ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0576
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0578

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0577


ตอนที่ 577 : เขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์

ฉู่ปินอวี้พอจัดการเรื่องฉินหยุนเรียบร้อย เขาจึงเร่งรีบจากไป

ฉินหยุนหันมองทางเจี้ยนหมาง พร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อะไรคือเขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์? เป็นเขตแดนอ้างว้างงั้นหรือ?”

“ฉินหยุน นี่เจ้าเข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์ โดยที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยอย่างนั้นหรือนี่?” เจี้ยนหมางแสยะยิ้มกล่าวคำ “เขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์ เป็นอุปกรณ์ที่หลงเหลือเอาไว้โดยกลุ่มกองกำลังเซียนที่มาจากแดนเซียนอ้างว้าง และได้ตั้งมันเอาไว้ที่นี่ ตลอดหลายปีมานี้ มันได้รับการเสริมศักยภาพโดยนครเซียนยุทธภัณฑ์ ขณะนี้ยิ่งมายิ่งใช้งานได้ง่าย!”

ฉินหยุนพบว่าเรื่องราวน่าสนใจ ตอนแรกเขานึกว่าเป็นสถานที่ หาได้คิดไม่ว่ามันจะกลายเป็นวัตถุสิ่งของ

“เรียกขานเขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์ เป็นพื้นที่จินตภาพก็แล้วกัน! กล่าวกันว่าศิษย์นอกจำนวนหนึ่ง รวมถึงศิษย์หลักจะได้รับเตียงพิเศษ เตียงนั้นจะค่อนข้างคล้ายโลงศพอยู่บ้าง เมื่อใดหลับที่ภายในนั้น เจ้าจะสามารถเข้าสู่พื้นที่จินตภาพได้!”

เจี้ยนหมางหยุดไปครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ร่างกายของพวกเราจะอยู่ที่เตียงคงเดิม มีแต่จิตสำนึกที่เข้าสู่พื้นที่จินตภาพ! และพื้นที่จินตภาพนั้น จะมีการเชื่อมต่อจิตสำนึกของทุกผู้คนรวมเข้าด้วยกัน จึงเกิดขึ้นเป็นเขตแดนจินตภาพ!”

“ภายในเขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์ แม้ทุกสิ่งอย่างเป็นจินตภาพ แต่พละกำลังของผู้คนยังเป็นสิ่งจริงแท้ โดยสรุปแล้ว มันถือเป็นสถานที่ลึกลับพิศวงยิ่ง!”

“ในเขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์ เจ้าสามารถทำได้ทั้งทดสอบวิชาและการประลอง ต่อให้ตายก็ไม่เป็นไร อย่างมาก ก็เพียงรู้สึกถึงความเจ็บปวด ด้วยวิธีการนี้ การต่อสู้อันบ้าคลั่งภายในพื้นที่จินตภาพล้วนสามารถกระทำ”

ฉินหยุนที่ได้รับฟัง เขายิ่งเกิดความสนใจ จนคิดอยากเข้าไปสัมผัสกับความวิเศษของเขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์โดยเร็ว

เจี้ยนหมางกล่าว “เขตแดนจินตภาพมีเฉพาะที่นครเซียนยุทธภัณฑ์ ความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของมันที่สุด คือการบำรุงเลี้ยงแก่ร่างกาย ร่างกายที่พัฒนาภายในเขตแดนจินตภาพ จะส่งผลให้ร่างกายในความเป็นจริงแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย โดยละเอียดข้าไม่ทราบนัก แต่โดยสรุป พวกเราเท่ากับมีโอกาสได้สัมผัสถึงความวิเศษของมันในภายหน้าอันใกล้นี้!”

ฉินหยุนเลือกห้องตนเอง จัดการทำความสะอาดจนเรียบร้อย ฉู่ปินอวี้ค่อยกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้ เขานำพาชายลึกลับในชุดสีดำร่วมทางมาด้วย อีกฝ่ายสวมใส่หมวกไผ่สาน ทั้งยังมีความสามารถเทวะอะไรบางอย่างเพื่อเก็บงำตัวตน

ชายในชุดดำพอถอดหมวกไผ่สานออก จึงปรากฏเป็นใบหน้าจิ้งจอกผู้งดงาม บุคคลผู้นี้คือฮูจิงเซียนแห่งเกาะจันทราปีศาจ

“คำนับผู้อาวุโสจิ้งจอก!” ฉินหยุนเผยยิ้ม

“พวกเจ้าพูดคุยกันไปแล้วกัน” ฉู่ปินอวี้กลับไปก่อน ฉินหยุนพาฮูจิงเซียนไปยังห้องตนเองที่เพิ่งทำความสะอาด

ฮูจิงเซียนเผยรอยยิ้มเย้ายวนกล่าวคำออก “ฉินหยุน ขอแสดงความยินดีแล้วที่ได้เป็นศิษย์นอกของนครเซียนยุทธภัณฑ์!”

“เรื่องนี้มีอันใดให้ต้องแสดงความยินดีเพียงนั้นเลยหรือ?” ฉินหยุนมองที่ฮูจิงเซียนผู้ซึ่งเย้ายวน นางกำลังเล่นหูเล่นตาหยอกเย้ากับเขา

“เป็นข้าไม่คิดว่าเจ้ารวดเร็วได้เพียงนี้ ทั้งยังให้เชี่ยวเย่ว์หลาน รวมถึงเฟิงหงหลันเข้าร่วมกับเกาะจันทราปีศาจของเรา เรื่องนี้ข้าย่อมซาบซึ้ง พวกนางล้วนเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยม! รวมถึงแม่เฒ่ากิเลนกับไป่เสี่ยวหลงก็ด้วย ทั้งสองเป็นสัตว์สวรรค์ที่ยอดเยี่ยม!”

ใบหน้าฮูจิงเซียนเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์พร้อมรอยยิ้มยั่วยวน ดวงตางดงามของนางแทบเผยประกายแสงออก เป็นการบ่งบอกว่าซาบซึ้งต่อฉินหยุนครั้งนี้จากใจจริง

“ผู้อาวุโสจิ้งจอก พี่สาวใหญ่และพี่สาวรอง ต่างเป็นคนของตระกูลเทียนและตระกูลเย่ว์ ข้าเป็นกังวลว่ากลุ่มคนของสองตระกูลนั้นจะไปสร้างปัญหาให้แก่พวกนาง” ฉินหยุนเอ่ยคำขึ้น

“พวกเราไม่หวาดเกรงแม้สำนักเซียน ห้าตระกูลใหญ่ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง!” ฮูจิงเซียนเผยยิ้มบาง “เย่ว์หลานและหงหลันเข้าร่วมกับเกาะจันทราปีศาจ ตำหนักจันทราทมิฬยังไม่ทราบ เจ้าอย่าได้ไปพูดป่าวประกาศ รอจนพวกนั้นขุดคุ้ยออกมาจนทราบแล้วให้พวกมันได้มา!”

“ผู้อาวุโสจิ้งจอก ท่านทำเช่นนี้กับตำหนักจันทราทมิฬ นี่ไม่ถือเป็นปัญหาใดงั้นหรือ?” ฉินหยุนเผยความกังวล

“เจ้าหวาดเกรงอันใด? ความแข็งแกร่งของตำหนักจันทราทมิฬหาได้ดีเทียบเท่าเกาะจันทราปีศาจไม่ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกนางคงไม่จำเป็นต้องสร้างความสนิทชิดเชื้อกับหุบเขาเซียนโอสถในทางลับกันหรอก!” ฮูจิงเซียนแค่นเสียงเบา “ศิษย์หลายคนของตำหนักจันทราทมิฬ ต่างสบถกันอยู่ภายในใจ เพราะพวกนางเกลียดสำนักเซียนเหล่านั้นสุดขั้ว!”

“ผู้อาวุโสจิ้งจอก ข้าคิดอยากใช้โทเทมวานรทองคำเป็นรางวัล แก่หัวของผู้นำตระกูลทั้งสาม ตระกูลหยาง ตระกูลเทียน และตระกูลหลง รวมถึงหัวของตาเฒ่าสารเลวตระกูลหลงในหุบเขาเซียนโอสถที่แย่งชิงอุปกรณ์เต๋าโบราณสี่ชิ้นไปจากข้า” ฉินหยุนกล่าว

“ไม่มีปัญหา ข้าจะช่วยเจ้าประกาศค่าหัวโดยเร็วที่สุด! รางวัลค่าหัวของเจ้าครานี้ กล่าวได้ว่าดึงดูดกว่าก่อนหน้านี้มากนัก!” ฮูจิงเซียนเผยยิ้ม

ฉินหยุนได้ยินฮูจิงเซียนรับปาก เขาค่อยโล่งใจ นี่หมายความถึงเขาจะได้สร้างปัญหาแก่ตระกูลใหญ่เหล่านั้น

“ฉินหยุน มีคนขอให้ข้าบอกเรื่องนี้ต่อเจ้า!” ฮูจิงเซียนที่เดิมเผยรอยยิ้มประดับไม่ขาด กลับกลายเป็นเคร่งเครียดจริงจัง รวมทั้งน้ำเสียงยังหมองหม่นลงไม่น้อย

“อะไรหรือขอรับ?” ฉินหยุนกล่าวถาม

“ระวังจ้าวสำนักคนใหม่ของนครเซียนยุทธภัณฑ์เอาไว้!” ฮูจิงเซียนกล่าวกระซิบ “ผู้ที่เป็นจ้าวสำนักคนใหม่แห่งนครเซียนยุทธภัณฑ์คือผู้ใด? พวกเรายังคงสืบสาวเรื่องนี้ออกมาไม่ได้ ข้าเพียงทราบ ว่าจ้าวสำนักคนใหม่นี้แข็งแกร่งยิ่ง”

“ข้าจะระวังตัวไว้ขอรับ! ในพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ข้ายังมีศัตรูอีกไม่น้อย ความระมัดระวังย่อมมีมากอยู่แต่เดิมแล้วด้วย” ฉินหยุนพยักหน้ารับ จากนั้นจึงถาม “ผู้ใดให้ท่านบอกข้ากันหรือขอรับ?”

“บุคคลนั้นไม่ได้อนุญาตให้ข้าตอบเรื่องนี้! และบุคคลนั้นหาได้กังวลว่าเจ้าจะถูกจ้าวสำนักคนใหม่สังหาร แต่คิดอยากให้เจ้าอยู่ห่างจากจ้าวสำนักผู้นั้น อย่าได้ชิดเชื้ออันใดกับเขา เรื่องราวจะได้ไม่กลายเป็นอื่นไป”

ฮูจิงเซียนเพียงรับผิดชอบส่งต่อข้อความ ทั้งนี้นางหาได้เข้าใจเหตุผลไม่ ใบหน้าของนางยังคงเผยความสงสัยด้วยซ้ำ “จ้าวสำนักคนใหม่ผู้นี้คล้ายไม่ใช่คนเลว แต่เจ้าก็ควรอยู่ให้ห่าง นี่ถือเป็นการเผื่อไว้”

“วางใจได้ ข้าจะจดจำเรื่องนี้ให้ขึ้นใจ!” ฉินหยุนเองก็พบว่าเรื่องราวแปลก

“อย่างนั้นไว้ค่อยพบกันใหม่แล้ว ข้ามีอีกหลายเรื่องต้องไปจัดการ!” ฮูจิงเซียนค่อยกลับมาเผยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าต้องวิ่งเข้าวิ่งออกทำธุระโน่นนี่ มีแต่เรื่องต้องไปสะสางเต็มไปหมด!”

“ผู้อาวุโสจิ้งจอก เมื่อใดท่านมีเวลาว่าง รบกวนพาข้าท่องเที่ยวแดนวิญญาณอ้างว้างด้วยแล้วขอรับ!” ฉินหยุนหัวเราะร่วน

“ไม่มีปัญหา!” ฮูจิงเซียนเผยดวงตาเย้ายวนเป็นการตอบรับ

“ผู้อาวุโสจิ้งจอก ท่านพอจะช่วยเหลือข้าได้หรือไม่? ข้ากำลังหาตัวบุคคลผู้หนึ่ง น งชื่อชี่เม่ยเหลียน” ฉินหยุนบอกเรื่องราวของชี่เม่ยเหลียนแก่ฮูจิงเซียน เพื่อที่นางจะได้ให้ความสนใจเรื่องราวเผื่อพบเจอ

เขาไม่เพียงแต่ฝากฝังต่อฮูจิงเซียน แต่ยังฝากฝังต่อมู่เฟิงให้ค้นหานางผ่านเครือข่ายของตำหนักจารึกเทวะ

ฮูจิงเซียนย่อมรับปากฉินหยุน จากนั้นนางค่อยออกไปจากนครเซียนยุทธภัณฑ์

เป็นเพราะนางต้องจัดการธุระที่ภายนอก สัมพันธ์ที่มีกับนครเซียนยุทธภัณฑ์ถือว่าดี ดังนั้นจึงมีตั๋วเข้าออกพิเศษ นางจึงสามารถมาที่นี่ได้บ่อยครั้ง

ไม่นานหลังฮูจิงเซียนเดินทางจากไป ฉู่ปินอวี้ค่อยกลับเข้ามา

ฉู่ปินอวี้พอมาถึง เขานำเอาเตียงสองหลังออกมาวางไว้ภายในสวน

เตียงทั้งสองเป็นหลุมยุบตัวลงไปที่ตรงกลาง และมีฝาปิด มันคล้ายโลงศพไม่น้อย

ทว่าวัสดุที่ทำเตียงนี้ขึ้นมา ทั้งแข็งแกร่งและพิเศษ

“นี่เป็นที่เอาไว้ใช้นอนหลับเพื่อเข้าไปยังเขตแดนจินตภาพ ให้นำไปไว้ในห้องตนเอง เมื่อเจ้าออกจากพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ จะไม่อาจเข้าสู่เขตแดนจินตภาพได้อีก!”

ฉู่ปินอวี้กล่าวต่อ “เดิมข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาหลายวันจัดเตรียมให้แก่เจ้า ไม่คิดว่าด้วยหอพิทักษ์กฎเกื้อหนุน กลับสามารถจัดหามาได้รวดเร็วเพียงนี้ ข้าจึงนำมาส่งให้พร้อมธุระก่อนหน้านี้ด้วยเลย!”

ฉินหยุนและเจี้ยนหมางหยดเลือดที่เตียงทั้งสอง พร้อมนำพวกมันกลับห้องนอนของตนเอง

จากนั้นพวกเขาค่อยกลับออกมา รับฟังคำแนะนำของฉู่ปินอวี้ถึงเขตแดนจินตภาพ

“ในเขตแดนจินตภาพ ทุกสิ่งอย่างเป็นเพียงจินตภาพ มีแต่พลังที่เป็นของจริง! ดังนั้นแล้วเมื่อเข้าสู่ภายใน เจ้าสามารถใช้พลังตนเองสังหารคู่ต่อสู้ สังหารผู้คน เมื่อนั้นเจ้าจะได้รับสองแต้ม หากขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้าสามารถสังหารขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ อย่างนั้นแล้วจะได้ถึงสี่แต้ม!”

“ยิ่งได้รับแต้มมากเพียงใด ระดับก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น แต้มพวกนั้นสามารถใช้แลกเปลี่ยนเป็นอาวุธและชุดเกราะ พาหนะ หรือวิชายุทธ์ทั้งหลาย ดังนั้นแล้วจงใช้แต้มที่มีตามสมควร เพราะมันจะส่งผลต่ออันดับด้วย!”

“เทียบอันดับยุทธ์เต๋าของนครเซียนยุทธภัณฑ์อ้างอิงตามจำนวนแต้มในเขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์ ในรายชื่อทั้งหมดมีวรยุทธ์เต๋าเพียงน้อยนิด บรรดาศิษย์สำนักหลักต่างอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ และศิษย์นอกอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้า ทั้งหมดล้วนอยู่ในเทียบอันดับยุทธ์เต๋าเดียวกัน!”

“ด้วยเหตุนี้ เมื่อเข้าไปแล้ว เจ้าควรหลบซ่อนตัวตนให้ห่างจากขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ! เพราะพวกคนเหล่านั้นมีแต้มมากมายยิ่งกว่า เท่ากับว่ามีอุปกรณ์สวมใส่มากกว่า เมื่อเข้าไปแล้ว เจ้าจะไม่มีอุปกรณ์ใดติดตัว กระทั่งดาบต้นกำเนิดก็ไม่อาจปลดปล่อยออกมาได้!”

ฉู่ปินอวี้กล่าวย้ำต่อเจี้ยนหมาง

“จ้าวสำนักขอรับ เมื่อเข้าไปแล้ว พวกเราเท่ากับมือเปล่าอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนก่อนหน้านี้คิดว่าเมื่อใดเข้าไป เขายังสามารถพึ่งพาอาวุธของตนเองได้

“ถูกต้อง! มันเป็นเขตแดนจินตภาพ เมื่อเข้าไปแล้ว เจ้าก็ได้แต่ต้องหาสิ่งอย่างมาด้วยกำลังของตนเอง!” ฉู่ปินอวี้เผยยิ้มตอบกลับ “บางครั้งก็มีผู้อาวุโสหลายคนเข้าสู่ภายใน หากสังหารผู้อาวุโสเหล่านั้นได้สำเร็จ เจ้าจะยิ่งได้รับแต้มมากขึ้น”

“เข้าไปแล้วให้ระวังกลุ่มคนภายในนั้น พวกเขาต่างแข็งแกร่ง หากทำได้ ให้หากลุ่มเพื่อเข้าร่วม! โชคไม่ดีนัก เก๋อหมิงเจียงได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่เช่นนั้นคงดีที่สุดหากได้เข้าร่วมกับคณะของเขา”

“ภายในไม่อาจคดโกงใด อย่าปล่อยให้คนอื่นได้สังหารโดยเจตนา การสังหารและถูกสังหารโดยเจตนา แต้มที่ได้รับถือเป็นการคดโกงอย่างหนึ่ง โทษทัณฑ์คือการติดลบแต้มนับพัน!”

“เอาละ ถึงตรงนี้พวกเจ้าเข้าไปทดลองดูได้แล้ว พยายามบุกฝ่าให้ถึงสิบอันดับแรก มีแต่เข้าถึงสิบอันดับแรกจึงสามารถเป็นตัวแทนของนครเซียนยุทธภัณฑ์ เพื่อเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ของแคว้นมหาดวงดาวได้”

ฉู่ปินอวี้คิด ว่ามันเป็นเรื่องยากที่ฉินหยุนและเจี้ยนหมางจะก้าวไปถึงสิบอันดับแรก กระนั้นเขาไม่ได้กล่าวคำใดออกมา ได้แต่ปล่อยให้ฉินหยุนและเจี้ยนหมางไปเผชิญด้วยตนเอง

ฉินหยุนและเจี้ยนหมางกลับห้องตนเอง พร้อมเข้าไปนอนในโลง

กายพอนอนเหยียด ฉินหยุนพบว่ามันรู้สึกสบายอย่างยิ่ง เพียงไม่นาน จิตสำนึกของเขาเริ่มเลือนลางจนเกิดความสับสน ก่อนจะเข้าสู่ห้วงความฝัน

เมื่อลืมตาขึ้น สิ่งที่เขาได้เห็นเป็นทุ่งหญ้างดงาม บนท้องฟ้ามีดวงตะวันอยู่เพียงหนึ่ง

“เสี่ยวหยุน ที่นี่คือมิติจินตภาพ แต่ได้รับการเสริมสร้างสัมผัสต่าง ๆ ให้สมจริง ทั้งยังเชื่อมโยงถึงจิตสำนึกของผู้อื่นเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้หลายผู้คนสามารถ ‘ฝัน’ ร่วมกันได้ และเมื่อต่อสู้ใน ‘ฝัน’ นี้ ความสามารถทางการต่อสู้สามารถเพิ่มขึ้นได้โดยการใช้วิชายุทธ์ และยังสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์การฝึกฝนอย่างมหาศาลจากที่นี่ได้!”

นางเองก็ได้พบ ว่าสถานที่แห่งนี้วิเศษยิ่ง

“ในความฝันนี้ ข้ามีขีดจำกัดคงอยู่ ข้าไม่อาจจินตนาการถึงอาวุธที่ต้องการและนำมันออกมาใช้ได้ดังปรารถนา!” ฉินหยุนพยายามแล้ว กระนั้นก็ไม่อาจนำค้อนเทวะเก้าตะวันออกมาได้

“ถูกต้อง นี่คือพลังของเขตแดนจินตภาพ มันสร้างขึ้นเป็นโลกแห่งจิตสำนึกของผู้คนที่รวมตัวกันจนใกล้เคียงความเป็นจริง! ความได้เปรียบของสถานที่แห่งนี้ คือเมื่อประลองอย่างโหดเหี้ยม มันจะไม่มีความตายหรืออาการบาดเจ็บเกิดขึ้น พละกำลังของศิษย์ที่เข้าร่วมมีแต่จะเพิ่มขึ้น” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะร่วน “นี่ถือเป็นเรื่องดี เจ้าสามารถใช้โอกาสนี้พัฒนาตนเองได้!”

ฉินหยุนพยักหน้ารับ จากนั้นจึงเริ่มออกวิ่ง

แต่ขณะที่เขาเพียงเพิ่งเริ่มวิ่งไปได้เพียงเสี้ยวชั่วยาม เขากลับได้พบกลุ่มคนขี่ม้าจำนวนหนึ่ง ประกอบด้วยทั้งสตรีและบุรุษ จากที่พิจารณาความแข็งแกร่ง ทั้งหมดสมควรอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ

อีกฝ่ายที่เห็นฉินหยุน พวกเขาเร่งรีบพุ่งทะยานเข้ามาโดยไม่คิดกล่าวคำใดพร้อมเปิดฉากการโจมตีใส่ฉินหยุน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด