ตอนที่แล้วตอนที่ 21: ตำนานเป็นได้แค่ตำนาน [ฟรี 09 พ.ค. 63]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 23: สี่นายน้อยชั้นสูง [ฟรี 16 พ.ค. 63]

ตอนที่ 22: ดาบหยกภักดี หลบเลี่ยง! กำราบ! [ฟรี 10 พ.ค. 63]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ โกลาหลแห่งอสนีบาต

สารบัญ จอมเวทอหังการ

สารบัญ ราชันเทพเก้าสุริยัน

สารบัญ จอมมารสะท้านภพ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 22: ดาบหยกภักดี หลบเลี่ยง! กำราบ!

เหล่าเหมยเกาศีรษะอย่างหงุดหงิด ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัด

นายน้อยผู้เห็นหน้าร้อนผ่านไปเพียงสิบเก้าครั้งเพิ่งเรียกเขา ชายชรา ว่าเป็นผู้อ่อนหัด! มันทั้งผิดปกติและน่าหัวเราะ

ถึงกระนั้น เหล่าเหมยรู้สึกได้อย่างชัดเจน ถ้าเทียบตัวเองกับนายน้อย เขาคล้ายกับขาดปัญญาและความรู้เกี่ยวกับการทำงานของโลก เขาไม่สังเกตเห็นมันในช่วงหลายปีก่อน เขาทราบว่านายน้อยในตอนนั้นลึกลับและทำงานอย่างหนักด้วยการปกปิดทักษะวิชายุทธเอาไว้ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ยวินหยางมักดูเกียจคร้านสันหลังยาวเสมอ เจ้านายของเขาจะหายไปบ่อยครั้งเช่นกัน การหายไปของเขากินเวลาหลายเดือน

ทว่า ตั้งแต่กลับบ้านเมื่อหนึ่งปีก่อน เขาไม่เคยออกไปไหนอีกเลย

สัญชาตญาณของเหล่าเหมยในฐานะผู้ฝึกยุทธมีความอ่อนไหวเพียงพอที่จะแจ้งว่านายน้อยได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้เสียรากฐานการฝึกฝนไปด้วยเช่นกัน บาดแผลเหล่านั้นสาหัสพอจะคุกคามชีวิต ถึงอย่างนั้นนายน้อยไม่คล้ายกับคิดมากแม้แต่นิดเดียว

จนถึงตอนนี้ เขายังไร้ชีวิตชีวาและเซื่องซึม มีเพียงช่วงตกดึกที่เหล่าเหมยมองเห็นนายน้อยกำลังนั่งเพียงลำพังจากไกล ๆ เผยสีหน้าสิ้นหวังและโดดเดี่ยวที่เกาะกุมเอาไว้ภายใน สะท้อนผ่านประกายอ้างว้างในดวงตา เขารู้ว่านายน้อยแบกรับภาระที่บอกไม่ได้เอาไว้ในใจ เหล่าเหมยไม่กล้าถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น ต่อให้ถาม เขามั่นใจว่าจะไม่ได้อะไรจากนายน้อย

ถึงแม้ภายนอกทั้งหมดจะเป็นเช่นนั้น พลังมหาศาลคล้ายกับวนเวียนรอบยวินหยาง ก่อเกิดเป็นพลังบางอย่างขึ้นมา มันคือกลิ่นอายสังหารบ้าคลั่งที่จะทำให้โลกร้อนรุ่ม มีแต่จะรุนแรงขึ้น

เมื่อความเข้าใจวูบไหวในฉับพลัน เหล่าเหมยเห็นว่าจิตใต้สำนึกของนายน้อยแม่นยำเกินกว่าจะจินตนาการได้ ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่เห็น ไม่มีปัญหาใดที่เขาคลี่คลายไม่ได้ เหมือนกับเกมกระดานหมากรุกก็ไม่ปาน

ผู้เล่นหมากรุกที่สามารถคาดเดาได้สามถึงสี่ตาต่อไปจะถูกนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ไร้เทียมทาน แต่นายน้อยของเขาสามารถเห็นได้เพิ่มอีกหลายสิบตา นั่นไม่เพียงพอสำหรับอีกฝ่ายเช่นกัน ในหนึ่งปีที่เจ้านายของเขากลับมา มีแรงจูงใจพื้นฐานมากมายอยู่เบื้องหลังการกระทำ แต่เหล่าเหมยไม่สามารถถอดรหัสพวกมันออกมาได้

นายน้อยบอกว่าข้าอ่อนหัด… หรือว่าข้าจะอ่อนหัดจริง ๆ ?

ข้าสงสัยจริงว่าแผนการแบบไหนที่นายน้อยใช้บังคับชายคนนี้ที่นอนบาดเจ็บอยู่ห้องฝั่งตะวันออก

“แมวห้าตัวนี้…” เหล่าเหมยมองแมวหิมะห้าตัวที่กำลังตามหลังยวินหยางก่อนไอออกมาขณะมือลูบเครา

เขาหยุดเพียงแค่หนึ่งวัน ที่พักกลายเป็นสวนสัตว์ภายในข้ามคืน

“คิดซะว่าพวกมันคือ… แมวอสนี” ยวินหยางกล่าว “พวกมันออกจะน่ารัก”

“น่ารัก…” คำพูดที่ฟังดูแปลกประหลาดออกมาจากนายน้อยผู้ชอบ ‘วางแผน’ อยู่ในใจ เหล่าเหมยพลันรู้สึกว่าทิวทัศน์และมุมมองเกี่ยวกับชีวิต คุณค่าและโลกกลับตาลปัตร ลิงพันมายากำลังนั่งบนไหล่ของยวินหยาง ลิงตัวน้อยอยู่ติดกับเขามาหลายวัน แต่ดูมีชีวิตชีวาน้อยลงเช่นกัน

ยิ่งกว่านั้น ตราบที่ลูกแมวสี่ตัวอยู่ข้างใต้เขา ลิงพันมายาปฏิเสธที่จะลงไปหา ดวงตาตื่นกลัว ถ้าไม่ใช่เพราะความไม่เต็มใจที่จะออกห่างจากยวินหยางของลิง มันคงหนีไปนานแล้ว

แรงเสียดทานเกิดขึ้นจากระดับที่แตกต่างกัน ถึงแม้จะเป็นเพียงระดับเดียว แต่ก็ทำให้ลิงพันมายารู้สึกถึงการคุกคาม ความจริงที่เล็ดลอดความสนใจของทุกคนที่นี่

ยวินหยางตรวจสอบเสือดำคราส หนึ่งในพวกมันอยู่ระดับที่สี่แล้วในขณะที่สองตัวอยู่ระดับที่สาม ตัวที่อ่อนแอที่สุดหาทางไปถึงระดับที่สองได้เช่นกัน

ลูกแมวตัวน้อยเหล่านี้เห็นได้ชัดว่ามีหน้ากากโลหิต มันคือการแสดงความรักยิ่งใหญ่ที่สุดของสัตว์ร้ายวิเศษระดับสูงที่สามารถทำได้เพื่อทารก เป็นการใช้โลหิตเพื่อปิดบังธรรมชาติที่แท้จริงเอาไว้ ทำให้พวกมันดูอ่อนแอ เป็นเพียงสัตว์ร้ายวิเศษไร้ค่าในสายตาของคนอื่น เป็นกระบวนการที่จะรับประกันในความปลอดภัยของพวกมันและทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีอันตรายมาหาก่อนจะโตเต็มวัย

ทว่า หน้ากากโลหิตสามารถถูกร่ายได้โดยสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้าเท่านั้น ยวินหยางมั่นใจในเรื่องนี้ ในมุมมองดังกล่าว เขาคล้ายกับมีความคิดว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดพวกมันไม่เต็มใจที่จะลบหน้ากากโลหิตออก ทันทีที่หน้ากากโลหิตหายไป ทุกคนจะเห็นเต็มตาว่ามีสัตว์ร้ายวิเศษทารกระดับที่เก้าสี่ตัวกำลังตามหลังยวินหยางราวกับลูกเป็ดหลงทาง ด้วยความสามารถของเขาที่ยังหายไปอย่างน่าสมเพช ทำให้ไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำให้พวกมันอยู่รอดได้ถึงสองชั่วโมงหรือเปล่า

“เพื่อชีวิตที่ยืนยาว สหายอย่างพวกเจ้าเป็นแมวแบบนี้ต่อไปเถอะ” ยวินหยางลูบศีรษะของเสือดำคราสสี่ตัว ลิ้นสีชมขนาดเล็กแลบออกมาเลียฝ่ามือของเขา

แมวอสนีของจริงร้องเหมียวอย่างวิตกขณะที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จนทำได้เพียงขดตัวอยู่ด้านข้าง ไม่สามารถดึงความสนใจจากยวินหยางได้

ยวินหยางหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ยังมีอีกตัวหนึ่งนี่” เขาลูบศีรษะของแมวอสนีเช่นกัน ลูกแมวส่งเสียงครางอย่างพึงพอใจขณะเผยท้องน้อยสีขาวราวหิมะให้เห็น เหมือนทุกครั้ง การไหลของอากาศแห่งชีวิตอบอวลไปทั่ว ไม่ช้าพื้นดินปกคุลมไปด้วยบอลสีขาวราวหิมะกำลังกลิ้งไปมาอย่างยินดี ลิงพันมายาส่งเสียงหงุดหงิดจากบนไหล่ ยวินหยางทำได้เพียงควบคุมการไหลจากอีกทิศทาง แต่มันหยุดอย่างรวดเร็วเมื่อเขาเข้าใจถึงความน่าเวทนาของปริมาณลมปราณวิญญาณศักดิ์สิทธิอนันต์ที่เหลืออยู่ ถึงแม้จะกินเวลาแค่หนึ่งนาที แต่ลิงพันมายาก็พึงพอใจ มันกระโดดออกจากไหล่ก่อนหนีเข้าห้องของจี้หลิง

ยวินหยางพลันรู้สึกถึงสายตาคมปลาบที่จับจ้องมา ขณะหันไป เขาเห็นศีรษะกำลังยื่นออกมาทางหน้าต่างของห้องฝั่งตะวันออก ดวงตาคู่นั้นกำลังทิ่มแทงมาทางนี้

ยวินหยางหัวเราะก่อนเริ่มเดินไปหาชายผู้ได้รับบาดเจ็บ

ชายคนนั้นนั่งลงแล้วขณะพิงกับเตียง เขาฝืนยิ้มเมื่อเห็นยวินหยางเข้าห้องมา

ยวินหยางสังเกตเห็นว่าเส้นผมของชายคนนี้ไม่ยุ่งเหยิงเหมือนเมื่อวานที่ยังหมดสติอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาจัดระเบียบมัน ถึงแม้จะเป็นเพียงการหวีลวก ๆ เท่านั้น แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าชายคนนี้ห่วงรูปลักษณ์ ยวินหยางยังเข้าใจอีกว่ามือของอีกฝ่ายสะอาดไม่มีที่ติ สำหรับคนที่เพิ่งตื่นจากอาการบาดเจ็บสาหัส ไม่มีคราบสกปรกอยู่ตามเล็บด้วย

“เจ้า… ช่วยข้าทำความสะอาดใบหน้าได้หรือไม่?” เป็นคำแรกที่ชายคนนั้นขอร้องหลังจากยิ้มให้ยวินหยางที่พบกันครั้งแรก “น้ำเย็นได้จะดีมาก”

ยวินหยางพยักหน้า “ได้สิ”

เขาออกไปนำกะละมังน้ำเย็นและผ้าเปียกก่อนบิดแล้ววางลงบนใบหน้าของชายคนนั้น เมื่อความชื้นระเหยจนเกือบหมด เขาดึงมันออกก่อนจมผ้าเช็ดตัวในน้ำอีกครั้งก่อนวางบนใบหน้าอีกหน หลังจากทำเช่นนี้ห้ารอบ ยวินหยางใช้มุมผ้าเช็ดตัวเช็ดใบหน้าอีกฝ่าย ชายคนนั้นยังคงสงบตลอดกระบวนการดังกล่าว

“เจ้าหนุ่มมาก” เขากล่าวแผ่วเบา “ถึงอย่างนั้น เจ้ารู้วิธีจัดการผู้คน ข้าได้ยินชายคนนั้นเรียกเจ้าว่านายน้อย หมายความว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ที่คุ้นเคยกับการดูแลคนอื่นและเจ้ายังดูเหมือนจะพึงพอใจที่มันเป็นแบบนั้นด้วย”

“นี่คือเมืองเทียนถัง สถานที่แห่งนี้คือที่พักขนาดใหญ่แต่มีคนอยู่ไม่มาก ข้าไม่เห็นคนใช้หรืออารักขาอยู่แถวนี้ ได้ยินเพียงเสียงผู้หญิงเรียกเจ้าว่ายวินหยาง”

ชายคนนี้กล่าวต่อว่า “หรือเจ้าจะเป็นนายน้อยของขุนนางชั้นสูงยวินแห่งเมืองเทียนถัง? ยวินหยางหรือ? ในฐานะนายน้อยของขุนนางชั้นสูง เจ้ารู้วิธีดูแลคนอื่นได้อย่างไร?” ชายคนนั้นถาม

ยวินหยางยังคงเช็ดหน้าอีกฝ่ายขณะพูดแผ่วเบาว่า “ตรงข้ามกับท่านที่ไม่ได้ดูหนุ่มเลย ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บหนักจนใกล้ตาย ท่านเหมือนอยู่ในช่วงอายุราวสี่สิบปี แต่ข้าคิดว่าอายุที่แท้จริงน่าจะแปดสิบปีหรือมากกว่า ในอาณาจักรมนุษย์ ชายชราอายุแปดสิบปีนับว่ามีอายุมาก ทว่า เมื่อดูจากรากฐานการฝึกฝนแล้ว  ท่านต้องเก่งกาจแน่นอน ไม่บ่อยนักที่มนุษย์ธรรมดาจะแสดงความสนใจเช่นนั้นออกมา”

“ยิ่งกว่านั้น ท่านห่วงสะอาดและรูปลักษณ์ตัวเอง ต่อให้ตาย ท่านอยากจากไปในสภาพสะอาด คนอย่างท่านมีอยู่น้อยนัก”

“ท่านดูแลมือของตัวเองดีมาก” ยวินหยางบิดผ้าเช็ดตัวแล้วกล่าวต่อว่า “ถึงแม้ท่านจะหมดสติมานานจนเล็บยาวตามธรรมชาติ พวกมันยังสะอาดยิ่งอยู่ดี ดูท่าท่านจะให้ความสนใจกับพวกมันมากที่สุดเมื่อสังเกตจากการดูแลพวกมันเป็นประจำ…”

“ด้านในของนิ้วโป้งข้างขวาและด้านในของนิ้วชี้ข้างซ้ายล้วนบอบบางกว่าส่วนอื่นของมือ ภายใต้สถานการณ์ปกติ นี่คือสถานที่ที่แรงมักจะถูกปลดปล่อยออกมา ถ้าท่านคือผู้ฝึกยุทธ ไม่ว่าจะฝึกฝนดาบหรือกระบี่ มันจะต้องด้าน แต่ของท่านกลับไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะมันไม่เคยด้าน แต่เป็นเพราะการชะล้างวิญญาณและเส้นลมปราณโดยรวมเมื่อไปถึงระดับหนึ่งของของการฝึกฝน เลือดและกระดูกของส่วนที่อ่อนแอที่สุดได้รับการรักษาก่อน ด้วยเหตุนี้มันจึงอ่อนกว่าส่วนอื่น ๆ”

“นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างซ้ายของท่านไม่มีร่องรอยของการใช้แรงเลย เห็นได้ชัดว่ามือซ้ายใช้ร่ายคาถาดาบ ท่านไม่เคยฝึกท่าวิชายุทธอื่น ไม่เช่นนั้นมันต้องเผยสัญญาณบางอย่างออกมาแล้ว”

“ท่านเป็นบุคคลมีอำนาจ สามารถรับมือกับผู้คนที่มีสถานะสูงกว่าได้ คำพูดคมปลาบยามสนทนากับอีกฝ่าย”

“ดังนั้น ท่านต้องเป็นนักดาบแน่นอน”

“ไหล่ซ้ายของท่านถูกดูแลอย่างต่อเนื่อง ด้านหลังให้ความรู้สึกเหมือนถูกกดทับมาหลายปี ดังนั้นดาบของท่านไม่ได้เหน็บตรงสะโพกแต่แบกไว้บนไหล่ซ้ายเสมอ ตำแหน่งนี้ต้องเหมาะที่สุดที่ท่านจะชักดาบออกมา”

“ท่านต้องเปลี่ยนลมปราณวิเศษที่ฝึกฝนในร่างกายครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นลมปราณดาบ” ยวินหยางกล่าวต่อ “แสดงว่าท่านไม่ใช้อย่างอื่นเลยนอกจากดาบ”

“สายตาของท่านคมปลาบนัก เป็นนิสัยที่ติดมาจากการจ้องมองปลายดาบอย่างต่อเนื่อง พูดให้ถูกคือจ้องมองปลายดาบยามฝึกซ้อม ดังนั้น ต่อให้ท่านไม่ใช้ดาบหรือไม่ถือไว้ในมือ ท่านยังแผ่กลิ่นอายคุกคามออกมาแม้ตัวเองจะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ตามที ดวงตาของท่านใสไม่ลำเอียง แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ชายน่ารังเกียจที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการมา”

“ท่านไม่มีดาบอยู่กับตัว ส่วนที่อยู่ระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ข้างขวาฉีกขาดจนกระดูกหัก ข้าเดาคร่าว ๆ ว่าดาบคงพังไปแล้วเช่นกัน เมื่อไม่มีดาบ ท่านก็ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวตน ทำให้ข้าไม่สามารถสืบได้อย่างแม่นยำ”

“ท่านใช้ดาบ แต่ไม่เคยซ้อมท่าวิชายุทธอื่น ถึงจะแบกดาบ แต่วิธีการชักออกและประยุกต์ใช้กลับผิดแปลก ท่านมีคุณธรรม ไม่คิดช่วงชิงหรือขโมย ให้ความสนใจกับความสะอาดและรูปลักษณ์ ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง เป็นผู้สนับสนุนในโลกวิชายุทธ ถึงอย่างนั้นไม่ได้สังกัดกับชาติใด ท่านดูไม่เหมือนนักฆ่า แต่ความสามารถกลับน่าทึ่ง” ยวินหยางคิดแล้วกล่าวว่า “จากความรู้เล็กน้อยที่ข้าครอบครอง มีสามคนที่เหมือนกับท่าน”

ชายคนนั้นดูประหลาดใจระคนยินดีก่อนถามว่า “สามคนไหนล่ะ?”

“หนึ่งในพวกเขาล่วงลับไปแล้ว” ยวินหยางตอบ “ถ้าท่านเป็นเขา ข้าจะต้องจำได้แน่นอนต่อให้กลายเป็นเถ้าถ่านก็ตาม อีกคนคือตำนาน คือยอดฝีมือสูงสุด ยอดฝีมือเช่นนั้นจะไม่มีให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บแน่นอน”

“ตรงกันข้ามกับท่านที่คลุกคลีกับสัตว์ร้ายวิเศษ”

“นั่นทำให้เหลือตัวตนเดียวที่เหมาะกับท่าน” ยวินหยางยิ้ม “ข้าได้รับเกียรติสนทนากับนักล่าสัตว์ร้ายวิเศษเลื่องชื่อ ดาบหยกภักดี ฟางโม่เฟย หรือที่รู้จักในชื่อ ท่านผู้เฒ่าฟาง หรือไม่?”

ชายบนเตียงจ้องมองด้วยความไม่อยากเชื่อ มองมาที่ยวินหยางราวกับเห็นผี เขาคิดมาเสมอว่าตัวเองคือชายอึมครึม ในฐานะตัวคนเดียว เขาเทียวไปเทียวมาเพื่อตัวเองตลอด มีคนรู้จักไม่มาก รู้สึกเสมอว่ามีคนไม่มากนักที่สามารถจดจำเขาได้

ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มคนนี้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าและไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนกลับระบุตัวตนของเขาได้อย่างง่ายดายผ่านการสังเกตเพียงอย่างเดียว ถึงแม้เขาจะไม่สามารถปรับโฉมหน้าตาอันเป็นผลจากบาดแผลสาหัสได้ เขามั่นใจว่าชายหนุ่มไม่ได้ตรวจสอบมาก่อนหน้านี้ ทำให้ตัดสินใจตามธรรมชาติเพื่อสังเกตการณ์กับวิเคราะห์แม้แต่ยามสนทนา ถึงแม้เนื้อหาการพูดจะวกวนไปมาจนจับประเด็นไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดอีกฝ่ายคาดเดาได้อย่างถูกต้อง

นี่คือสิ่งที่เหลือเชื่อ ฟางโม่เฟยไม่เคยรู้ว่าเขาเผยจุดสังเกตมากขนาดนี้! ทว่า เขารู้ว่าชายหนุ่มพูดยืดยาวเช่นนั้นเพราะฟางโม่เฟยเป็นฝ่ายปกปิดตัวตนก่อน มันคือการหลบเลี่ยงโดยเจตนาก่อนจะเปิดฉากแทงด้วยดาบ

ฟางโม่เฟยตั้งใจจะขู่เข็ญชายหนุ่มคนนี้ที่ดูไม่มีประสบการณ์ด้วยความอาจหาญอันซับซ้อนหลังจากเปิดเผยตัวตน เขาหวังจะสร้างสถานะที่เหนือกว่าผ่านเล่ห์เหลี่ยมและทำให้แน่ใจว่าจะสามารถยังคงอยู่ที่นี่เพื่อรักษาบาดแผลต่อไปได้

ไม่เพียงแค่เขาพยายามไม่สำเร็จเท่านั้น อีกฝ่ายแก้เผ็ดและกำราบเขาอย่างอยู่หมัด!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด