ตอนที่แล้วตอนที่ 3: การกำเนิดของดอกบัวแห่งโชคชะตา วิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์จุติ [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5: ความโหดร้ายของโลกจะสิ้นสุดลงเมื่อใด? [อ่านฟรี]

ตอนที่ 4: การเปลี่ยนแปลงภายในหนึ่งคืน [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ โกลาหลแห่งอสนีบาต

สารบัญ จอมเวทอหังการ

สารบัญ ราชันเทพเก้าสุริยัน

สารบัญ จอมมารสะท้านภพ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 4: การเปลี่ยนแปลงภายในหนึ่งคืน

ดอกบัวกำลังเติบโตในจิตใต้สำนึกของเขา

ช่างแปลกประหลาดพิสดารอะไรอย่างนี้!

“ถึงกับมีปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้!” ยวินหยางประหลาดใจ ชั่วชีวิตที่ผ่าน เขามั่นใจอย่างมีเหตุมีผลว่าเหตุการณ์แบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นในจักรวาลที่รู้จักได้อย่างแน่นอน

ถึงจะไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว แถมยังเกิดกับเขาอีก

“นี่คือลางบอกเหตุหายนะหรือเปล่า? ข้าถูกควบคุมหรือเปลี่ยนไปเป็นร่างปีศาจกันแน่? หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่าสวรรค์ ข้าตอบรับมันจนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป?”

ในการสันนิษฐานทั้งหมดนี้ ยวินหยางยังคงสงบเท่าที่ชายคนหนึ่งจะสามารถคาดหวังกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ เขาทราบว่ามีความเป็นเหตุเป็นผลอยู่เบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เหลือมีแค่มันเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่าโชคดีหรืออุบัติเหตุอันเลวร้ายก็เท่านั้น! ขณะยอมรับโชคชะตา ยวินหยางถอนหายใจอย่างพึงพอใจ “จะโชคดีหรือโชคร้าย ข้าจะอ้าแขนรับมันไว้” เขาอุทานพร้อมรอยยิ้ม “แสดงว่าตราบที่ข้าสามารถเติมเต็มความปรารถนาที่ยังไม่สมหวังของพี่น้อง แสวงหาการแก้แค้นได้ ข้าจะรักษาโอกาสที่ได้รับมานี้เป็นอย่างดี แบกรับโชคร้ายที่โชคชะตาเป็นผู้ตัดสิน”

ขณะลมปราณลึกลับขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในร่างกายเริ่มไหล สีหน้าโหยหาอันเงียบงันปรากฏบนใบหน้าของยวินหยาง มันดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและกินเวลาอันมีค่าอีกหลายชั่วโมงก่อนจะครบรอบ ยวินหยางเป็นคนอดทน ทว่า ขณะรอให้เสร็จสิ้น อาการเมื่อยล้าก่อเกิด ดวงตาของเขาค่อย ๆ หย่อนยานลง อีกไม่นาน การทำงานของวันนี้จะสิ้นสุดลง ยวินหยางจะได้ดื่มด่ำกับความสงบนิ่งเสียที

ในจิตใต้สำนึกของเขา เมล็ดพลันเริ่มขยับ การบิดตัวไปมาคือคำอธิบายที่ใช้บรรยายการเคลื่อนไหวนี้ได้ใกล้เคียงที่สุด ขณะสั่นไหว เศษเสี้ยวของความเจ็บปวดเริ่มแล่นผ่านร่างกายของยวินหยาง เมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวด ยวินหยางได้สติขึ้นมา ความเจ็บปวดคงอยู่จนกระทั่งแทบเกินจะทานทน เขาใกล้จะถึงขีดจำกัด ตอนนั้นเอง เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันแรงกล้า ราวกับสิ่งกีดขวางถูกฉีกออกจากบนศีรษะ เขาเริ่มประสบกับความรู้สึกใหม่ คล้ายกับการไหลของพลังงานสงบนิ่งที่หมุนเวียนผ่านจิตวิญญาณ มันคือลมปราณ กำลังเข้าและออกผ่านจุดสูงสุดของร่างกาย ก่อเกิดความปั่นป่วนแรงกล้าขณะเข้าและออก

“การตื่นขึ้นของจักระ!”

ยวินหยางมองขอบฟ้าไม่มีสิ้นสุด ดวงตาเบิกกว้าง แทบหมดสติจากความยินดีที่ไหลหลั่งเข้ามา วิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์นี้มอบประสบการณ์อันน่าทึ่งให้! ด้วยการเป็นสมาชิกมากฝีมือของเก้าใหญ่ ยวินหยางจะไม่รู้ถึงความยากลำบากจากการตื่นขึ้นของจักระได้อย่างไร? ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีศักยภาพสำหรับการฝึกฝน ต่อให้โชคดีพอที่จะครอบครองมัน ยังอีกไกลนักที่จะช่ำชอง ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับพรสวรรค์แต่กำเนิดคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับต่าง ๆ ของโลกวิชายุทธบนทวีปเทียนเสวียน

จากหนึ่งระดับของการช่ำชองลมปราณไปสู่อีกระดับ ความแตกต่างและช่องว่างจะกว้างและพิเศษอย่างเด่นชัด มันคือโลหิตชีวิตของผู้ฝึกวิชายุทธไปจนถึงการฝึกฝนจักระ จักระปลาย จักระศักดิ์สิทธิ์ จักระฮุ่ยยิน จักระแกนกลาง จักระสำคัญ จักระกลาง จักระยอด จักระสามตาและจักระหลังหัว

การฝึกฝนพวกมันถูกแบ่งเป็นสามระดับ รากฐานลมปราณ ลมปราณวิญญาณและลมปราณลึกลับที่น่าโอ้อวดยิ่ง แน่นอน ยังมีระดับที่สูงกว่านั้นอีก แต่พวกมันหายาก มีจำนวนน้อยนัก

ผู้ฝึกยุทธรากฐานลมปราณครอบครองจักระที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เกิดอย่างมากหนึ่งถึงสองอย่างหรืออาจจะไม่มีเลย พละกำลังของพวกเขาส่วนใหญ่เกิดจากการฝึกฝนอย่างเข้มงวดขณะที่พลังงานถูกใช้เพื่อหาประโยชน์จากการเพิ่มศักยภาพทางกายภาพ การฝึกฝนของรากฐานลมปราณมาจากการขยายลมปราณชีวิต ทว่า พวกเขามีชะตาต้องถูกจำกัดความสำเร็จไม่ว่าจะพยายามดีแค่ไหนก็ตาม

ผู้ฝึกยุทธลมปราณวิญญาณ ผู้ฝึกยุทธที่มีพละกำลังภายใน ครอบครองจักระที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เกิดสามอย่าง พลังของหยินที่อยู่ภายในพวกเขาสามารถใช้สร้างความเสียหายร้ายแรงกับคนอื่นได้ พวกเขาสามารถฝึกฝนตันเถียนเพื่อให้ได้ลมปราณวิญญาณจากสวรรค์และปฐพีผ่านการทำสมาธิ ผู้ที่มีการฝึกฝนสูงขึ้นสามารถใช้พลังงานมากพอที่จะแยกอนุสรณ์สถานจนทำให้หินเกิดรอยร้าวได้ รวมถึงการปลดปล่อยพละกำลังเต็มศักยภาพด้วยวิธีที่รุนแรงและเด็ดขาด

ผู้ฝึกยุทธลมปราณลึกลับ ขั้นสูงสุดของทั้งหมด ครอบครองจักระที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เกิดหกอย่าง วิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และปฐพี พวกเขาสามารถล่องผ่านทะเลจนไปถึงท้องฟ้าด้วยพลังที่อยู่ในมือได้ ผู้ที่ฝึกฝนเหล่านั้นอยู่จุดสูงสุดจนสามารถหลอมทองและถึงขั้นเปลี่ยนโลหะจากวัตถุดิบพื้นฐานได้ สามารถปีนเขาและลุยแม่น้ำราวกับเดินบนพื้นราบได้ คนเหล่านี้สามารถแสดงฝีมือเหนือจินตนาการมนุษย์ ขัดขืนสวรรค์และกฎกายภาพ ตัดขาดจากความเป็นจริงได้ในเวลาอันสั้น

ยวินหยางผู้ครอบครองจักระที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เกิดหกอย่างถูกนับว่าเป็นหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดในทวีปเทียนเสวียน นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่เขารู้ถึงความยากลำบากในการปลุกจักระ มันคือความสำเร็จที่เป็นไปไม่ได้ การปลุกจักระของแต่ละคน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามเพียงอย่างเดียวแต่ยังขึ้นอยู่กับโชคและโชคชะตาจำนวนมากอีกด้วย หากเกิดมาโดยไม่มีจักระที่ตื่นขึ้นมา ย่อมไม่มีทางที่จะสามารถยกระดับตัวเองให้เหนือกว่าปกติได้ ในบางครั้ง มีคำกล่าวว่าจักระที่ตื่นขึ้นมาไม่สามารถพัฒนาได้ มีแต่ ‘มอบให้’ ได้เท่านั้น

จักระที่ตื่นขึ้นของยวินหยางคือจักระปลาย จักระศักดิ์สิทธิ์ จักระฮุ่ยยิน จักระแกนกลาง จักระสำคัญและจักระกลาง นี่คือสิ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด เขาคิดว่านี่คือทั้งหมดที่สามารถมีได้ชั่วชีวิต อย่างดีที่สุด ยอดฝีมือที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่ไหนสักแห่งไม่มีหวังที่จะกลายเป็นตำนาน ใครจะรู้ล่ะว่าเขาสามารถปลุกอีกจักระในเวลาอันสั้นได้หลังจากฝึกฝนวิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์?

จักระยอด!

ความเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว เขาในตอนนี้มีจักระที่ตื่นขึ้นเจ็ดอย่าง

ความแปลกประหลาดอันศักดิ์สิทธิ์นี้ทำให้เขาเป็นหนึ่งในล้านของประวัติศาสตร์จักรวรรดิยวี่ถัง ถึงแม้จะมีจักระเกินมาหนึ่งอย่างเท่านั้น แต่ผลกระทบที่เกิดกับคุณลักษณะกายภาพสามารถสามารถอธิบายได้ว่าเป็นความแตกต่างระหว่างสวรรค์และปฐพี

สถานที่ที่จิตวิญญาณของเขาเคยตายและถูกฝังเอาไว้ ตอนนี้ยวินหยางรู้สึกเหมือนกับสามารถทะยานสู่ท้องฟ้าได้อย่างสำราญ เขาสามารถถอดรหัสพลังลึกลับของวิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์ได้ หากฝึกฝนต่อไป เขาถึงขั้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ นี่คือสิ่งที่มาจากเทพแน่นอน! ด้วยการเกิดของจักระยอด ลมปราณวิญญาณที่เป็นแหล่งกำเนิดจากทั้งสวรรค์และปฐพีเริ่มไหลหลั่งเข้ามา ด้วยมือลึกลับ ยวินหยางขยับลมปราณตามรอยแยกและซอกมุมของร่างกายภาพ ชะล้างทำความสะอาดเส้นลมปราณ นำความไม่บริสุทธิ์และความชั่วร้ายที่อยู่ในร่างมนุษย์ออกไป

ขณะยังคงประกอบพิธี เขาไม่ทราบแม้แต่นิดเดียวว่าการกระทำนี้อยู่บนระนาบวิญญาณ สูงขึ้นไปในท้องฟ้า ลมปราณวิญญาณจากทั่วทุกหนแห่งเริ่มเลือนรางหายไป มีแต่จะอ่อนแอและเบาบางมากขึ้น ผู้ฝึกยุทธที่กำลังฝึกฝนใกล้เคียงเริ่มประสบกับสัมผัสตื่นตัว รู้สึกได้ว่าการขาดลมปราณวิญญาณไม่ต่างอะไรกับชายตาบอดที่รู้สึกขาดแสงสว่าง

มันเกิดอะไรขึ้น?

ด้วยเสียงหวีดหวิวของสายลม เงาหนึ่งเริ่มปรากฏบนหลังคา ร่างแล้วร่างเล่ามองรอบข้างด้วยความประหลาดใจ รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงผิดปกติของลมปราณวิญญาณระหว่างสวรรค์และปฐพี

พวกเขามองหน้ากันอย่างสับสน ความเหลือเชื่อแบบเดียวกันสะท้อนในดวงตาทุกคู่

“ปรมาจารย์ท่านไหนมาเยือนเมืองเทียนถัง?”

มีเพียงปรมาจารย์ระดับตำนานเท่านั้นที่สามารถพอจะทำให้ลมปราณวิญญาณจากสวรรค์และปฐพีเหือดแห้งไปจนหมดได้ มีเพียงปรมาจารย์เฒ่าเท่านั้นที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ คนที่มีระดับพลังเช่นนี้คงอยู่ทั่วทวีปเทียนเสวียนกี่คนกัน?

ปรากฏการณ์ในเมืองเทียนถังเป็นลางบอกเหตุอะไร?

ใกล้ตำหนัก เงาหนึ่งปรากฏขึ้นสูงในอากาศขณะดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง จ้องมองตรงไปยังทางตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกลิ่นอาย

“คราวนี้เป็นใคร?”

เงาอีกร่างพุ่งลงมาอยู่ข้างเขา ใบหน้าเคร่งขรึม พวกเขามองหน้ากัน ดวงตาสะท้อนความสับสนของอีกฝ่าย

“ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาทรงพลังมาก”

“แต่มันมาจากสลัมนะ…”

“แล้วจะเป็นใครไปได้?”

เงาที่มาถึงก่อนฝืนยิ้มจนน่ากลัว “ไม่ว่าจะเป็นใคร ต้องเป็นคนที่พวกเราไม่สามารถยั่วโมโหได้แน่”

ภายในภวังค์ของยวินหยาง ต้นอ่อนสีเขียวขนาดเล็กกำลังบิดงอคล้ายกับกำลังขยายออกทีละน้อย ร่างบริสุทธิ์ของพลังชีวิตก่อตัวขึ้นจากปฐพีและท้องฟ้า พืชป่าพรรณไม้ในทวีปเทียนเสวียนตอบรับการเติบโตอันมากล้นในทันทีเช่นกัน ดอกไม้น่าอัศจรรย์และต้นไม้ยักษ์เติบใหญ่

ใช่แล้ว ทุกสิ่งภายในอาณาจักรมนุษย์คล้ายกับเปลี่ยนไปภายในคืนเดียว

“โสมจีนหยกสีม่วงของข้า แกโตเร็วภายในระยะเวลาสั้นขนาดนี้ได้อย่างไร?” ชายชรามองดอกไม้เกิดใหม่ที่กำลังแผ่กลิ่นหอมยิ่งออกมาในลานบ้านด้วยความประหลาดใจ เขาดูแลโสมจีนวิญญาณหยกม่วงอย่างพิถีพิถันมายี่สิบปี แต่มันไม่เคยเติบใหญ่แม้แต่นิดเดียว อย่าว่าแต่บานสะพรั่งเลย

ด้วยจิตใจที่สงสัย ชายชราคิดว่ามีใครบางคนสลับเปลี่ยนโสมจีนหยกม่วงในขณะที่เขาไม่อยู่

ในป่าไร้พรมแดน นักล่าจำนวนหนึ่งตื่นขึ้นจากการหลับใหลขณะมองรอบข้างด้วยความมึนงง เมื่อคืนก่อน พวกเขากังวลว่าสัตว์ป่าจะโจมตีด้วยหวังจะเอาเนื้ออุ่นที่เพิ่งได้มา ทำให้ต้องทุ่มความพยายามสร้างพื้นที่หลับนอนบนกิ่งไม้ใหญ่ ทว่า เมื่อถึงตอนเช้า พวกเขาพบว่าถูกห้อมล้อมไปด้วยกันสาดใบไม้

“เกิดอะไรขึ้น?” นักล่าคนหนึ่งอุทานด้วยความสับสน “พวกเราเพิ่งหลับไปได้ไม่นาน กันสาดใบไม้นี้ดูเหมือนกับเติบโตมาหลายปี! อา ดูต้นไม้สองต้นข้างพวกเราสิ ข้าฟันสองกิ่งใหญ่ไปเมื่อวานเพื่อเอามาหนุน แต่ทำไม… ทำไมต้นไม้สองต้นนี้ถึงโตไวนัก? ข้าฟันกิ่งไปแล้ว แต่กิ่งใหม่กลับงอกขึ้นมา แถมใหญ่กว่าเดิมอีก!”

เขาคว้าคนที่อยู่ใกล้สุดมาด้วยความแตกตื่น “น้องชาย น้องชาย พวกเราอยู่ที่นี่นานแค่ไหน? ข้าเพิ่งแต่งกับเยี่ยนเอ่อร์ไปเมื่อเดือนที่แล้วเอง ไม่อยากกลับไปพบนางที่มีรอยตีนกาเลย!”

ภายในคืนนั้น ทุกสิ่งเปลี่ยนไป

จนถึงรุ่งอรุณ

ยวินหยางหายใจออกเล็กน้อย รู้สึกถึงพลังชีวิตของร่ายที่เหมือนกับได้เกิดใหม่ รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากอย่างหละหลวม

“ดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์ ใบไม้แห่งความไร้ขอบเขต ยามต้นอ่อนบานสะพรั่ง โลกจะก่อเกิด มันหายไปตามกาลเวลา หลายปีที่ถูกลืมนับ วันที่ดอกบัวทองบานสะพรั่ง กุหลาบหินถูกชะล้างจนสิ้น สิ่งที่ควรเป็นผู้สร้างโลก รอคอยโชคชะตามาผูกมัด ตอนนี้โชคลาภมาถึงแล้ว ชะตากรรมของเจ้าถูกคลายแล้ว”

ยวินหยางหยีตา กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์”

หลังจากจัดเรียงตวามคิด ทุกสิ่งก็เข้าใจได้โดยง่าย

‘ยามต้นอ่อนบานสะพรั่ง โลกจะก่อเกิด’ หมายความว่าครั้งแรกที่เมล็ดดอกบัวแตกหน่อ มันจะสร้างจักรวาลและโลกขึ้นมา ในครั้งที่สองที่แตกหน่อ มันจะทำให้กุหลาบหินแห่งโชคลาภบานสะพรั่ง ตัวตนของกุหลาบหินให้กำเนิดชะตากรรมใหม่ สิ่งที่ยวินหยางโชคดีมากพอจะประสบในครั้งนี้คือการแตกหน่อครั้งที่สามของดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์!

‘ตอนนี้โชคลาภมาถึงแล้ว ชะตากรรมของเจ้าถูกคลายแล้ว’ คำพูดดังกล่าวแทบเหมือนกับคำพยากรณ์ในธรรมชาติ

ยวินหยางพยายามระงับความตื่นเต้นที่รู้สึกแต่ก็ไม่อาจทำได้ แทบจะในทันที เขากลับเข้าไปในจิตใต้สำนึกเพื่อจ้องมองเมล็ดสีเขียวอีกครั้งเพื่อให้ใกล้ชิดกับต้นไม้มากขึ้น เขาเข้าใจว่าวิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์เป็นเพียงรางวัลแรกที่ดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์มอบให้ เมื่อเขาเข้าใจสิ่งจำเป็นของทักษะพื้นฐานจนครบและเมื่อใบไม้ใบแรกเติบใหญ่ เขาสามารถเริ่มพยายามมากขึ้นได้ด้วยการเติบใหญ่ใบไม้ใบที่สอง

ยวินหยางขมวดคิ้ว การเติบโตของดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์ถูกเร่งได้อย่างไร?

ในคำสอนทั้งหมด ไม่มีเบาะแสหรือเงื่อนไขใดที่ทำแบบนี้ได้ เขาวางคางบนฝ่ามือก่อนเริ่มไตร่ตรองปัญหา

“เมล็ดดอกบัวตกลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้ข้าหมดสติ จากนั้นก็เอามาแขวนไว้ที่คอตลอดเวลา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก่อนจะถึงการต่อสู้รุนแรงครั้งนั้น ข้าน่าจะตายในระหว่างการต่อสู้ แต่กลับมามีชีวิตได้ บาดแผลสาหัสที่ได้รับตรงหน้าอกถูกรักษาเช่นกัน เมล็ดดอกบัวหายไปในตอนนั้น เป็นไปได้ไหมว่าเมล็ดดอกบัวเข้าสู่ร่างกายของเขาก่อนผูกมัดเข้ากับโลหิต?”

ขณะลูบคาง ยวินหยางครุ่นคิดต่อว่า “แต่มันก็แค่นั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก… ข้าไม่ได้ฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บและไม่สามารถเติมเต็มรากฐานการฝึกฝนได้… จนกระทั่งวันนี้ ข้ารู้สึกถึงการพรั่งพรูของพลังงานตอนฆ่าอู๋เหวินเยียนก่อนยืนค้ำศพอีกฝ่าย”

“ด้วยพลังงานนี้ ข้าถึงได้เห็นการปรากฏขึ้นฉับพลันของเมล็ดดอกบัว”

“จากนั้นตันเถียนข้าฟื้นคืนจนได้พลังงานกลับคืนมา ต่อมาก็เริ่มฝึกฝนวิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์…”

ร่องรอยความรู้แจ้งผิดปกติวูบไหวผ่านดวงตาของยวินหยาง เขาคิดถึงความเป็นไปได้สูงสุด “ความว่างเปล่าโกลาหล มันคือการเกิดของทุกสรรพสิ่ง มันเริ่มจากไม่มีอะไรก่อนเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด… มันดูดกลืนอากาศอธรรม บรรเทาความอยุติธรรมของผู้บริสุทธิ์และประพฤติตนในมโนธรรมที่เด่นชัด หัวใจอันขมขื่นของดอกบัวก่อเกิดรากฐานชีวิต เจตนาเปรียบเสมือนคมดาบ กำหราบสิ่งชั่วร้ายทั้งมวล… ข้างในสิ่งชั่วร้ายที่ถูกสังหารหมู่ เมล็ดดอกบัวงอกขึ้นมา ส่องแสงเจิดจ้าทั่วดินแดน ชะล้างสิ่งไม่บริสุทธิ์และกระจายแสงสว่าง…”

“เริ่มจากไม่มีอะไรก่อนเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด… อากาศอธรรม… กำหราบสิ่งชั่วร้ายทั้งมวล เมล็ดดอกบัวงอกขึ้นมา…”

มันเริ่มปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน “ต้องฆ่าเพื่อให้ได้พลังงานจากดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์งั้นหรือ?” ยวินหยางพึมพำกับตัวเอง “ตรงส่วน… กำหราบสิ่งชั่วร้ายทั้งมวลน่าจะหมายความว่า… ทำลายคนชั่วหรือเปล่า? แล้วก็ ‘ดูดกลืนอากาศอธรรม บรรเทาความอยุติธรรมของผู้บริสุทธิ์’ ตรงนี้เข้าใจง่ายยิ่งกว่า…”

เสียงหนึ่งตัดผ่านความครุ่นคิดของยวินหยางจนความคิดหยุดชะงัก “นายน้อย วันนี้คือวันที่เก้าของเดือนสามแล้ว พิธีรำลึกเก้าใหญ่เริ่มขึ้นแล้ว” เหล่าเหมยอยู่ข้างนอก น้ำเสียงเจือความเป็นห่วงเจ้านาย “วันนี้คือวันครบรอบการเสียสละของวีรชน จักรพรรดิและขุนนางจะมาที่สุสานของวีรชนในอีกสองชั่วโมง”

ยวินหยางพุ่งกลับมาจากจิตใต้สำนึก กลับมาสู่อาณาจักรกายภาพน่าเบื่อหน่ายอีกครั้ง ความเจ็บปวดจากการสูญเสียทอประกายในดวงตา

“นายน้อย ท่านจะไปหรือไม่?”

“ไป ข้าไปอยู่แล้ว” ยวินหยางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ภาพและความทรงจำของครอบครัวนับไม่ถ้วนวูบไหวผ่านจิตใจขณะกัดริมฝีปากด้วยความเศร้าโศก

“ข้าจะไม่ไปส่งพี่น้องได้อย่างไร? ต่อให้ต้องตายข้าก็จะไป!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด