมุมที่ถูกขยายขึ้นร้อยเท่าและหุ้มด้วยเกราะได้โผล่ออกมาจากพื้น เร็นและเลอบิคได้จับดาบเครมอของพวกเขาและเตรียมจะปะทะกับมัน ในทางกลับกันฉันเพียงแค่จ้องพวกมันด้วยสายตาเท่านั้น

พวกมันได้กลายเป็นหินและแตกลงไป

"เอ๊ะ?"

"นี้มันอะไร!?"

"นายหมายความว่ายังไง? พวกมันกลายเป็นหินไง อะไร นายไม่เคยเห็นตามารที่ทำให้เป็นหินมาก่อนหรอ?"

ฉันได้ตอบกลับไปและทำลายมอนสเตอร์ที่เป็นหินด้วยหอกของฉัน จากนั้นก็กระตุ้นพวกเขา

"เร็วเข้าเถอะ! อย่ามัวแต่ยืนตะลึงกับที่สิ!"

"นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้ยินเรื่องดวงตามารที่มีพลังทำให้กลายเป็นหิน"

"ถ้านายมีพลังนี้ก็บอกกันก่อนสิ"

ฉันได้วิ่งไปข้างน้าต่อไปในขณะที่ขำการที่สมาชิกในปาตี้ที่ตะลึงกับพลังของฉัน พวกเราได้กัดฟันแน่นและตามหลังมา ไม่ว่าเมื่อใดที่มอนสเตอร์โผล่ออกมาฉันก็จะหันไปมองมันและพวกเราก็จะไปอยู่ข้างหน้ามันพร้อมทำลายมันทิ้งไป

ในท้ายที่สุดพวกเราก็ได้เดินทางถึง 700 กม. ในหนึ่งวัน ระยะทางที่เหลือของเราในตอนนี้มีเพียงแค่ 300 กม. เท่านั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด