ตอนที่แล้วตอนที่ 23: สี่นายน้อยชั้นสูง [ฟรี 16 พ.ค. 63]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 25: มันได้เริ่มขึ้นแล้ว [ฟรี 23 พ.ค. 63]

ตอนที่ 24: ข้าไม่เคยเห็นมันเหมือนกัน [ฟรี 17 พ.ค. 63]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ โกลาหลแห่งอสนีบาต

สารบัญ จอมเวทอหังการ

สารบัญ ราชันเทพเก้าสุริยัน

สารบัญ จอมมารสะท้านภพ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 24: ข้าไม่เคยเห็นมันเหมือนกัน

ในความทรงจำอันกว้างขวางของจี้หลิง มีไม่กี่คนที่สามารถเข้าใกล้กับนิสัยสงบยิ่งของยวินหยางได้ คนเหล่านี้มักเป็นบรรพบุรุษของครอบครัวนาง พวกเขาคือผู้อาวุโสที่ประสบกับการพลิกผันของชีวิต กอปรด้วยความมั่งคั่งทางความรู้และทำหน้าที่เป็นน้ำพุแห่งปัญญาเพื่อครอบครัวอันทรงเกียรติ นางรู้ดีว่าเพชรน้ำหนึ่งเหล่านี้ผ่านอะไรมามากมายเพื่อบรรลุสู่จุดสูงสุดอันเป็นที่เคารพ เสี่ยงชีวิตในศึกนับครั้งไม่ถ้วน เป็นสักขีพยานการการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีสิ้นสุด ประสบกับเรื่องราวปวดหัวมหาศาลและรอดจากสถานการณ์สิ้นหวังมาได้นับครั้งไม่ถ้วน มีเพียงการผ่านความยากลำบากเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถทำให้พวกเขาเป็นอย่างที่ว่ามาได้ ชายหญิงไม่ประทับใจต่อผู้มีอำนาจที่ครอบครองการมองการณ์ไกลเหลือเชื่อ พวกเขามั่นคงเสมอ เป็นสระลึกน้ำใสกระจ่างที่จะไม่ตกอกตกใจในสถานการณ์ใด ๆ

ยวินหยางบรรลุทั้งหมดนี้ได้ทั้งที่อายุเพียงสิบเก้าปีได้อย่างไร? จี้หลิงสงสัยเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้ผู้มีปัญหาเหนืออายุ มีความประพฤติไร้ที่ติและกิริยาท่าทางไร้ข้อบกพร่อง ไม่มีใครสามารถตำหนิเขาผู้กล้าหาญด้วยไหวพริบที่งามสง่าได้ หากสรุปให้เข้าใจอย่างง่าย ยวินหยางคือชายที่มีความลับมากมาย

“…พวกข้ามาที่นี่ในวันนี้ อย่างแรกคือเป็นสักขีพยานต่อความสง่างามของนายน้อยยวิน” การหยอกล้อของพวกเขานำไปสู่เนื้อหาการสนทนาที่แท้จริงในที่สุด เป่ยเหยี่ยชิงกงเป็นคนแรกที่พูด “อย่างที่สอง เพื่อคลายความสงสัยด้วยสิ่งเดิมพันอันน่าทึ่งอย่างสัตว์ร้ายวิเศษทารกระดับที่เก้าที่นายน้อยยวินทำให้ทั้งโลกต้องตกตะลึง”

เขาคล้ายกับประหม่าขณะถูมือเข้าด้วยกัน “บอกตามตรง มันน่าอายที่ต้องยอมรับแบบนี้ ขณะที่พวกข้ามาจากครอบครัวมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ กลับไม่เคยได้เห็นสัตว์ร้ายวิเศษทารกระดับที่เก้ากับตาตัวเองเลย”

คำพูดของเขาได้รับความเห็นพ้องจากนายน้อยสามคนที่เหลือขณะพยักหน้าหนักแน่นพร้อมกัน

“ใช่ ข้าไม่เคยเห็นสักตัว”

“สัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้าเต็มไปด้วยความลึกลับเสมอ ข้าหวังที่จะสามารถได้ชายตามองมันดูสักครั้งมาตลอด…”

“เฮ้อ ความสูญเสียของข้าเมื่อไม่กี่วันก่อนล้วนมาจากความละโมบต่อสิ่งมีชีวิตนี้… ข้าจะไม่มาดูให้เห็นกับตาได้อย่างไรล่ะ?”

ซีเหมินวั่นไต้เป็นคนสุดท้ายที่พูด เสียงถอนหายใจของเขาเจือไปด้วยความจนใจ ขณะตัดสินใจเลือก ตอนแรกเขาวางแผนจะเดินทางเพียงลำพัง แต่นายน้อยสามคนที่เหลือเมื่อได้ยินความตั้งใจของเขากลับตามติดมาด้วยราวปลิงที่เกาะติดแน่น พวกเขาปฏิเสธที่จะให้ซีเหมินวั่นไต้ประสบกับความพิศวงที่ได้เห็นสัตว์ร้ายเลอค่าด้วยตัวคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะพวกสร้างปัญหาเหล่านี้ ซีเหมินวั่นไต้จะมีจุดจบ ณ ที่พักยวินเหมือนกับช่วงบ่ายที่เขาแพ้การเดิมพัน นายน้อยล้วนยิ้ม แต่ความตึงเครียดในอากาศกลับหนาอย่างเห็นได้ชัด

จี้หลิงผู้อยู่ตรงหน้าต่างกลั้นหายใจ ไม่มั่นใจว่ายวินหยางจะทราบเรื่องนี้หรือไม่ นายน้อยเหล่านี้อาจจะเป็นมิตรในตอนนี้ แต่ทันทีที่ยวินหยางไม่สามารถนำทารกของสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้ามาให้ชมได้ ทั้งที่พักยวินอาจจะราบเป็นหน้ากลอง ไม่มีข้อยกเว้นใดทั้งนั้นขณะคนเหล่านี้อยู่ที่นี่เพื่อให้เขารับผิดชอบ หากจะพูดให้ถูก พวกเขามาที่นี่เพื่อแบ่งค่าหัว!

ไม่ว่ายวินหยางจะสามารถนำทารกของสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้ามาให้ชมได้หรือไม่ ปลายทางของเขาจะไม่แปรเปลี่ยน ทันทีที่นำออกมาให้ชม นายน้อยทั้งสี่คนจะเกิดความโลภอย่างแน่นอน ไม่ว่าสุดท้ายใครจะเป็นผู้ได้ครอบครอง ยวินหยางย่อมไม่มีชีวิตรอดในฐานะเจ้าของเดิมได้แน่! ความเอิกเกริกของคนเหล่านี้เป็นเพียงความสงบก่อนพายุมาเยือน

“ทารกของสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้า…” ยวินหยางยิ้ม “มันคือสิ่งที่น่าพิศวงจริง ๆ ข้าไม่สงสัยเลยว่านายน้อยทั้งสี่ไม่เคยเห็น แต่เพราะแบบนั้น ข้าเลยไม่เคยเห็นเช่นกัน…”

ทันทีที่คำพูดของเขาส่งออกไป บรรยากาศในลานบ้านเกิดความเงียบจนเย็นเยือกขึ้นในฉับพลัน จากนั้น สีหน้าของนายน้อยทั้งสี่คนมืดมนทันควัน

เจ้าไม่เคยเห็นอย่างนั้นหรือ?

ใบหน้าของซีเหมินวั่นไต้พลันเป็นสีแดงเลือดหมูแปลกประหลาดขณะจ้องมองยวินหยางอย่างน่ากลัว หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาพูดด้วยความสงบจนน่าขนลุกว่า “ข้าอาจจะฟังที่นายน้อยยวินพูดผิดไป ถ้านายน้อยยวินไม่เคยเห็นทารกของสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้า เช่นนั้นเจ้ากล้าเอามาเดิมพันได้อย่างไร?”

นายน้อยสามคนที่เหลือจ้องมองยวินหยางด้วยดวงตาเบิกกว้างไม่กะพริบ

“ถ้าแพ้การเดิมพัน ข้าย่อมสามารถต่อรองในตอนท้ายได้” ยวินหยางเฉยเมย พูดด้วยน้ำเสียงปกป้องตัวเอง “แต่ในเมื่อข้าชนะ เรื่องทั้งหมดนั่นก็เป็นเพียงน้ำใต้สะพาน”

ซีเหมินวั่นไต้สามารถรู้สึกได้ว่าความโกรธเกรี้ยวพุ่งขึ้นถึงศีรษะ “ถ้าเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน หมายความว่าเจ้าไม่มี เช่นนั้นเจ้าจะเดิมพันไปทำไม?”

ยวินหยางยิ้ม “มันตัดสินจากสถานการณ์หลายอย่าง อย่างแรกคือข้ามั่นใจว่าสามารถชนะได้ ทันทีที่ชนะ ทุกสิ่งจะปลอดภัย อย่างที่สอง… นายน้อยซีเหมิน ใครบอกเจ้าล่ะว่าไม่เคยเห็นแปลว่าไม่ได้ครอบครอง?” คำพูดของเขาทำให้ทุกคนสับสนตามความหมายของมัน

ถ้าเขาไม่เคยเห็น สรุปแล้วเขามีหรือไม่มีกันแน่?

สีหน้าของตงฟางหมิงเทียนเปลี่ยนไปอีกครั้ง รอยยิ้มเย็นเยือกถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นขณะกล่าวว่า “หรือว่าพี่ยวินจะมีคำอธิบายอื่น? ข้าล่ะอยากฟังจริง ๆ”

ยวินหยางยิ้มเจื่อย ยกหม้อชาขึ้นรินเครื่องดื่มร้อนให้ทุกคนขณะพูดว่า “พูดตามตรง ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ ถ้าเป็นคนอื่นที่มารับคำท้า มันคงจบไปนานแล้ว ไม่มีผลลัพธ์ยืดเยื้อมาถึงตอนนี้หรอก ทว่า ในเมื่อนายน้อยล้วนสนใจที่จะมาเยี่ยมข้า… มันก็คงเป็นปัญหาหากข้าไม่อธิบายให้กระจ่าง เห็นทีคงต้องบอกเล่าให้มากขึ้นแล้วสินะ”

ใบหน้าของซีเหมินวั่นไต้ยังเป็นสีแดงเลือดหมูขณะกล่าวว่า “ข้าสามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ แต่ข้าเกลียดการโกง”

“พูดว่าโกงแบบนี้มันก็เกินไปหน่อยนะ” ยวินหยางพูดด้วยใบหน้าซื่อตรง “ถ้านายน้อยซีเหมินชนะและข้าไม่สามารถมอบทารกของสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้าให้ได้ นั่นเท่ากับเป็นการโกง ทว่า เมื่อคราวที่แล้ว นายน้อยซีเหมินไม่ชนะสักหน่อย”

“หื้ม ความจริงนี่มันไม่สำคัญเลย” ยวินหยางกล่าวต่อ “เชิญดื่มชาก่อน เรื่องการพนัน เราต้องมีเงินทุนเพื่อหนุนการเดิมพัน หากไม่มี นั่นเท่ากับเป็นการโกง ข้าว่าความคิดของนายน้อยซีเหมินออกมาทางแนวนี้หรือเปล่า?”

นายน้อยทุกคนคิดเหมือนกันว่า “ใครจะยอมถ่อมาถึงที่นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้?… เจ้าจะพูดปัดสวะอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าไม่เคยเห็นทารกของสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้าจริง ๆ” ยวินหยางยืนยัน “มันคือความจริง ตั้งแต่ที่ข้ายังเด็กจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยเห็นมันกับตาสักครั้ง”

ตูม!

ความปั่นป่วนปะทุขึ้นอีกครั้ง

เจ้าพูดนู่นวกนี่ แต่ เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่เคยเห็นอีก…

“ทว่า” ยวินหยางเน้น “ข้ามีไข่ของสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้าชั้นสูงที่กำลังจะฟัก”

“เอ่อ…” ซีเหมินวั่นไต้รู้สึกขนลุก ราวกับออกแรงเหวี่ยงเต็มที่แต่โดนเพียงอากาศธาตุ

“เช่นนั้นไข่สัตว์ร้ายวิเศษฟองนี้อยู่ที่ไหนล่ะ?” หนานกงปู้ไป้ถามด้วยดวงตาหยี ยวินหยางยิ้มขณะชำเลืองมองอย่างรวดเร็ว นายน้อยสี่คนเข้าใจดีอย่างเต็มอกว่าไม่มีใครเต็มใจตอบคำถามดังกล่าวโดยไม่เสียอะไร

“นายน้อยยวินคงไม่ได้พยายามจะบอกพวกข้าว่าไม่มีอีกแล้วหรอกใช่ไหม?” เป่ยเหยี่ยชิงกงถามด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด

“นายน้อยเป่ยเหยี่ย เจ้าไม่จำเป็นต้องยั่วยุข้าก็ได้ ข้าจะพูดในสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว” ยวินหยางยิ้ม “เอาตามตรง ข้าไม่อยากสร้างความขัดแย้งกับครอบครัวชั้นสูงผู้มีอิทธิพลหรอก หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือข้าไม่อยากส่งนายน้อยเหล่านี้ไปรนหาที่ตายยังไงล่ะ”

“ไปรนหาที่ตายงั้นหรือ?” ซีเหมินวั่นไต้ยิ้มเยาะ “นั่นมันไม่น่าขันไปหน่อยหรือ นายน้อยยวิน?”

ยวินหยางมองซีเหมินวั่นไต้อย่างมีนัย “นายน้อยซีเหมินเต็มใจจะเดิมพันกับข้าอีกสักหนไหมล่ะ?” สายตาของเขาเหยียดหยัน ร่องรอยของการวางตัวและการยุแหย่ปรากฏขึ้นยามเผชิญหน้ากับสี่นายน้อยยิ่งใหญ่เหล่านี้

“เอ่อ…”

ใบหน้าของซีเหมินวั่นไต้ซีดเผือด เดิมพันอีกแล้วหรือ? ถ้าเขาแพ้การเดิมพันนี้อีก เขาไม่มีความหมายที่จะมีชีวิตต่อไป

ตงฟางหมิงเทียนรับบทเป็นคนกลางขณะหัวเราะออกมา “พวกข้าล้วนเดิมพันแน่หากต้องทำจริง ๆ พี่ยวิน พวกข้าอุตส่าห์เดินทางมาถึงนี่ทั้งที อย่าปล่อยให้คาใจกลางทางสิ.. พวกข้าตั้งใจจะหล่อหลอมมิตรภาพกับพี่ยวินนะ คงไม่เกิดประโยชน์ต่อพวกเราแน่หากมาผิดใจกัน”

แต่ลึก ๆ แล้ว เขากำลังคิดว่า “คิดขู่พวกข้าหรือ? ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?”

รอยยิ้มของยวินหยางเต็มไปด้วยความนัยขณะกล่าวว่า “นั่นก็ถูก คงไม่เกิดประโยชน์กับใครหากสร้างความขัดแย้งต่อกัน”

“บอกตามตรง ข้าใจร้อนเรื่องทารกของสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้า” ยวินหยางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารู้สึกผิดทันทีที่คำพูดหลุดออกจากและตั้งใจจะเดิมพันกับพี่ซีเหมินให้ถูกทาง… ถ้าไม่ใช่เพราะปากพาซวยของตัวเอง เรื่องนี้คงจบด้วยดีจนไม่วุ่นวายมาถึงขนาดนี้”

สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ซีเหมินวั่นไต้ผู้ที่ใบหน้าแดงก่ำ เขาคือคนที่ยืนกรานจะเดิมพันต่อ เขาเริ่มประสาทแดกเมื่อกล่าวถึงทารกสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้า

“นี่ข้องเกี่ยวกับความลับของครอบครัวยวิน” ยวินหยางกล่าว “ข้าพูดมากไม่ได้ แต่ไข่สัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้าฟองนี้… คือไข่ของนกปีกทอง”

ไข่ของนกปีกทอง!

ลมหายใจของนายน้อยทั้งสี่คนถี่รัวอย่างรวดเร็ว

ตำนานกล่าวเอาไว้ว่ามันคือหนึ่งในสัตว์ร้ายตำนานของสวรรค์และปฐพีนามว่าการูด้า มันคือสัตว์วิเศษที่สามารถสร้างความปั่นป่วนทั่วทุกหนแห่งได้ แน่นอน การูด้าคงอยู่แต่ในเรื่องเล่าและตำนานเก่าแก่ ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน นกปีกทองตัวนี้ย่อมไม่ใช่การูด้า แต่เป็นสัตว์ร้ายวิเศษชั้นสูงที่เกิดจากเชื้อสายอ่อนแอที่สุดของสัตว์ร้ายตำนาน ทันทีที่เติบใหญ่ มันจะกลายเป็นสัตว์ร้ายวิเศษชั้นสูงระดับที่เก้าอย่างไม่ต้องสงสัย!

สิ่งที่ทำให้ประเมินค่ามิได้คือมันสามารถบินได้!

“อาจารย์ของข้าอยากตามหาทารกของสัตว์ร้ายวิเศษทรงพลังเสมอ เหตุผลแรกคือให้เป็นพวกพ้องยามที่ข้าเติบใหญ่ เหตุผลที่สองคือเพื่อให้ข้าสามารถปกป้องตัวเองยามที่เขาล่วงลับไปแล้ว…” ยวินหยางพูดช้า ๆ ด้วยความนับถือ สีหน้าเผยความสัตย์ซื่อ

“อาจารย์ของเจ้าหรือ?” ในที่สุดตงฟางหมิงเทียนพบประเด็นหลัก

“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าอาจารย์ของพี่ยวินเป็นใคร?” ตงฟางหมิงเทียนถามด้วยความสนใจที่แทบปิดบังไว้ไม่มิด

ยวินหยางยังคงเงียบสักพักก่อนมือล้วงเข้าไปในชุดคลุมแล้วหยิบแผ่นไม้ขนาดเล็กออกมาวางบนโต๊ะแผ่วเบา สายตาของทุกคนจับจ้องการเคลื่อนไหวอันน้อยนิดของเขา แผ่นไม้เป็นสีดำ แต่เมื่อมองต่อ มันคล้ายกับส่องแสงเล็กน้อย เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่ แสงสว่างคล้ายกับประกายหมู่ดาวบนท้องฟ้ายามราตรี ราวกับกลุ่มดาวสมับโบราณกาลที่ส่องประกายไม่มีสิ้นสุดชั่วกัปชั่วกัลป์

“ไม้ดาราแห่งนิลกาฬงั้นหรือ?” ตงฟางหมิงเทียนสั่นสะท้านด้วยความยำเกรง

“ใช่แล้ว มันคือไม้ดาราแห่งนิลกาฬ พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ… ดารานรก”

น้ำเสียงของยวินหยางต่างออกไปอย่างชัดเจน “การเขียนของอาจารย์ข้าสลักไว้บนนี้ โปรดจำมันให้ขึ้นใจทันทีที่ได้ดู ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดเผยแผ่นไม้ในวันนี้ การกระทำนี้เพียงอย่างเดียวนับว่าใจกว้างมากพอแล้ว! ถ้าข่าวแพร่งพรายออกไป อาจารย์ของข้าจะต้องโกรธแน่ ๆ!”

นายน้อยใหญ่ทั้งสี่คนรู้สึกถึงการข่มขู่ชัดเจนจากคำพูดของยวินหยาง ความตึงเครียดยากจะอธิบายตกกระทบบนบ่า แผ่นไม้สีดำขนาดเล็กนี้เต็มไปด้วยราศีความยิ่งใหญ่ ราวกับหนักกว่าหลายพันจิน

ในเมื่อยยวินหยางโบกแผ่นไม้สีดำขนาดเล็กนี้แล้ว ไม่มีความสงสัยในใจของตงฟางหมิงเทียนและผู้สมคบคิดอีก ไม้ดาราแห่งนิลกาฬคือมณีล้ำค่าที่ทั่วโลกรู้จัก สิ่งที่ทำให้มันประเมินค่ามิได้อย่างเหลือเชื่อคือมันมีเพียงแผ่นเดียวในโลกใบนี้หลังจากผ่านมาหนึ่งพันปี

ยิ่งกว่านั้น มีเพียงคนเดียวที่ครอบครองยันต์โบราณใบนี้ ไม่มีผู้อื่นที่สามารถครอบครองไม้ดาราแห่งนิลกาฬได้! การปรากฏของมันคือสัญญาณของการปรากฏตัวของบุคคลผู้โอ้อวด ขณะแผ่นไม้หันช้า ๆ คำพูดสี่แถวบนนั้นฟาดเข้าใส่นายน้อยทั้งสี่คนราวสายฟ้า ตอนนั้นเอง ลูกตาทั้งสี่คู่ถึงกับเห็นบางสิ่งจนใบหน้าละเอียดอ่อนซีดเผือด

“นานมาแล้วที่ข้าไปเป็นแขกของสวรรค์ อีกครึ่งก้าวสู่ความไร้ตัวตน ด้วยคุณธรรมและเนื้อคู่ ข้าห่างเพียงหนึ่งก้าวก่อนถึงหมู่เมฆ”

มีเพียงสี่บรรทัดนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดพิสูจน์อีก ทว่า สี่บรรทัดนี้ เพียงพอที่จะแสดงตัวอักษรยอดเยี่ยมให้ได้เห็น ตัวอักษรที่แม้แต่แปดครอบครัวยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปเทียนเสวียนก็ไม่สามารถยั่วยุได้ มันคือบุคคลในตำนานผู้ดีเลิศไร้ใครเทียบของช่วงเวลานั้น

เขาคือตำนานผู้สามารถทำลายความว่างเปล่าและทะยานผ่านทุกสรรพสิ่งได้เมื่อห้าร้อยปีก่อน คนแรกและคนเดียวที่ไปถึงระดับพระเจ้าในช่วงเวลานั้น วีรชนผู้คาดไม่ถึงที่รอดจากทวีปเทียนเสวียนมามากกว่าสามร้อยปี

ตู๋กูโฉว!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด