ตอนที่แล้วAtW ตอนที่ 12 งานเลี้ยงต้อนรับ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปAtW ตอนที่ 14 อาจารย์เบธแฮม

AtW ตอนที่ 13 เสียงเรียกแห่งเช้าวันใหม่


AtW ตอนที่ 13 เสียงเรียกแห่งเช้าวันใหม่

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย

ลอร์ดวอร์คเกอร์ได้โค้งคำนับเพื่อเป็นการขอโทษให้กับอัศวินมาแชลในทันที "ผมขอโทษด้วยครับท่าน คนอย่างเขาไม่สมควรที่จะถูกพามาที่งานเลี้ยงแห่งนี้ โปดรลงโทษตามที่ท่านเห็นสมควรด้วยเถอะ"

ดูเหมือนว่าอัศวินมาแชลจะยอมรับคำขอโทษจากวอร์คเกอร์ก่อนที่เขาจะชี้นิ้วไปหาแดเนียล "ทหาร เอามันไปขังซะ พรุ่งนี้เราจะเอาตัวเขาไปเมืองเบกอง"

"ไม่! คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้!" ผู้หญิงคนที่ร้องไห้อยู่ร้องดังกว่าเดิม สุดท้ายแล้วเธอก็ถูกลอร์ดวอร์คเกอร์ลากออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนเดินออกจากงานเลี้ยงก่อนที่งานเลี้ยงจะจบลง

พ่อบ้านลินด์เซ่เฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างจากอีกด้านหนึ่งของห้อง เขาเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ดูเหมือนว่าพ่อบ้านคนนี้กำลังพบเห็นเรื่องที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว

งานเลี้ยงต้อนรับอาเบลกลับมาปกติอย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครที่สนใจเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อีกต่อไป แดเนียลในสายตาคนอื่นไม่ใช่คนที่น่าเคารพนับถือเท่าไรนัก การที่แดเนียลกล้าลบหลู่อัศวินแบบนี้เป็นการกระทำอันน่าเวทนาโดยแท้จริง

เมื่องานเลี้ยงต้อนรับจบลง แขกทุกคนเองก็จะถูกนำทางไปที่ห้องพักของพวกเขา พ่อบ้านลินด์เซ่ได้เดินมาหาอัศวินมาแชลหลังจากที่งานเลี้ยงได้จบลง ในตอนนี้อัศวินมาแชลกำลังทำความสะอาดชุดเกราะของเขาอยู่

"อะไรนะ?" อัศวินมาแชลเผลอทำชุดเกราะของเขาตกลงบนพื้น "อาเบลเป็นอัศวินฝึกหัดระดับสี่อย่างงั้นหรอ? นายแน่ใจกับเรื่องนี้แล้วแน่นะ?"

"ผมเห็นกับตาเลยครับนายท่าน" พ่อบ้านลินด์เซ่พูดยืนยันต่อไป "ในตอนนี้ผมเป็นแค่นักรบระดับห้าเท่านั้นแต่พลังที่อาเบลได้ปล่อยออกมาในตอนนั้นไม่ผิดแน่ มันจะต้องเป็นพลังของอัศวินฝึกหัดระดับสี่อย่างแน่นอน"

"ฮา ฮ่า" อัศวินมาแชลหัวเราะอย่างสะใจในขณะที่เขาเองก็ได้ตบโต๊ะเสียงดังไปด้วย "เซทคงจะเสียดายมากสินะ! ถ้าหากรู้ว่าลูกชายของเขาเป็นอัจฉริยะแบบนี้! หรือว่าเขาไม่รู้ความสามารถจริงๆ ของอาเบลอย่างงั้นหรอ? ทำไมเขาถึงมอบอาเบลให้กับฉันกัน?"

"จากที่ผมได้ยินมานะครับท่าน" ลินด์เซ่พูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาต่อไป "ลูกชายคนโตของตระกูลเบ็นเน็ตต์เป็นอัศวินฝึกหัดระดับสี่เท่านั้น ซึ่งลูกชายคนโตคนนี้มาอายุถึง 18 ปีแล้วด้วย"

"ใช่แล้วล่ะ" ถึงแม้ว่าจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไปกับความสามารถที่แท้จริงของอาเบลแต่มาแชลก็มั่นใจว่าการที่อาเบลปิดบังพลังที่แท้จริงของตัวเองไว้เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมาก "อาเบลเป็นเด็กดีจริงๆ เขาคงไม่อยากทำให้พี่ชายของเขาเสียหน้าเขาจึงไม่อยากแสดงพลังที่แท้จริงออกมา"

"ส่งจดหมายไปหาตาเฒ่านั้นในเมืองเบกอง ฉันต้องการให้เขารู้เรื่องนี้ด้วย" อัศวินมาแชลสั่งพ่อบ้านลินด์เซ่ในขณะที่กำลังมองดูชุดเกราะของเขาที่ตกอยูที่พื้น "มีอีกเรื่อง ฉันต้องการชุดเกราะแห่งดวงตะวันทั้งเซต ในตอนที่ฉันออกมาจากที่นั้นเมื่อหลายปีก่อน สิ่งที่พวกเขามอบให้กับฉันมันเป็นของปลอม ตอนนี้ฉันมีสุดยอดอัจฉริยะอยู่ในครอบครัวของฉันแล้ว เวลานี้คงเป็นเวลาที่เหมาะแล้วที่พวกเขาจะต้องให้รางวัลกับฉันว่าไหม?"

"ใช่แล้วนายท่าน" พ่อบ้านลินด์เซ่พูดตอบรับ ถึงเขาจะพูดตอบรับคำพูดผู้เป็นนายแต่พ่อบ้านคนนี้กลับไม่แสดงอาการสนใจหรือดูมีชีวิตชีวาเลย สำหรับอัศวินมาแชลแล้ว เขาเป็นชายผู้ที่หลงไหลในชุดเกราะแห่งดวงตะวัน ความหลงไหลที่มีต่อชุดเกราะนี้มีมากพอๆ กับความรักที่เขามีให้กับภรรยาผู้ล่วงลับของเขาเลยทีเดียว

ชุดเกราะแห่งดวงตะวันเป็นอุปกรณ์พื้นฐานของเหล่าทหารจากอาณาจักรแห่งดวงตะวัน อาณาจักรนี้เองเป็นอาณาจักรโบราณ ในสมัยอดีตกองทัพของอาณาจักรแห่งดวงตะวันนี้เองมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้จักชื่อเสียงของกองทัพอาณาจักรนี้ เมื่อใดก็ตามที่แสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องไปที่ชุดเกราะแห่งดวงตะวัน ผิวของชุดเกราะจะเรืองแสงสีแดงเหมือนกับสีของเลือด ไม่เพียงแต่จะทำให้ชุดเกราะดูสวยขึ้น เมื่อชุดได้รับแสงจากดวงอาทิตย์จะทำให้พลังป้องกันของชุดเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ชุดเกราะแห่งดวงตะวันนี้เป็นสิ่งที่อัศวินทุกคนใฝ่ฝันที่จะได้มันมาครอบครองในชีวิตของพวกเขาสักครั้งหนึ่ง

หลังจากที่อาณาจักรแห่งดวงตะวันได้ล่มสลายไป ชุดเกราะส่วนใหญ่เองก็ได้หายสาบสูญไปด้วยเช่นเดียวกัน มีเพียงขุนนางไม่กี่คนเท่านั้นที่เก็บชุดเกราะพวกนี้เอาไว้เป็นของสะสม คงไม่มีใครคิดจะขายชุดเกราะที่เป็นเหมือนกับสมบัติล้ำค่านี้อย่างง่ายๆ แน่นอน

เช้าวันต่อมาเป็นวันที่สองที่อาเบลมาถึง

หลังจากที่อาเบลตื่นขึ้น เขาได้รีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่จะเดินออกมาที่ห้องรับประทานเพื่อทานอาหารเช้านั่นเอง อาเบลเห็นอัศวินมาแชลมารอเขาก่อนที่โต๊ะอาหารเช้านี้อาเบลจึงไม่รอช้ารีบขอโทษทันที

"ขอประทานโทษด้วยครับ"

"ไม่เป็นไร เมื่อวานหลับสบายไหม?" อัศวินมาแชลถามอาเบลอย่างไม่เป็นทางการเท่าไร

"หลับสบายดีครับ ดูเหมือนเตียงที่นี่จะนุ่มสบายกว่าที่ไหนๆ"

"พ่อดีใจนะที่ได้ยินเช่นนี้" อัศวินมาแชลได้ชี้ไปที่ที่นั่งที่หนึ่ง "มานั่งได้แล้ว"

เหล่าคนรับใช้เริ่มเสิร์ฟอาหารเช้าให้กับอาเบลบนที่นั่งของเขา ทันทีที่อาเบลเห็นอาหารเช้าของเขาเขาได้แต่ตกใจ ในอาหารเช้าของอาเบลมีทั้งไข่ ไส้กรอก เบค่อน และผักใบเขียวทั้งหลาย ที่จริงแล้วในฤดูหนาวแบบนี้ไม่ควรจะมีผักพวกนี้ได้ พวกเขาหาผักแบบนี้มาได้ยังไงกัน?

อัศวินมาแชลพอจะเดาได้ว่าอาเบลกำลังสงสัยจากสีหน้าของเขา อัศวินมาแชลจึงอธิบายให้อาเบลฟัง "นี้เป็นผลงานของพวกดรูอิดไงล่ะ พวกเขาสามารถใช้พลังพิเศษในการปลูกพืชผักเหล่านี้ในฤดูที่แสนจะโหดร้ายแบบนี้ได้ ราคาที่ดรูอิดขายเองก็ดูจะสมเหตุสมผลกับพลังของพวกเขาด้วยเหมือนกัน"

หัวใจอาเบลเริ่มตื่นเต้นหลังจากได้ยินคำอธิบายนี้ "มีผู้ใช้เวทย์มนตร์คนอื่นนอกเหนือจากดรูอิดไหม?"

เมื่ออัศวินมาแชลเห็นว่าอาเบลสนใจเขาจึงวางส้อมของเขาลงบนจาน "เธอกำลังพูดถึงจอมเวทย์ใช่ไหมล่ะ?"

"จอมเวทย์!"

หรือว่านี้จะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาเบลใช้คัมภีร์แห่งการวาร์ปไม่ได้ บางทีคัมภีร์เวทย์มนตร์พวกนี้อาจจะมีเพียงจอมเวทย์เท่านั้นที่สามารถใช้งานมันได้ ถ้าหากอาเบลอยากที่จะกลับบ้านของเขาเขาจะต้องหาโอกาสที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพวกจอมเวทย์

เมื่อการทานอาหารเช้าในวันนี้จบลง อัศวินมาแชลได้บอกให้อาเบลไปศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจอมเวทย์ภายหลัง อัศวินมาแชลเทกาแฟให้อาเบลก่อนที่จะเริ่มพูดกับอาเบลว่า

"อาเบล ตอนนี้ลูกเป็นสมาชิกของบ้านตระกูลแฮรี่นี้แล้วนะ"

"ผม...เอ่อ"

อัศวินมาแชลหยุดพูดไปครู่หนึ่งเหมือนกับว่าเขากำลังคิดคำพูดที่เหมาะสมอยู่ "พ่อขอพูดตรงๆ กับลูกเลยนะ พลังที่ลูกได้ปล่อยมาเมื่อวานนี้ที่เป็นพลังของอัศวินฝึกหัดระดับ 4 ใช่ไหม?"

อาเบลเงยหน้าด้วยความตกใจ อาเบลไม่คิดมาก่อนว่าอัศวินมาแชลจะรู้ความจริงเร็วขนาดนี้ ในตอนที่อาเบลป้องกันตัวเขาเผลอใช้พลังที่แท้จริงเพียงไม่กี่เสี้ยววินาทีเท่านั้น

"ไม่เป็นไร ใจเย็นไว้" อัศวินมาแชลพูดพร้อมกับจับไหล่ของอาเบลไว้ "พ่อรู้ว่าเธอไม่อยากให้พี่ชายของลูกนั้นเสียหน้า ลูกคงไม่อยากให้พี่ของลูกเสียความมั่นใจถูกไหม?"

สิ่งที่อัศวินมาแชลเข้าใจก็เป็นความจริงเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น อาเบลไม่อยากจะอธิบายอะไรไปมากกว่านี้แล้ว เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้อาเบลพัฒนามาถึงระดับ 4 ได้เป็นเพราะฮอร์ราดริกคิวบ์ของเขานั่นเอง ผู้คนในโลกนี้คงจะไม่เชื่อว่าฮอร์ราดริกคิวบ์มีความสามารถที่แท้จริงเป็นยังไง การอธิบายการมีอยู่ของฮอร์ราดริกคิวบ์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้อาเบลได้ประโยชน์เท่าไรนัก

"ยังไงตอนนี้พ่อก็เหมือนนั่งเรือลำเดียวกับลูกแล้วนะ ถึงพ่อไม่รู้ว่าลูกจะอยากทำอะไรกันแน่ แต่การที่จะเก็บซ่อนพลังเอาไว้แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ พลังอัศวินที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้สักวันหนึ่งมันอาจจะระเบิดออกมาก็ได้ พลังที่ระเบิดออกมาจะทำให้เธอนั้นต้องสูญเสียพลังพวกนั้นไป เธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดใช่ไหม?"

จากสิ่งที่อัศวินมาแชลพูด "พลัง" ในโลกนี้ดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากพลังในโลกเดิมที่อาเบลอยู่ ในโลกที่อาเบลเคยอยู่ผู้มีพลังที่แท้จริงนั้นจะต้องสามารถควบคุมพลังนั้นได้อย่างดีเยี่ยม คนที่มีพลังแต่ขาดการควบคุมนั้นไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

แต่สิ่งที่อาเบลเรียนรู้จากโลกใบนี้มันแตกต่างออกไป ผู้ที่มีพลังจะสามารถอยู่รอดและใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย โชคดีที่ในโลกแห่งนี้ยังคงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าปืน ผู้คนในโลกใบนี้ยังคงหมุกมุ่นอยู่กับการเอาชนะศัตรูของตัวเอง ไม่มีใครที่จะมองหาวิธีที่ทำให้ชีวิตนั้นอยู่ยืนยาวมากยิ่งขึ้น

"แล้วผมจะควบคุมพลังได้ยังไงกัน?" อาเบลถามด้วยความสงสัย

"หลายปีก่อนนี้พ่อก็ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันกับลูกแหละนะ แต่โชคดีที่พ่อนั้นหาทางออกได้แล้ว"

อัศวินมาแชลวางดาบยาวของเขาไว้บนโต๊ะ "ดูที่ใบดาบเล่มนี้สิ ลูกรู้รึป่าวว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับอาวุธของอัศวินน่ะ ลูกรู้จักดาบเล่มนี้มากแค่ไหนกัน?"

อาเบลตอบกลับหลังจากที่สัมผัสดาบไปครู่หนึ่ง "ดาบเล่มนี้ยาวประมาณหนึ่งเมตรครึ่ง น้ำหนักก็คงอยู่ที่ราวๆ 20 ปอนด์"

อัศวินมาแชลเหวี่ยงดาบของเขาไปมาพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อไป "ดาบเล่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่ออัศวินโดยเฉพาะ มันถูกตีเป็นร้อยๆ ครั้งเพื่อให้ได้รูปทรงที่แหลมคมเหมือนกับในตอนนี้ ความยาวของดาบเล่มนี้อยู่ที่ 1.58 เมตร น้ำหนักของดาบคือ 21.2 ปอนด์ เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรู้รายละเอียดของดาบขนาดนี้?"

"ก็เพราะว่ามันเป็นดาบของคุณ" อาเบลพูดเบาๆ แต่ถึงเสียงของอาเบลจะเบาแค่ไหนอัศวินมาแชลก็ได้ยินชัดเจนอยู่ดี เมื่อเห็นว่าอาเบลไม่มั่นใจเท่าไรนักเขาก็อดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้

อัศวินมาแชลยิ้มก่อนจะพูดต่อไป "และดาบเบาที่ลูกมีอยู่ล่ะ ลูกรู้รายละเอียดของมันบ้างไหม? รู้ไหมว่าดาบเล่มนั้นหนักเท่าไหร่?"

ในช่วงเวลานั้นอาเบลก็ไม่ได้ตอบอะไรไป อาเบลทำได้เพียงลูบจมูกของตัวเองเท่านั้น

"เท่าที่พ่อประเมินด้วยสายตานะ ถ้าหากลูกเรียนรู้การสร้างอาวุธและชุดเกราะต่อไปอีกสักปี ลูกก็จะสามารถทำแบบเดียวกับพ่อได้อย่างแน่นอน ถ้าหากลูกสามารถทำสำเร็จได้ลูกจะต้องมีอาวุธที่ร้ายกาจกว่าอัศวินคนอื่นๆ อย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึงลูกจะสามารถปลดปล่อยพลังความบ้าคลั่งภายในตัวออกมาได้ทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกันลูกก็จะสามารถควบคุมพลังเหมือนเดิมได้ตามปกติเช่นกัน"

"แล้วผมจะหาที่เรียนสร้างอาวุธและชุดเกราะได้จากที่ไหนกัน?"

อัศวินมาแชลใช้มือของตัวเองจับไปที่แก้มของเขา "แล้วลูกเคยสงสัยไหมละว่าพ่อเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะมากมายน่ะ?"

จากที่อาเบลสังเกตเห็น ห้องโถงหลักของปราสาทแฮรี่แห่งนี้มีขนาดพอๆ กับห้องโถงของปราสาทเบ็นเน็ตต์

ถึงขนาดของห้องปราสาทจะมีขนาดที่ใกล้เคียงกันแต่ดูเหมือนว่าการเงินที่มีใช้ในแต่ละวันของทั้งสองตระกูลจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่จริงเรื่องนี้เองก็เป็นเรื่องที่อาเบลสงสัยตั้งแต่แรก ในความจริงแล้วอาเบลอยากจะถามอัศวินมาแชลตั้งแต่วันแรกที่ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในปราสาทแห่งนี้

"ลูกคงไม่รู้สินะว่ามีเหมืองเหล็กอยู่ที่ใกล้ๆ กับปราสาทหลังนี้" อัศวินมาแชลพูดด้วยน้ำเสียงที่ภูมิใจ "พ่อพบเหมืองเหล็กทันทีในตอนที่พ่อได้ครอบครองดินแดนแห่งนี้ ถ้าหากไม่ได้เหมืองเหล็กนี้แล้วละก็พ่อคงจะสร้างปราสาทในแบบที่เอมม่าต้องการไม่ได้เลย"

หลังจากที่อัศวินมาแชลพูดถึงภรรยาของเขาเองเขาก็เริ่มแสดงอาการโศกเศร้าขึ้นมาทันที "ในตอนที่เอมม่ายังอยู่กับพ่อ เธอเป็นคนวางแผนและออกแบบโครงสร้างของปราสาทนี้ทั้งหมด แต่ลำพังเงินเก็บของพวกเราสองคนคงจะไม่พอที่จะสร้างปราสาทในฝันของเอมม่าได้ แต่ถึงจะมีอุปสรรคแค่ไหนเราสองคนก็ได้เริ่มสร้างปราสาทหลังนี้ต่อไป ในตอนที่เงินเก็บของพวกเราแทบจะหมดไป พวกเราก็ได้พบกับเหมืองเหล็กนี้เข้า สุดท้ายแล้วฉันก็ได้แต่ขอบคุณสรวรรค์ ฝันของเอมม่ากับพ่อจึงเป็นจริงในที่สุด"

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด