ตอนที่แล้วตอนที่ 2: เลือดสี่ฤดู [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4: การเปลี่ยนแปลงภายในหนึ่งคืน [อ่านฟรี]

ตอนที่ 3: การกำเนิดของดอกบัวแห่งโชคชะตา วิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์จุติ [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ โกลาหลแห่งอสนีบาต

สารบัญ จอมเวทอหังการ

สารบัญ ราชันเทพเก้าสุริยัน

สารบัญ จอมมารสะท้านภพ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 3: การกำเนิดของดอกบัวแห่งโชคชะตา วิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์จุติ

ยวินหยางจมกับความคิด สายตามองร่างที่ถูกตัดหัวของอู๋เหวินเยียน ร่างยังกองอยู่ในแอ่งเลือดกว้าง ขณะจ้องมองซากศพ สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวราวกับรู้สึกถึงสายลมผิดปกติที่ห่อหุ้มและทะลวงเข้ามา ราวกับมันกำลังผุดขึ้นมาจากความตายของอู๋เหวินเยียน

มันคือความรู้สึกเบิกบานใจ ตันเถียนของเขาที่แห้งผากและขาดแคลนตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บเมื่อหนึ่งปีก่อนเริ่มตื่นขึ้นและบานสะพรั่ง หากอธิบายให้เห็นภาพ มันเหมือนกับเด็กหัดเดินก้าวแรก ยวินหยางเริ่มตรวจสอบและควบคุมการไหลของลมปราณ รู้สึกถึงเสียงกระซิบของพลังงานเริ่มไหลผ่านเส้นลมปราณที่ไม่ได้คงอยู่มานาน ดวงตาของเขาลืมขึ้นพร้อมประกายเจิดจ้า ยังไงเสียการฟื้นฟูก็มีความเป็นไปได้!

ถึงแม้จะไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยวินหยางพึงพอใจที่ได้มาถึงบทสรุปเช่นนี้

“รางวัลสำหรับการคลายความสงสัยให้ข้า” ยวินหยางมองร่างไร้ชีวิตของอู๋เหวินเยียนแล้วพึมพำว่า “ข้าไม่กลับคำพูดหรอก ถึงแม้เจ้าจะพิสูจน์แล้วว่าเป็นคนทรยศต่อจักรวรรดิ เป็นพวกชั่วช้าขายชาติ… แต่ข้ายังคงรักษาสัญญาที่มีกับเจ้า”

“เพราะนี่คือสัญญาของเก้าใหญ่”

หลังจากสนทนากับคนตายแล้ว ยวินหยางเดินออกจากห้องโดยไม่หันหลังกลับ

“ส่งทั้งร่างและศีรษะกลับคุก จากนั้นช่วยชีวิตภรรยากับแม่ของอู๋เหวินเยียน ปล่อยตัวพวกเขาออกมา”

เมื่อคำพูดสุดท้ายหายไป ยวินหยางหายไปด้วย ถูกแทนที่โดยเหล่าเหมยผู้ปรากฏตัวอย่างเงียบงันดุจผีสาง

เมื่อยวินหยางกลับมาถึงกันสาดกล้วยไม้อีกครั้ง ดวงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าบนท้องฟ้ากำมะหยี่ เขาจ้องมองดวงจันทร์อย่างเงียบงัน รอยยิ้มโศกเศร้าประดับที่มุมปาก กลุ่มความรู้แจ้งวูบไหวผ่านจิตใจ

“พี่น้อง ข้ารู้แล้วว่าพวกมันคือใคร หอคอยสี่ฤดู!’

“นายเหนียนคัวผู้บงการหอคอยสี่ฤดู”

“4 ฤดูในหนึ่งปี 12 เดือนและ 365 วัน พวกมันมีตัวแทน 365 คน”

“มีความหวังที่ความสามารถของข้าจะฟื้นคืน!”

“อย่าห่วงไปเลย ข้าจะมีชีวิตสุขสบายให้ได้”

ราวกับต้องมนต์ ยวินหยางสวดมนต์ในใจ ความเจ็บปวดและความเศร้ากำลังบดขยี้คล้ายความชั่วกระด้าง ทำให้มือของเขาสั่นเทิ้มด้วยความบ้าคลั่ง

หลังจากผ่านไปสักพัก ยวินหยางหายใจออก ความโกรธที่ระบายออกมากำลังย้อมอากาศสีชาดในแสงดวงจันทร์ เมื่อกำลังเงยหน้าขึ้น เศษเสี้ยวลมปราณอ่อน ๆ ในตันเถียนไปถึงจุดแตกหักในที่สุด มันเป็นเช่นนี้ในเส้นลมปราณทั้งวัน ผู้ฝึกฝนวิชายุทธคนใดที่มีค่าพอสามารถให้ลมปราณไหลผ่านเส้นลมปราณได้หลายครั้งด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียว แม้แต่มือใหม่ที่สุดอย่างพวกเขาก็สามารถทำได้ แต่ลมปราณของยวินหยางต้องใช้เวลาเวลาเกือบสองชั่วโมงเต็มจึงจะสามารถเดินทางทั่วเส้นลมปราณได้ เป็นการบ่งชี้ชัดเจนว่าเส้นลมปราณของเขามีการอุดตันอย่างไร

เมื่อลมปราณกำลังจะวนครบรอบ ยวินหยางรู้สึกถึงการพรั่งพรูฉับพลันในจิตใจ การปรบมือเสียงดังมากพอจะทำให้จิตวิญญาณของเขาแตกสลาย ขณะรู้สึกถึงปากที่เต็มไปด้วยเลือด สิ่งสุดท้ายที่ยวินหยางสามารถนึกออกได้คือทิวทัศน์กำลังพร่าเลือนก่อนเขาจะล้มลงกับพื้นแล้วหมดสติไป

เหล่าเหมยรีบมาหาเขาด้วยความประหลาดใจที่เห็นแสงสีเขียวกำลังแผ่ออกจากร่างกายของนายน้อย มันเต็มไปด้วยพลังงานชีวิตจำนวนมากที่เหล่าเหมยผู้เคยเห็นหลายสิ่งมาก่อนยังตกตะลึง

ขณะยื่นแขนไปหาชายเกียจคร้าน แสงสีเขียวบานสะพรั่งอย่างสดใสราวดวงอาทิตย์ ร่างกายของยวินหยางเริ่มสั่นเทา ขณะอ้าปากค้าง เหล่าเหมยรู้สึกถึงพลังงานพัดผ่านเข้ามา ผลักเขาราวกับตุ๊กตาผ้าขี้ริ้วก่อนเหวี่ยงไปที่ประตู เมื่อร่างกายกระแทกกับราวโลหะ เหล่าเหมยไม่สามารถขยับได้จนยากจะยืนขึ้นไหว แรงกระแทกมหาศาล เขาสามารถรู้สึกได้อวัยวะภายในย่ำแย่ กระดูกแตกสลายราวข้าวต้ม

ดวงตาของเหล่าเหมยปูดโปนขณะความเจ็บปวดแสนสาหัสทิ่มแทงร่างกาย เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? รากฐานการฝึกฝนของเขามีคุณสมบัติพอจะติดห้าอันดับแรกของยอดฝีมือในเมืองเทียนถัง เพียงแค่สัมผัสกับแสงสีเขียวอ่อนจะทำร้ายจนเขาสาหัสขนาดนี้ได้อย่างไร? ขณะที่เขากำลังใช้ความพยายามอย่างยากลำบาก เขาเห็นว่าแสงรอบร่างกายของยวินหยางเริ่มจางหาย

ขณะขยี้ตาด้วยความไม่อยากเชื่อ เหล่าเหมยมองนายน้อยด้วยความเหลือเชื่อ ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีอะไรเป็นสัญญาณว่าเขามีพลังมากพอที่จะทำร้ายคนบริสุทธิ์รอบข้างโดยไม่รู้ตัวได้ “บ้ากันไปใหญ่แล้ว…” เหล่าเหมยพึมพำอย่างเกรี้ยวกราดกับตัวเอง “ข้าคิดไปเองงั้นหรือ? ข้าทำร้ายตัวเองหรือ? ทำไมข้าถึงทำแบบนั้นล่ะ?”

