ตอนที่แล้ว25 อสูรเหล็ก พายุกำลังมา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป27 ความจริงแล้ว เขาร้ายกาจที่สุด

26 คนที่ร้ายกาจยิ่งกว่ากำลังมา


26 คนที่ร้ายกาจยิ่งกว่ากำลังมา

เมื่อเว่ยเถียได้เห็นตัวเลขบนเครื่องทดสอบความแข็งแกร่งเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้ง เขาก็ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

เหงื่อกาฬไหลผุดขึ้นมาจนเต็มหน้าผากและเอวของเขา ร่างกายของเขา ราวกับเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ

เว่ยเถียนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ อสูรเหล็ก กลับไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ ในหัวของเขา เต็มไปด้วยภาพของตัวเองที่ถูกชกหัวหมัดทั้ง 30 กว่าหมัดนั้นจนทั่วร่าง

เขาจะต้อง...ถูกชกจนตายแน่!

“นายคงจะเป็นพี่ใหญ่เถียที่เรียนอยู่ชั้นปีสามสินะ แล้วมีธุระอะไรกับฉันรึเปล่า?” หลี่เย้าพูดออกมา เพราะเขาจำได้ว่า คนคนนี้คือ อสูรเหล็ก ซึ่งคนดังของโรงเรียน

เว่ยเถียปากสั่น และไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปยังไงดี

หลี่เย้าก็ไม่ต่างกัน เขารู้สึกประหลาดใจมากและกระพริบตาปริบๆ เขาเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วว่า เว่ยเถียนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความร้ายกาจ แต่ว่า พวกเขาก็ไม่ได้ยุ่งเรื่องของกันและกัน ทั้งเว่ยเถียและหลี่เย้าต่างก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน และวันนี้ ก็เป็นวันแรกที่ทั้งได้พูดคุยกัน ทำไมคนคนนี้...ถึงดูปัญญาอ่อนแบบนี้ได้ล่ะ?

“หลี่ เพื่อนนักเรียนหลี่เย้า ฉันมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากนาย ฉันก็เลยมาหานายยังไงล่ะ” เว่ยเถียตอบอย่างตะกุกตะกัก

“เรื่องอะไรเหรอ?” หลี่เย้าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“คือ—คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ ตอนที่ฉันออกแรงชก ฉันรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไรน่ะ ฉันไม่รู้ว่า เพื่อนนักเรียนหลี่เย้าพอจะมีเวลาช่วยชี้แนะให้ฉันหน่อยได้ไหม? เพราะครูศิลปะการต่อสู้เคยบอกฉันว่า ฉันควรจะชกออกไปได้ด้วยพลังที่มากกว่านี้อีก 50% แต่พอฉันชกออกไปทีไร มันก็ไปไม่ถึงจุดนั้นสักทีน่ะ!” เว่ยเถียพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงใจอย่างถึงที่สุด

หลี่เย้ารู้สึกมึนงง เขาต้องใช้เวลาอยู่สักพัก กว่าที่เขาจะตอบกลับไปได้ “ได้สิ ในฐานะที่เป็นเพื่อนนักเรียนเหมือนกัน เราก็ควรจะต้องเรียนรู้จากกันและกัน แต่ปัญหาก็คือ...วันนี้ฉันไม่ว่างน่ะสิ เอาไว้ฉันว่างเมื่อไหร่แล้วเราค่อยมาแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกันดีไหม?”

“ได้สิ!ได้สิ! กลายเป็นว่าพี่ใหญ่เย้ามีเรื่องต้องทำ ถ้าอย่างนั้น เรื่องแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกัน เอาไว้คราวหน้าก่อนก็ได้ ตอนนี้ฉันไปก่อนนะ! พี่ใหญ่เย้าไปทำเรื่องของนายต่อเถอะ! ไปเลย!”

เว่ยเถียได้จากไป หรือจะพูดอีกอย่างก็ได้ว่า...เขาวิ่งหนีไป

เรื่องแบบนี้ หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ก็คงจะไม่มีใครเชื่ออย่างเด็ดขาด มันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ว่า ชายที่สูงถึง 210 เซนติเมตรและหนักกว่า 150 กิโลกรัม จะสามารถใช้เทคนิคฟุตเวิร์กสปิริตเซอร์เปี้ยนวิ่งออกไปราวกับบินได้แบบนี้ เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับหนีภัยพิบัติอะไรสักอย่าง

นักเรียนที่อยู่ภายในยิมร้อยกว่าคนถูกทิ้งให้ยืนโง่งม, พูดไม่ออก, และตกตะลึง พวกเขาต่างจับจ้องไปที่หลี่เย้า และรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างคือภาพลวงตา พวกเขามองดูหลี่เย้า ราวกับว่าเขาคือราชาปีศาจที่สวมหนังมนุษย์อยู่

“มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมอสูรเหล็กพูดออกไปแค่ไม่กี่คำ แล้วถึงได้วิ่งออกไปด้วยท่าทีแบบนั้น? ตอนสุดท้ายพวกเขาพูดอะไรกัน?”

“สายฟ้าดังสนั่นก็สามารถกลายเป็นสายฝนเม็ดเล็กๆได้ นี่คงจะเป็นสไตล์ของอสูรเหล็กละมั้ง ตอนแรก ฉันคิดว่าเขาจะเข้าไปหักกระดูกของหลี่เย้าซะอีก!”

“หลี่เย้าใช้เทคนิคอะไรกันแน่? หรือว่าเขาจะสักอักขระสะกดจิตขั้นสูงเอาไว้ที่ตัว? เขาสะกดจิตอสูรเหล็กอยู่ใช่ไหม?”

เหล่านักเรียนปรึกษากันอย่างเอาจริงเอาจัง พวกเขาต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับภาพที่ได้เห็น

เมิ่งเจียงได้กุมหน้าท้องของตัวเอง เขาได้พยายามเข้าไปสะกิดหลี่เย้าด้วยความลำบาก เขาแทบจะทนกับความเจ็บปวดไม่ไหว และได้ถามออกไปอย่างเร่งรีบว่า “เสี่ยวเย้า มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ในตอนท้าย อสูรเหล็กต้องการอะไรจากนาย?”

หลี่เย้าลูบศีรษะของตัวเอง เขาส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันแปลกๆยังไงไม่รู้ เขาบอกกับฉันว่า เขาอยากจะเรียนรู้เทคนิคการชกด้วยกันกับฉัน แล้วแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกัน”

เมิ่งเจียงประหลาดใจพร้อมกับตะโกนออกมาว่า “อะไรนะ? อสูรเหล็กอยากจะเรียนเทคนิคการชกกับนายอย่างนั้นเหรอ? นายรู้ไหมว่าคนก่อนที่”เรียนเทคนิคการชก“กับอสูรเหล็ก ถูกเขาหักกระดูขาขวาเป็นสามท่อนในตอนที่เขายังมีสติดีอยู่น่ะ?! แต่—แต่ทำไมเขาถึงได้ไปซะแล้วล่ะ?”

“ฉันบอกเขาไปว่า วันนี้ฉันยังมีเรื่องต้องทำอยู่ ฉันเลยยังไม่ว่าง แล้วค่อยแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกันทีหลัง แล้วเขาก็พูดออกมาว่า”โอ้“จากนั้นก็เดินออกไป! หืม? นายเพิ่งจะอ้วกมาเหรอ?” หลี่เย้ามองดูเพื่อนของเขา เมื่อเห็นว่ามีรอยเท้าอยู่บนร่างกายเพื่อสนิทของเขา ดวงตาของหลี่เย้าก็หรี่ลงและเปล่งประกายความเย็นเยียบออกมา

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

“ฉันพอจะรู้แล้วล่ะ ว่าทำไมเว่ยเถียถึงมาหาฉัน บ้าเอ้ย! ฉันไม่น่าปล่อยเขาไปเลย...เสี่ยวเจียง สองสามวันนี้ นายควรจะอยู่ให้ห่างฉันเอาไว้จะดีที่สุดนะ” หลี่เย้าพูดออกมาอย่างเคร่งเครียด

เมิ่งเจียงมองดูหลี่เย้าและถามว่า “ทำไมล่ะ?”

หลี่เย้าถูจมูกและพูดว่า “ไม่ใช่ว่านายเพิ่งจะบอกฉันว่า มีนักเรียนที่โชคร้ายคนหนึ่งในคลาสของเราไปหาเรื่องเฮ่อเหลียนเลี่ยมาเหรอ? แล้วเขาก็จะมาล้างแค้นอย่างสาสมด้วยใช่ไหมล่ะ? นักเรียนที่โชคร้ายคนนั้น...ดูเหมือนว่าจะเป็นฉันเอง”

“หา?”

เมิ่งเจียงกระโดดออกไปด้วยความตกใจ และเขยิบห่างออกมาจากตัวของหลี่เย้าไปกว่าสามเมตรอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่า หลี่เย้าคือปีศาจร้าย เมื่อเขารู้ตัว เขาก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ขมขื่นว่า “เสี่ยวเย้า เราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะช่วยหรอกนะ บอกมาเถอะ ว่านายอยากจะเข้ารักษาที่โรงพยาบาลไหน? ฉันจะไปจองเตียงโรงพยาบาลให้นายเดี๋ยวนี้เลย!”

......

เว่ยเถียวิ่งเต็มฝีเท้า เขาวิ่งออกมาจากโรงยิมที่ 9 อย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเลี้ยวไปที่มุมหนึ่ง เขาก็พบเข้ากับคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงบริเวณพุ่มดอกไม้ เขาเป็นชายวัยรุ่นร่างผอมสูง พร้อมกับสีหน้าที่แสดงความร้ายกาจออกมา

เขามีลำตัวช่วงบนค่อนข้างสั้น ขาทั้งสองข้างของเขามีความยาวไม่น้อยกว่า 102 เซนติเมตร พร้อมกับกางเกงยูนิฟอร์มของโรงเรียนที่รัดกล้ามเนื้อขาของเขาเอาไว้ เดิมทีกางเกงยูนิฟอร์มของโรงเรียนถูกออกแบบมาให้ใส่สบาย แต่เมื่ออยู่บนตัวของเขาแล้ว มันกลับดูเหมือนกางเกงขาเดฟ

“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ? แน่ใจนะว่าแกหักกระดูกของมันครบ 10 ท่อนแล้วน่ะ? แกบันทึกภาพเอาไว้แล้วใช่ไหม? ฉันจะได้ส่งข้อความไปให้คุณชายเฮ่อเหลียนดู!”

เว่ยเถียไม่กล้าที่จะทำตัวกร่างต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้ และพยายามแสดงท่าทีสำรวมต่อหน้าเขา

มันเป็นเพราะว่า ชายหนุ่มที่มีชื่อว่า จ้าวเหลียง คือหนึ่งในนักเรียนของคลาสพิเศษ

ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับล่าง คือระดับ 41 ของคลาสพิเศษ แต่เขาก็มีอัตราการตื่นของรากวิญญาณอยู่ที่ 60% จ้าวเหลียงไม่ใช่ใครที่เว่ยเถียจะต่อกรด้วยได้

“พี่ใหญ่เหลียง เมื่อกี้นี้ ตอนที่ผมเดินเข้าไปในโรงยิม ผมก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา ผมน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ผมคงต้องรีบไปโรงพยาบาลให้ก่อนแล้วล่ะ!” เว่ยเถียกลอกตาและกัดฟัน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ร่างกายที่ใหญ่โตของเขาเริ่มสั่นและหน้าผากของเขาก็เริ่มมีเหงื่อไหลย้อยลงมา

“ไส้ติ่งอักเสบเหรอ? แกล้อเล่นกันอยู่รึเปล่า?!” จ้าวเหลียงไม่สามารถเก็บความโกรธเอาไว้ได้ เขาแทบอยากจะตบหน้าของเว่ยเถีย เขาแผดเสียงออกมา “ตอนแรก ฉันคิดว่า แกพอจะมีดีอยู่บ้าง ฉันถึงกับไปพูดเรื่องดีดีของแกให้กับคุณชายเฮ่อเหลียนเลี่ยฟัง เพื่อให้แกได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น แล้วหลังจากนั้น แกก็จะได้รับความดีความชอบ ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะเป็นพวกไม่ได้เรื่อง ทำไมเรื่องแค่นี้ แกถึงอดทนแล้วไปจัดการให้มันจบๆไปก่อน!”

“ครับ ครับ มันเป็นไปตามที่พี่ใหญ่เหลียงพูดทุกอย่างเลย แต่ตอนนี้อาการไส้ติ่งอักเสบของผมมันแย่ลงมาก โอ้ย เจ็บ! เจ็บ! มันอาจจะแตกแล้วก็ได้!” เว่ยเถียปิดปาก เขาทรมานจนมรีน้ำตาคลอออกมา เขาเหลือบสายตาเพื่อมองดูจ้าวเหลียง เขาลองๆพูดเปรยออกมา “พี่ใหญ่เหลียงครับ ทำไมไม่ให้ผมไปตรวจดูที่โรงพยาบาลก่อนและพักอีกสักหน่อย ถ้าเกิดมันไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ผมค่อยกลับมาจัดการกับเจ้าเด็กนั่น?”

“ไปตายซะ! ไปตายซะไป๊! คุณชายเฮ่อเหลียนเลี่ยต้องการเห็นมันถูกจัดการให้เร็วที่สุด ใครมันจะไปรอให้ไอ้โง่อย่างแกไปหาหมอได้? สุดท้าย ฉันคงต้องไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง น่ารำคาญจริงๆเลย!” จ้าวเหลียงนั้นไร้ความปรานี เขาเตะลูกเตะที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดเข้าใส่ร่างกายของเว่ยเถีย จนเกิดเสียงระเบิดดัง “ปัง”

เว่ยเถียแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา แต่ในแววตาของเขากลับแสดงให้เห็นถึงความสุข เขาพูดออกมาว่า “พี่ใหญ่เหลียง มันแน่นอนอยู่แล้วว่า พี่จะต้องซัดไอ้เด็กนั่นจนพ่อแม่ของมันจำหน้าไม่ได้แน่ๆ! โอเค! เราไม่พูดเรื่องนี้กันดีกว่า ผมคงต้องรีบไปหาหมอแล้ว ไว้ผมจะกลับไปขอโทษพี่อีกครั้งนะครับ!”

เขาก้มหัวและวิ่งออกไป ไม่นาน เว่ยเถียก็วิ่งหนีไปไม่เห็นแม้แต่เงา

“เจ้านี่ ทำไมวันนี้มันถึงได้ทำท่าทีแปลกๆแบบนี้? ทำตัวลับๆล่อๆอย่างกับเป็นโจร?” จ้าวเหลียงไม่เข้าใจ ดังนั้น เขาจึงเอามือขยี้หัว เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่เมื่อคิดกลับไปถึงตอนที่เฮ่อเหลียนเลี่ยกำลังโมโหแล้ว เขาก็ตัวสั่นสะท้านและจึงเดินตรงเข้าไปยังโรงยิมที่ 9

“ใครคือหลี่เย้า? โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี่!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด