เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0605
ตอนที่ 605 : เทียนเหยาเหล่ย
เทียนเหยาเหล่ยทราบว่าฉินหยุนไม่ใช่ง่ายรับมือ กระนั้นเขาก็หาได้หวั่นเกรงไม่
เพียงไม่นาน กลุ่มคนจำนวนมากได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างอหังการ
เหล่านี้คือกองกำลังของหยางเฉิงหลงและหลงควงหัง
ชั่วเวลานี้ กองกำลังทั้งสามได้เข้าปิดล้อมฉินหยุนเอาไว้
ไม่นานนัก อีกหนึ่งกองกำลังขนาดใหญ่ได้ปรากฏ เป็นฮัวซือเยวี่ยนำกองกำลังมาด้วยตนเอง ราวกับพวกเขาได้จับมือสร้างข้อตกลงกันไว้อยู่ก่อนแล้ว
“คนเยอะเอาเรื่อง!” สีหน้าฉินหยุนเริ่มดำมืด
ขณะที่กองกำลังของฮัวซือเยวี่ยมาถึง คนอีกกลุ่มหนึ่งจึงปรากฏตัวที่ไกลออกไป นี่คือกองกำลังที่นำทัพโดยหลงซือหมิง
กองกำลังของจีหลางเกิดการล่มสลาย จึงไม่ได้ร่วมทางมา
ด้วยเหตุนี้ ณ ตอนนี้กองกำลังเหยาเหล่ยจึงมีกำลังแกร่งกล้าที่สุด
“ฉินหยุน เจ้าอย่าได้คิดว่าครานี้จะหนีรอดพ้น!” เทียนเหยาเหล่ยหัวเราะดัง
“คิดอยากรุมข้า หรือว่าสู้กับข้าทีละคนกันเล่า?” ฉินหยุนยังคงสงบ น้ำเสียงเนิบนาบกล่าวถามออก
เทียนเหยาเหล่ยหันมองทางฮัวซือเยวี่ยและหัวหน้ากองกำลังอื่น “ข้าย่อมจัดการเจ้าเพียงผู้เดียว!”
ท่ามกลางยอดฝีมือเหล่านี้ มีแต่เทียนเหยาเหล่ยที่ยังไม่เคยประมือกับฉินหยุน
ฮัวซือเยวี่ย จีหลาง หลงควงหัง หยางเฉิงหลง หลงเฉียวเฟิง พวกเขาต่างถูกฉินหยุนสังหารกันถ้วนหน้า
หากเทียนเหยาเหล่ยเอาชนะฉินหยุนได้ มันจะกลายเป็นสิ่งยืนยัน ว่าเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด มันจะยิ่งสร้างชื่อเสียงและเกียรติยศมาสู่ตัวเขา
โดยเฉพาะกับฝ่ายตระกูลใหญ่ในนครเซียนยุทธภัณฑ์ มันจะทำให้ฝ่ายตระกูลใหญ่ยกย่องตัวเขามากยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนแม้เอาชนะได้ ก็คงไม่อาจหลบหนีจากวงล้อมนี้ได้อย่างนั้นสินะ!” ฉินหยุนหันมองคนราวสองพันที่ปิดล้อมเอาไว้
นอกจากคนของฮัวซือเยวี่ย พวกเขาทั้งหมดเป็นคนของฝ่ายตระกูลใหญ่ พวกเขาคือกลุ่มศิษย์เยาว์วัยที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางบรรดาศิษย์หลัก
คิดหลบหนีออกจากวงล้อมที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ย่อมเป็นเรื่องยาก
ฮัวซือเยวี่ยเผยเสียงเย็น “ฉินหยุน หากข้าเป็นเจ้า ข้าคงรีบหนีไปให้พ้นจากเขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์ในทันทีแล้ว นั่นก็เพื่อที่จะได้ไม่ต้องโดนทัณฑ์ทรมาน!”
“ฉินหยุน พวกเราจัดตั้งพันธมิตรขึ้นเพื่อจัดการกับเจ้า! เพื่อไม่ให้เจ้าได้มีโอกาสก้าวสู่สิบอับดับแรก!” หยางเฉิงหลงเผยยิ้มชั่วร้าย “ไม่เพียงแต่ที่เขตแดนจินตภาพ ที่โลกภายนอกเจ้าก็ยังเป็นต้องตกเป็นเป้าของพวกเรา!”
หลงควงหังกล่าวคำ “มือสังหารตระกูลหลงของพวกเราเริ่มออกเคลื่อนไหวแล้ว! เทียนรั่วเหลิงและเย่ว์อู่หลันเป็นเป้าหมายงานครั้งนี้ อย่าได้คิดว่าพวกนางจะอยู่รอดปลอดภัยแม้ซ่อนตัวในเกาะจันทราปีศาจ!”
“ฉินหยุน เจ้าจงรับรู้ความผิดชอบตนเอง!” หยางเฉิงหลงกล่าวข่มขู่ “เป็นเจ้าจับตัวผู้อาวุโสตระกูลหยางพวกเราเอาไว้ พวกเราตระกูลหยางย่อมไม่คิดปล่อยเจ้า และขณะนี้ พวกเราได้ส่งคนเข้ามายังนครเซียนยุทธภัณฑ์แล้ว!”
“เพราะเจ้าที่ทำให้นครเซียนยุทธภัณฑ์ของพวกเราต้องตกอยู่ในสภาพโดนกดดันทุกหนทาง ตระกูลหลง ตระกูลหยาง ตระกูลเทียน และหุบเขาเซียนโอสถ รวมถึงขุนเขาเซียนอัคคีคราม พวกเขาต่างเตรียมร่วมมือกันบีบบังคับให้นครเซียนยุทธภัณฑ์ขับไล่เจ้าออกพ้นจากสำนัก!”
“ฉินหยุน เจ้าได้นำพาปัญหามากมายมาสู่นครเซียนยุทธภัณฑ์ เจ้าสมควรต้องถูกลงทัณฑ์!” เทียนเหยาเหล่ยเผยเสียงเย็นเยียบ
“ปัญหาอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่พวกเจ้าหรือที่นำปัญหามาให้แก่ข้าเอง? แต่วางใจเถอะ ข้าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวบัดซบเช่นพวกเจ้าในไม่ช้า!”
“กลุ่มขยะเปียกข้างทางเช่นพวกเจ้า มีดีแต่อวดโอ่พลังตนเองในพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ด้วยกำลังพวกเจ้า ไม่มีทางที่จะต้านรับศิษย์ที่แข็งแกร่งจากสำนักเซียนอื่นได้แม้ครึ่งกระบวนท่า!”
น้ำเสียงของฉินหยุนอัดแน่นด้วยความเหยียดหยัน “พวกเจ้าล้วนได้ทราบ ว่าหลังจากที่ข้าได้ผสานรวมเข้ากับจารึกวิญญาณอัคคีคลั่ง อักขระธาตุไฟที่ข้าแกะสลักขึ้นถือเป็นสิ่งแข็งแกร่งที่สุด! ความสำคัญของข้าต่อนครเซียนยุทธภัณฑ์ ไม่ใช่อะไรที่สวะเช่นพวกเจ้าจะจินตนาการถึงได้!”
“ผายลมทั้งเพ!” หลงควงหังแค่นเสียงดังตอบโต้ “หากเจ้าสำคัญต่อนครเซียนยุทธภัณฑ์จริง เจ้าคงได้เข้าร่วมหอพิทักษ์กฎไปเรียบร้อยแล้ว!”
“พวกเราหอพิทักษ์กฎไม่คิดรับเศษเดนมนุษย์ผู้นี้! กระทั่งว่าฝีมือการจารึกของมันเหนือล้ำ กระนั้นมันกลับไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมหอพิทักษ์กฎของเรา”
น้ำเสียงของฮัวซือเยวี่ยเผยความริษยาขณะตะโกนดัง “ฉินหยุน อย่าได้อวดดีไปแล้ว เจ้าก็แค่คนไร้ค่าต่อนครเซียนยุทธภัณฑ์ของพวกเรา! จงรอคอยและรับชม อีกไม่นาน ด้วยตระกูลใหญ่ร่วมมือ หุบเขาเซียนโอสถ และขุนเขาเซียนอัคคีคราม พวกเขากำลังจะมุ่งหน้ามาที่นี่!”
“ผู้อาวุโสหลายคนของหอพิทักษ์กฎต่างเผยท่าที คิดอยากขับไล่เจ้าให้พ้นจากนครเซียนยุทธภัณฑ์เสียเดี๋ยวนี้!”
เทียนเหยาเหล่ยกล่าวเสริม “ว่าไปแล้ว เวลานี้ศิษย์พี่หลายคนของสำนักหลัก ต่างก็สนับสนุนให้ขับไล่ฉินหยุน!”
หยางเฉิงหลงยิ้มอหังการกล่าวคำ “ฉินหยุน เจ้าได้ยินหรือไม่? พวกเขาตระเตรียมขับไล่เจ้าไปให้พ้นจากที่นี่ แล้วตัวเจ้าเล่า ยังคิดหรือว่าตนเองมีความสำคัญต่อนครเซียนยุทธภัณฑ์!”
“เจ้าเป็นเพียงผู้ไร้ซึ่งตระกูลใดหนุนหลัง กระนั้นยังคิดจริงหรือว่าจะได้เป็นศิษย์หลักของสำนักเซียน? ฝันไปเถอะ!” ด้วยสีหน้าเดียดฉันท์ ฮัวซือเยวี่ยกล่าวย้ำ “เมื่อใดเจ้าถูกขับไล่ เมื่อนั้นเจ้าจะกลายเป็นศัตรูของสาธารณชน!”
สีหน้าของฉินหยุนเริ่มแปรเปลี่ยน หากนครเซียนยุทธภัณฑ์ขับไล่เขาจริง เขาก็ต้องตระเตรียมรับเรื่องราวสำหรับภายหน้าเอาไว้
“ข้าได้สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงต่อนครเซียนยุทธภัณฑ์ พวกเขาย่อมไม่คิดขับไล่ข้า!”
“ความดีความชอบอย่างนั้นหรือ? ผู้ใดบ้างเห็นหัวเจ้า? เจ้าต้องทราบ ว่าผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนของนครเซียนยุทธภัณฑ์คิดอยากขับไล่เจ้าออกไปให้พ้นใจแทบขาด!” ฮัวซือเยวี่ยแค่นเสียง
“เจ้ารอรับชมไปก็แล้วกัน!” ฉินหยุนถือกระบี่ในมือแน่น สายตาจับจ้องที่เทียนเหยาเหล่ย
ฮัวซือเยวี่ยและคณะทะยานร่างเว้นระยะห่างด้วยความยินดี ก่อนจะจับจองหาตำแหน่งรับชมการศึกเบื้องล่าง
“เทียนเหยาเหล่ยสมควรเป็นขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น ที่แข็งแกร่งที่สุดของพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ใช่หรือไม่?” หลงควงหังกล่าวถาม
“ย่อมต้องใช่ อย่างไรแล้ว เทียนเหยาเหล่ยก็ได้รับอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาหลายต่อหลายครั้ง!” แม้หยางเฉิงหลงไม่คิดอยากยอมรับ แต่เขาก็ต้องจำยอมต่อความจริงที่เกิดขึ้น
“หากเขาแข็งแกร่งจริง อย่างนั้นก็สมควรจับตัวฉินหยุนเอาไว้ได้!” ฮัวซือเยวี่ยไม่ยินดีกล่าวคำเห็นพ้อง
เทียนเหยาเหล่ยนำเอาค้อนออกมาด้วยสีหน้าอหังการอวดดี “ฉินหยุน วันนี้เจ้าต้องพ่ายแพ้และสูญเสียหนึ่งพันแต้ม ฮ่าฮ่าฮ่า!”
กล่าวคำจบ ค้อนในมือเขาจึงเหวี่ยงออก
ค้อนเมื่อฟาดหวดลง มันปลดปล่อยสายฟ้าอสนีบาตทรงพลังไหลหลั่งเข้าหาฉินหยุนดังสายน้ำตก
ร่างกายฉินหยุนรับรู้ถึงความเจ็บปวดจากสายฟ้าโจมตี กระนั้นเขาก็ยังกวัดแกว่งกระบี่ในมือต้านรับค้อนที่พุ่งเข้ามาได้
ล่าสุด ครั้งที่ฉินหยุนถูกเทียนเหยาเหล่ยโจมตี เขายังอยู่เพียงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้า
ครานี้ ระดับการฝึกฝนของเขาเลื่อนสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ เป็นเขาแข็งแกรงกว่าก่อนหน้าไม่ใช่น้อย
เทียนเหยาเหล่ยสัมผัสได้ ว่าฉินหยุนแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้าเพียงใด เพราะล่าสุด ชัยชนะที่เขามีต่อฉินหยุน ก็ไม่ใช่ได้รับมาโดยง่าย
ครานี้ เมื่อได้ประมือกับฉินหยุน พลังในกายของเขาจึงใช้ออกอย่างไม่คิดเก็บออม
กระนั้น ฉินหยุนกลับสามารถปัดป้องการโจมตีของเขาเอาไว้ได้ด้วยการสับฟันกระบี่อย่างเบามือ
ร่างกายเทียนเหยาเหล่ยทอแสงวูบประหนึ่งสายฟ้า ค้อนยักษ์ในมือเงื้อขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ตู้ม! ตู้ม!
ค้อนยักษ์เงื้อขึ้นพร้อมฟาดหวดลงอย่างรุนแรงราวสายฟ้าอสนีบาตระเบิดกลางอากาศ เป้าหมายคือฉินหยุน!
ฉินหยุนเร่งรีบปลดปล่อยพลังเต๋าสั่นไหวห่อหุ้มร่างกายตนเอง พร้อมกับถอยห่างออกจากตัวเทียนเหยาเหล่ย
ร่างของฉินหยุนต้องโดนพลังสายฟ้าอสนีบาตรุนแรงโจมตีเข้าอีกครั้งหนึ่ง
แม้อสนีบาตระเบิดออกรุนแรง ทั้งเสียงยังดัง ทว่าฉินหยุนไม่คล้ายได้รับบาดเจ็บอันใด
“ฝีมือต่อสู้ระยะประชิดเจ้านี่ไม่ใช่เล่น!” ฉินหยุนไม่กล้าเข้าใกล้เทียนเหยาเหล่ย เพราะเขายังไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีฝีมือเพียงใด
ร่างกายอีกฝ่าย คล้ายพร้อมปลดปล่อยการระเบิดรุนแรงออกมาได้ทุกเมื่อ
หยางเฉิงหลงและคณะที่รับชมอยู่กลางอากาศ ต่างต้องตื่นตะลึงที่ได้เห็นฉินหยุนสกัดการโจมตีเอาไว้ได้สองครั้งติด
พวกเขาล้วนทราบถึงพลังของเทียนเหยาเหล่ย อย่าว่าแต่สองครั้ง กระทั่งพวกเขาโดนเข้าไปครั้งหนึ่งก็แทบคางเหลืองกันแล้ว
เป็นพวกเขาไม่คาดคิด ว่าฉินหยุนจะต้านรับการโจมตีทั้งสองครั้งเอาไว้ได้
เทียนเหยาเหล่ยประหลาดใจไม่แพ้ผู้ใด เขาพลันร้องคำราม ร่างกายเริ่มแปรสภาพกลายเป็นสายฟ้าพุ่งทะยานเข้าหาฉินหยุนในพริบตา
ขณะร่างกระโจนทะยานเป็นลำแสง เขาเงื้อค้อนยักษ์ในมือขึ้น พร้อมฟาดฟันรุนแรงในคราวเดียว การโจมตีครั้งนี้รวดเร็วและทรงพลัง!
สายฟ้าอสนีบาตระเบิดรุนแรง เปรียบดังมังกรคลั่งคำรามร้องโจมตีสะเปะสะปะทั่วทิศ
ฉินหยุนไม่อาจหลบเลี่ยง ได้แต่ต้องกวัดแกว่งกระบี่ในมือต้านรับการโจมตีไว้
ตึง! ตึง!
กระบี่ฉินหยุนเข้าต้านรับค้อนไว้ได้สองครั้งอย่างเร็วรี่ และทั้งสองครั้ง พลังเต๋าสั่นไหวได้เข้าสลายพลังเต๋าสายฟ้าอสนีบาตที่ไหลทะลักออกจากตัวค้อน!
เดิมเทียนเหยาเหล่ยคิดอยากปล่อยพลังอสนีบาตดุดันต่อเนื่อง กลับกลายต้องเป็นฝ่ายโกรธแค้นที่ไม่อาจกระทำได้ เขาโจมตีฉินหยุนถึงสองครั้งครา พลังล้วนถูกสลายสิ้นหมด เรื่องราวกลับกลายเป็นยุ่งยากกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้
นับว่าโชคยังดีที่เขามีประสบการณ์ต่อสู้มากล้น เขาตัดสินใจเก็บค้อน หลบเลี่ยงพลังงานกระบี่ที่สับฟันเข้าหา จากนั้นจึงเร่งรีบรวบรวมพลัง ก่อนจะปล่อยการระเบิดรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
“อสนีบาตมังกรพิโรธ! วิชายุทธ์สวรรค์!” ฮัวซือเยวี่ยกล่าวคิ้วขมวด “แต่เหมือนฉินหยุนจะยังต้านรับเอาไว้ได้!”
“มันต้องมีความลับอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ฉินหยุนแข็งแกร่งได้เพียงนี้” หยางเฉิงหลงกล่าว เป็นเขาริษยาอย่างล้นพ้นต่อความแข็งแกร่งของฉินหยุนที่เผยออก
หลงควงหังเผยสีหน้าดำมืดกล่าวคำ “พวกเราต้องจับตัวมัน และให้มันคายความลับออกมา! มันผู้นี้ไม่มีร่างลึกล้ำ สองแก่นเต๋าก็ไม่ใช่ แต่กลับครอบครองพลังความแข็งแกร่งระดับนี้ มันต้องมีเคล็ดวิชาลับแต่โบราณอะไรไว้ในครอบครองแน่!”
พวกเขารับชมฉินหยุนและเทียนเหยาเหล่ยประมือกันอย่างสูสี ยิ่งมายิ่งมั่นใจในความคิด
“หยุนเอ๋อ เตรียม!” ฉินหยุนเร่งรีบกล่าวขณะหลบเลี่ยงอสนีบาตของเทียนเหยาเหล่ยที่พุ่งเข้าหา
สายฟ้าอสนีบาตปรากฏเป็นแสงวูบวาบจากกายเทียนเหยาเหล่ย ราวกับตัวเขาถือกำเนิดขึ้นใหม่เป็นเทพสายฟ้า สามารถปลดปล่อยสายฟ้าได้ไม่สิ้นสุด สายฟ้าที่รัดพันรอบตัวฉินหยุนมันเปรียบดังเชือกที่ยืดหยุ่น
“ฉินหยุน ข้าคือผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้นที่แข็งแกร่งที่สุดของนครเซียนยุทธภัณฑ์ ข้าจะจบชีวิตเจ้าที่นี่และตอนนี้!”
เทียนเหยาเหล่ยได้เห็นฉินหยุนถูกพันธนาการโดยเชือกสายฟ้า เขาจึงหัวเราะดังพร้อมทะยานร่างเข้าหา ค้อนใหญ่ในมือฟาดหวดลงอย่างดุดันเหี้ยมโหด
ร่างกายฉินหยุนกระตุกเล็กน้อย พลังความสามารถเทวะแผ่นดินไหวทะลักล้นออกมา พวกมันเข้าสลายเชือกสายฟ้าที่รัดพันรอบตัวเขาเอาไว้จนสิ้น!
เมื่อได้รับอิสระ ฉินหยุนจึงเร่งรีบหลบเลี่ยงออกไปไกลหลายสิบเมตร
ตู้ม!
ค้อนฟาดหวดลงมา เทียนเหยาเหล่ยสร้างหลุมอุกกาบาตยักษ์ทิ้งไว้ที่พื้น
ฮัวซือเยวี่ยและคณะได้แต่นึกเสียดายอยู่ภายใน
พร้อมกันนี้ พวกเขายิ่งอึ้งทึ่งต่อพละกำลังที่ฉินหยุนเผยออก อีกฝ่ายถึงขั้นสามารถหลบหนีพ้นจากพันธนาการของสายฟ้าอสนีบาต
เทียนเหยาเหล่ยยิ่งกราดเกรี้ยว พุ่งเข้าปะทะฉินหยุนอีกครั้งหนึ่ง
ขณะใกล้ถึงตัวฉินหยุน เขากลับรับรู้ถึงความหนักอึ้ง พลังที่มองไม่เห็นได้สะกดลงมา ราวกับขุนเขาล่องหนได้สะกดร่างของเขาเอาไว้จนไม่อาจขยับ
เทียนเหยาเหล่ยถูกสะกดลงด้วยชั้นพลังแรงโน้มถ่วงหลายต่อหลายครั้ง ร่างกายเริ่มล้มลง หน้าต้องแนบกับพื้นจนมีสภาพชวนสังเวช
“ข้าบอกมันไปแล้ว ว่าฉินหยุนครอบครองพลังประหลาด แต่มันกลับขาดสติจนขาดความระวัง...” หลงควงหังเผยเสียงเบา “พวกเราจะร่วมมือโจมตีฉินหยุน อย่าให้มันสังหารเทียนเหยาเหล่ยได้!”