ยวินหยาง… อยู่อีกที่

แสงสว่างมรกตที่ไม่คล้ายกับดวงอาทิตย์สีครามหมุนวนบนท้องฟ้า ร่างกายและจิตวิญญาณของยวินหยางรู้สึกสบายอย่างน่าแปลก ทว่า แทบจะในทันทีที่มาถึง เขารู้สึกได้ว่าหัวใจหยุดเต้น จิตสำนึกของเขาที่ยังสับสนถูกบิดกลับเข้าไปในวังวนแรงกล้า ตอนนี้ ประสาทสัมผัสการดมกลิ่นของเขาทำงานเต็มที่ กลิ่นฉุนรุนแรงแทบจะทำให้อาเจียนออกมา เขาเริ่มรู้สึกถึงเตียงหยาบใต้แผ่นหลัง อากาศเลวร้ายมากพอที่จะทำให้ประชากรทั้งชานเมืองหายใจไม่ออก คำพูดไม่อาจกล่าวออกไปผ่านริมฝีปากได้ขณะลุกออกจากเตียงเพื่อหนีจากกลิ่นดังกล่าว เข้าใจเพียงว่ามันแผ่กระจายตรงมาที่เขา

ขณะจ้องมองความหวาดกลัวที่แขนและร่างกาย โคลนเป็นมันปกคลุมทั่วร่างราวกับปกคลุมทุกอวัยวะ แม้กระทั่งรูจมูกก็ไม่เว้น ขณะใช้สัญชาตญาณบริสุทธิ์ เขากลั้นหายใจแล้วก้าวกระโดดยาวตรงไปที่สระกลางลานบ้าน น้ำที่กระเซ็นออกเปื้อนทั้งสองฝั่งของสระก่อนเผยให้เห็นดวงตาหวาดกลัวหนึ่งคู่ปรากฏตรงหน้ายวินหยางที่ดูย่ำแย่

เป็นเหล่าเหมยที่หลังจากพยายามดูแลเจ้านาย เขาทำพลาดเมื่อเผชิญกับกลิ่นเหม็นสาบรุนแรง เมื่อไม่มีที่ให้ซ่อนจากควันน่าหวาดกลัวและเห็นว่าเจ้านายไม่ได้อันตรายจริง ๆ เหล่าเหมยตัดสินใจเลือกสระน้ำเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจเช่นกัน ด้วยความหวาดกลัว ไม่เพียงแค่เขาหนีจากกลิ่นน่ากลัวไม่ได้เท่านั้น ยังต้องมาพบแหล่งกำเนิดของมันอีก

“ข้าต้องอดทนฝึกฝนวิชายุทธในใต้ดินอันมืดมิด โกงความตายมานับครั้งไม่ถ้วน ข้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวเกินกว่าจะเข้าใจ ข้าไม่เคยลังเล ไม่เคยสักครั้ง! ทว่า ทั้งหมดนั่น เทียบกับกลิ่นผิดปกตินี่ไม่ได้เลย!” เหล่าเหมยเริ่มเริ่มโอนเอนไปมา “ที่แย่ยิ่งกว่า มันติดตามข้าไปทุกที่ มันส่งกลิ่นหนอนและซากศพออกมา… ข้ายอมแพ้!”

ด้วยดวงตาที่กลอกไปมา เหล่าเหมยล้มลงจนหมดสติ

ยวินหยางกำลังขัดโคลนอย่างแรง พยายามชะล้างให้หมดสิ้น ไม่นานนักก่อนเขาจะเริ่มเห็นรูปทรงที่เริ่มปรากฏรอบตัว ขณะประหลาดใจจนพูดไม่ออก เขาทำได้เพียงหัวเราะเบา ๆ ขณะฝูงปลาในสระตายก่อนลอยขึ้นมาเป็นกลุ่มดูน่าขนลุก

หลังจากขัดถูอยู่สองชั่วโมง ในที่สุดยวินหยางเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเป็นชีวิตอีกครั้ง เขาเหนื่อยล้า แสงอรุณสลัวเป็นสัญญาณเริ่มวันใหม่ ขณะกองอยู่ในสระ ความไม่เต็มใจที่จะขยับล้วนคุกคามเพื่อส่งให้เขาขึ้นจากผิวน้ำ เหล่าเหมยผู้ได้สติในที่สุดหลังจากเป็นลมยังพูดไม่ออก

“นายน้อย ผิวของท่าน…” คำพูดหลุดออกมา “นี่คือหน้าตาของหยกธรรมชาติใช่หรือไม่?”

เปลี่ยนร่าง ใบหน้าของยวินหยางเรียบเนียนราวรูปแกะสลักสมบูรณ์แบบ เนียนลออชวนให้เบิกบานใจ ด้วยความโปร่งแสงราวอากาศธาตุ เขาเรืองแสงได้จากแสงสว่างข้างใน เขาเป็นคนห้าวมาตลอด มีเพียงบาดแผลจากการต่อสู้เท่านั้นที่จะไม่มีวันจางหาย สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือสิ่งที่ได้รับระหว่างเผชิญหน้ากับสิ่งที่ใกล้ความตาย

ใบหน้าของเขาในตอนนี้เนียนบริสุทธิ์ รอยแผลที่เคยมีหายไปคล้ายดวงจันทร์เก่า

“ชะล้างเส้นลมปราณไม่บริสุทธิ์! หยกทองคำธรรมชาติ!”

เหล่าเหมยอุทานด้วยความยำเกรง เกิดอะไรขึ้นกับนายน้อย? ปรากฏการณ์นี้ที่ผู้คิดค้นวิชายุทธทุกคนแสวงหามาชั่วชีวิต จู่ ๆ มาปรากฏตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึงได้อย่างไร?

ยวินหยางกระจายสัมผัสเพื่อตรวจสอบร่างกาย ร่องรอยความยินดีบานสะพรั่งในใจ นอกจากรากฐานการฝึกฝนยังไม่ฟื้นฟู ร่างกายตอนนี้คล้ายกับเกิดใหม่ สุขภาพดีไร้ที่ติ!

“ทันทีที่บาดแผลในเส้นลมปราณสมานตัว อยู่ที่เวลาเท่านั้นก่อนการฟื้นฟูพลังงานของรากฐานการฝึกฝนจะเริ่มปรากฏ” ยวินหยางยินดีกับสภาพในตอนนี้ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ความเป็นจริงแล้วยวินหยางไม่ได้เป็นอะไรเลย การขดข้อมูลไม่ได้รบกวนเข้าด้วยซ้ำ ความจริงก็เห็นอยู่กับตา เขาอาการดีขึ้น เขาจะหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นได้พบในไม่ช้า แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือการฟื้นฟูความสามารถให้เร็วที่สุด! นั่นก็เพราะพละกำลังของเขาลดลงไปมากตั้งแต่การต่อสู้อันน่ากลัวเมื่อหนึ่งปีก่อน

ฉับพลัน ดวงตาของเขาหรี่ด้วยความตกตะลึง

หยกเยือกแข็งที่ประดับบนข้อมือของเขามาจากไหน?

หลังจากชะล้างร่างกาย ยวินหยางกลับห้องอย่างระมัดระวังโดยระหว่างทางมีเหล่าเหมยคุ้มกันและตรวจสอบให้อย่างละเอียด หลังจากสะบัดผ้าปูที่นอน เขาทำตัวตามสบายบนที่นอนนุ่มและเริ่มค้นหาคำตอบ ขณะเข้าสู่สภาพจิตใจของความทรงจำ หมอกหนาทึบเริ่มเรียงตัวตรงสายตา ท่ามกลางหมู่เมฆวนเวียนมีเมล็ดดอกบัวกำลังหมุนวนอยู่ มันสั่นพร้อมกันแสงสีทอง

กลิ่นอายสีเขียวปกคลุมเล็ด ขณะสูดหายใจเข้า เขาได้กลิ่นหอมชวนอัศจรรย์ใจ

บนเมล็ดดอกบัวมีรอยร้าว

ต้นอ่อนขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา ก้านสีเขียวสดและโปร่งแสงคล้ายหยกนั่น ใครก็ตามที่จ้องมองมันจะรู้สึกสบายทันที ขณะแกว่งไกวช้า ๆ ต้นอ่อนแผ่นคลื่นพลังงานแปลกประหลาดออกมา

“นี่มันอะไรเนี่ย?” ขณะยวินหยางพยายามย่อยข้อมูลใหม่ตรงหน้านี้ อาการวิงเวียนศีรษะชะล้างเขาเข้ามา การพรั่งพรูของข้อมูลถาโถมเข้าใส่จิตใจในคราวเดียว ความเจ็บปวดแทบทำให้เขาหมดสติ ศีรษะเต้นตุบด้วยความเจ็บปวด

อักษรสีทองเปล่งประกายแวววับเลือนลางปรากฏขึ้นในใจ

“ความว่างเปล่าโกลาหล มันคือการเกิดของทุกสรรพสิ่ง มันเริ่มจากไม่มีอะไรก่อนเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด… มันดูดกลืนอากาศอธรรม บรรเทาความอยุติธรรมของผู้บริสุทธิ์และประพฤติตนในมโนธรรมที่เด่นชัด หัวใจอันขมขื่นของดอกบัวก่อเกิดรากฐานชีวิต เจตนาเปรียบเสมือนคมดาบ กำหราบสิ่งชั่วร้ายทั้งมวล… ข้างในสิ่งชั่วร้ายที่ถูกสังหารหมู่ เมล็ดดอกบัวงอกขึ้นมา ส่องแสงเจิดจ้าทั่วดินแดน ชะล้างสิ่งไม่บริสุทธิ์และกระจายแสงสว่าง…”

“วิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์”

ในขณะนั้นเองความรู้แจ้งลึกลับเกาะกิน ยวินหยางหลับตาลง หลังจากเวลาที่ไม่ทราบได้ว่าผ่านไปชั่วครู่หรือชั่วนิรันดร์ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประกายศักดิ์สิทธิ์แจ่มชัดในดวงตา

“เป็นแบบนี้เอง…”

“ในที่สุดข้าก็เข้าใจ…”

เส้นลมปราณของเขาพลันถูกชะล้าง ปราศจากสิ่งไม่บริสุทธิ์และสิ่งชั่วร้าย เมื่อในที่สุดความเข้าใจก่อเกิด ความเจ็บปวดก็ทวีความรุนแรง

ถ้าข้ารู้… ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ พี่น้องคงไม่ต้องตาย…

แสดงว่ามันเป็นเพราะสิ่งนี้… ที่ทำให้ข้าไม่ตาย มันเป็นเพราะสิ่งนี้ที่ทำให้ข้าหาทางคืบคลานออกจากเนินซากศพในระหว่างการต่อสู้ที่ผาเทียนเสวียนมาได้

ข้าได้รับบาดเจ็บจุดสำคัญมากมาย รวมทั้งหมด 17 จุด ทุกจุดทำให้คนธรรมดาถึงตาย… แต่ข้ารอด…และมันเป็นเพราะสิ่งนี้

ลูกประคำขนาดเล็กจากเมล็ดดอกบัวนั่น

ยวินหยางหลับตาด้วยความเศร้าโศก ความคิดของเขาปั่นป่วนราวกับย้อนเวลากลับไปค้นพบความทรงจำ

เขาเพิ่งเข้าร่วมเก้าใหญ่ เพิ่งเข้าร่วมการต่อสู้นองเลือดจนกระทั่งถึงวันนั้น ท่ามกลางการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งและไฟสงคราม บางสิ่งที่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไรจุติเหนือศีรษะ ทำให้เขาจำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้

เป็นแปดพี่น้องที่ช่วยเขาเอาไว้

ภายหลัง เขาเข้าใจว่าวัตถุที่กระแทกเข้าใส่จนทำให้หมดสติคือเมล็ดดอกบัว เมล็ดดอกบัวขนาดเล็กที่ถูกฝังลึกเข้าไปในหัวกะโหลก สร้างความสนุกสนานไม่มีสิ้นสุดกับพี่น้องผู้หยอกล้อเขาอย่างไม่ลดละ

“น้องเล็กแห่งเก้าใหญ่ลงไปกองกับพื้นเพราะเมล็ดดอกบัว!” เสียงหัวเราะของพี่น้องยังดังก้องในหู

ยวินหยางที่รู้สึกงุนงงพยายามแกะเมล็ดดอกบัวออกจากศีรษะด้วยความตั้งใจจะทุบมันให้เป็นผุยผง พี่ใหญ่สุดของพวกเขาบอกกล่าวพร้อมหัวเราะเสียงดังว่า “เหล่าจิ่ว เก็บมันไว้ อะไรก็เกิดขึ้นได้บนสมรภูมิ เก็บสิ่งนี้เพื่อเตือนใจให้ระแวดระวังต่อทุกสิ่งเสมอ เจ้าต้องรู้ แม้กระทั่งเมล็ดดอกบัวก็สามารถทำให้หนึ่งในเก้าใหญ่หมดสติได้!”

ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แต่เขารับคำแนะนำอย่างจริงจังขณะเก็บเมล็ดดอกบัวแล้วห้อยมันไว้รอบคอด้วยเชือกไหม

ในช่วงเวลาว่าง เขาจะดึงมันออกจากเชือกเพื่อพินิจดูอย่างละเอียด

แม้กระทั่งเมล็ดดอกบัวก็สามารถทำให้วีรชนล้มลงได้

นับจากนี้ไป เขาจะระแวดระวังมากขึ้น ในฐานะน้องเล็กสุดจากเก้าคน เขาค่อย ๆ กลายเป็นแกนกลางและมันสมองที่อยู่เบื้องหลังเก้าใหญ่ แม้แต่พี่ใหญ่สุดในกลุ่มยังอุทานว่าเขาเติบโตขึ้นมากหลังจากผ่านเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนาในตอนนั้น ถึงแม้ทุกคนจะยังหัวเราะเมื่อพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา แต่พี่น้องไม่ได้เย้ยหยันอีกหลังจากเห็นความสนใจของยวินหยางต่อรายละเอียดต่าง ๆ กับการวางแผนอันแม่นยำเพื่อช่วยชีวิตจนทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้อย่างเหลือเชื่อมานักต่อนัก พี่น้องถึงขั้นคิดว่ายวินหยางจะเป็นบุคคลสำคัญในทวีปเทียนเสวียนหากยังเป็นก้าวหน้าแบบนี้ต่อไป!

ยวินหยางเองก็รู้สึกได้ถึงความระมัดระวังที่เมล็ดดอกบัวนั่นมอบให้ มันพัฒนาความกระจ่างชัดของจิตใจอย่างก้าวกระโดด ทำให้เขาเกิดความชื่นชมกับเมล็ดนี้มากขึ้น ทำให้ไม่เต็มที่จะทิ้งมันไป

ในช่วงเวลาที่เงียบสงบ ยวินหยางถึงขั้นสาบานว่าจะทำทุกสิ่งเท่าที่ทำได้เพื่อฟื้นคืนเมล็ดดอกบัวนี้เมื่อโลกสงบสุขแล้ว เขาสามารถแลกเปลี่ยนเกราะเป็นใบมีดคันไถได้ จากนั้น เขาจะสร้างสระขนาดใหญ่ให้เมล็ดนี้เพื่อรอมันเติบใหญ่งอกขึ้นมาเป็นดอกบัวเต็มสระ ส่วนเขา เขาจะสร้างกระท่อมขนาดเล็กและใช้ชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่น เมล็ดนี้ที่อยู่ในจิตใต้สำนึก มันเหมือนกับเมล็ดดอกบัวนั่น

ตอนนี้ มันบานสะพรั่งในความคิดอันอ่อนแอของเขา ยิ่งกว่านั้น มันถึงขั้นกระซิบชื่ออย่างอ่อนโยนจากส่วนภายในของชีวิต ในสถานที่สงบสุขและเงียบสงัดที่ต้องต่อสู้กับสมดุลด้วยพลังงานเด่นชัดไร้พรมแดน

มันเรียกตัวเองว่า “ดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด