ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0552 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0554 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0553 [อ่านฟรี]


ตอนที่ 553 : ผู้แข็งแกร่ง

เก๋อหมิงเจียงเชื่อมั่นว่าฉินหยุนต้องมีกำลังระดับหนึ่ง เพราะมีแต่เขาที่สามารถเข้าคฤหาสน์ ทั้งยังสามารถตบหน้าชายวัยกลางคนขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณจากหุบเขาเซียนโอสถได้

เมื่อศิษย์หุบเขาเซียนโอสถคิดตอบโต้ อีกฝ่ายไม่อาจโจมตีฉินหยุนได้แม้ปลายเส้นผม

ด้วยเหตุนี้ เก๋อหมิงเจียงจึงรู้สึกว่าชายไว้หนวดเครานามหยุนต้าเหริน ย่อมมีกำลังซุกซ่อนเอาไว้

ฉินหยุนก้าวเดินออกไป สายตามองที่อาเล่ยพร้อมเอ่ยถาม “คิดพักหรือไม่? เมื่อครู่เห็นใช้กำลังไปไม่ใช่น้อยเลยนี่!”

“อย่าได้เสียวเวลา กับขยะเช่นเจ้า ข้าชนะสองนัดรวดยังไหว! เริ่มกันได้แล้ว!” อาเล่ยกล่าวทั้งยังยื่นมือออกมาเป็นการเชื้อเชิญ

ฉินหยุนยืนหยัดตั้งมั่น มือของเขากำลังวางบนกะโหลกใหญ่ของสัตว์

กะโหลกสัตว์นี้ทั้งใหญ่และแกร่ง

พวกเขาใช้งานกะโหลกสัตว์นี้ต่างโต๊ะรองรับการงัดข้อ

เริ่มศึก ทั้งสองเริ่มเผยแรงที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!

ผ่านไปครู่ อาเล่ยค่อยพบ ว่าคิดสะกดข้อมือฉินหยุนลงหาได้ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงมีแต่ต้องใส่แรงลงไปเพิ่ม

เหลียวฉงเจิ้งมองทางเก๋อหมิงเจียงพร้อมเกิดความคิดน่าสนใจขึ้น เขาเผยยิ้ม “เก๋อหมิงเจียง เจ้าครอบครองกระดูกสัตว์สวรรค์ไม่ใช่น้อย ดังนั้นจึงกล้าอวดดี ให้ศิษย์ชั่วคราวขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้ประลอง ครานี้ถือว่าเป็นเจ้าพ่ายแพ้แน่นอนแล้ว”

อย่างไรแล้ว นี่คือศึกประชันกำลัง ความแตกต่างระหว่างขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้า และขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น ถามผู้ใดล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกัน

เหลียวฉงเจิ้งที่เดิมยิ้ม ขณะนี้เห็นอาเล่ยไม่อาจสะกดฉินหยุนลงได้ คิ้วจึงต้องขมวดเล็กน้อยพร้อมตะโกนดัง “อาเล่ย เจ้าทำอะไรอยู่กัน? เร่งรีบจัดการมันได้แล้ว!”

มือของฉินหยุนและอาเล่ย ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมเช่นครั้งที่เริ่มประลอง หาได้มีฝ่ายใดเผยกำลังที่สะกดอีกฝ่ายลงได้

เมื่อรับรู้ถึงความกดดันคุกคาม อาเล่ยจึงคำราม โทเทมพยัคฆ์ก็คำรามเช่นกัน พลังเต๋ารุนแรงกำลังถูกส่งถ่ายไปยังมือของเขา

วูบ!

สายลมเกิดเคลื่อนตัวกระจายทั่วทิศเพราะเสียงคำรามของอาเล่ย

สาเหตุว่าทำไมฉินหยุนจึงเสนอความคิดงัดข้อขึ้นมา ก็เพราะเขาไม่ต้องการเปิดเผยออร่าตนเองระหว่างการศึก

หากเป็นเพียงการงัดข้อ เขามั่นใจในพลังของร่างราชสีห์สวรรค์ลึกล้ำ เป็นเขามีกำลังพอให้สะกดข่มขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้นได้ไม่ยาก

พอเสียงคำรามของอาเล่ยดังขึ้น กำลังข้ออีกฝ่ายจึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล มือของฉินหยุนถูกสะกดลงไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

“พี่ชาย แม้เป็นครั้งที่สองยังคิดออมมือหรือ? ช่างวิเศษนัก!” ฉินหยุนเผยรอยยิ้มเดียดฉันท์

อะไรคือคิดออมมือ? ผู้คนต่างพบเห็นว่าอีกฝ่ายทุ่มสุดตัวแล้ว!

กระนั้นก็ยังไม่อาจมีชัยเหนือฉินหยุน!

การงัดข้อ และการประลองยุทธ์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การประลองยุทธ์ คือเผยออกซึ่งกำลัง ฝีมือ และวิธีการ

แต่การงัดข้อ ใช้เพียงแต่กำลังบริสุทธิ์

ฉินหยุนครอบครองสามแก่นเต๋า รวมถึงร่างราชสีห์สวรรค์ลึกล้ำ อีกทั้งเขายังใช้พลังเต๋าเก้าสมบูรณ์ พละกำลังยิ่งมายิ่งเหนือล้ำ

คิดรับมือกับผู้ที่เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ แค่กำลังบริสุทธิ์ถือว่าเพียงพอ

“นี่ ข้ารอเจ้าทุ่มสุดตัวอยู่นะ!”

ฉินหยุนแท้จริงยังมีทีท่าผ่อนคลาย เขายังเป็นกังวลอยู่ด้วยซ้ำ ว่าเหลียวฉงเจิ้งจะจดจำตนเองได้

กระนั้น เหลียวฉงเจิ้งไม่คล้ายจดจำเขาได้ บางทีอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้พบฉินหยุนมาเป็นเวลานานแล้ว หรือบางทีอาจไม่คิดว่าฉินหยุนจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่

“อาเล่ย นี่เจ้าทำอะไรอยู่? เร่งรีบจัดการได้แล้ว!”

เหลียวฉงเจิ้งกล่าวเร่งอีกฝ่าย หากอาเล่ยพ่ายแพ้ กระดูกสัตว์สวรรค์ห้าหมื่นจินที่เพิ่งชนะมา เท่ากับต้องส่งกลับคืนไปแล้ว

บรรดาผู้ที่ไม่รู้ตัวตนของฉินหยุน ขณะนี้ล้วนเผยความตื่นตะลึง

พวกเขาไม่คาดคิด ว่าศิษย์ชั่วคราวขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้า จะถึงขั้นสามารถสะกดศิษย์หลักของหุบเขาเซียนโอสถเอาไว้ได้

เชี่ยวเย่ว์หลานและคณะรับชมอยู่ พวกนางย่อมทราบกำลังของฉินหยุน ดังนั้นความกังวลใดล้วนไม่มีแต่แรก

“อาเล่ย นี่เจ้าไม่ยอมเอาจริงงั้นหรือ? เช่นนั้นก็ต้องขออภัยที่ข้าชนะแล้ว!” ฉินหยุนกล่าวจบ จึงเพิ่มกำลังแขนเสริมเข้าไป ข้อมือของอาเล่ยขณะนี้กำลังถูกสะกดลงทีละนิด

ใบหน้าอาเล่ยแดงก่ำ ฟันกรามขณะนี้กัดแน่นจนแทบแตก เส้นเลือดสีเขียวเข้มถึงกับปูดโปนออกจากหน้าผาก ดวงตาแทบถลนออก เป็นเขาไม่ยินดีเห็นมือของตนเองถูกสะกดลงทีละน้อยเช่นนี้

เขาไม่คาดคิดอย่างแท้จริง ว่าศิษย์ชั่วคราวขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้า จะมีกำลังแขนที่แกร่งกล้าได้เพียงนี้

ที่น่าขนลุกกว่านั้น คือฉินหยุนยังคงมีใบหน้าประดับรอยยิ้ม

ท้ายที่สุด หลังมือของอาเล่ยจึงสัมผัสกับพื้นโต๊ะ

“ข้าชนะแล้ว!” ฉินหยุนหัวเราะยินดี

“หยุนต้าเหริน เจ้ายอดเยี่ยมนัก!” เก๋อหมิงเจียงกล่าวชื่นชมพร้อมหัวเราะออกจากใจ

เหลียวฉงเจิ้งใบหน้าดำมืด เขาจำใจต้องส่งมอบกระดูกสัตว์สวรรค์ห้าหมื่นจินกลับคืนแก่เก๋อหมิงเจียง

เก๋อหมิงเจียงได้เห็นใบหน้าอัปลักษ์ของเหลียวฉงเจิ้ง เขายิ่งเกิดความยินดี

“ยังคิดไปต่อหรือไม่?” เก๋อหมิงเจียงหัวเราะดัง

“เหตุใดข้าจึงไม่กล้า? เหล่าหนี เจ้าไปสั่งสอนบทเรียนแก่ไอ้หน้าหนวดนั่น!”

เหลียวฉงเจิ้งเดิมคิดอยากลงประลองด้วยตนเอง ทว่าเขาเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา ว่าสถานะตนเองสูงส่ง หากคิดทัดเทียมก็ต้องเป็นเก๋อหมิงเจียงลงแข่งขันด้วยตนเอง

เหล่าหนีเป็นชายวัยกลางคน ร่างกายกำยำ กำลังแขนดูไปแล้วแข็งแกร่ง ทั้งยังมีต้นขาใหญ่เกือบเท่าตัวคน ฝ่ามือของเขาที่ยื่นออก ใหญ่ยิ่งกว่าฝ่ามือของฉินหยุนมากมายนัก

ผู้คนต่างมองแขนเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย อดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา

แขนของฉินหยุนย่อมมีกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ทว่ามันเป็นรูปลักษณ์ที่ได้รูป จึงเป็นการหลบซ่อนจากสายตาผู้คน

เหล่าหนีนั้นแตกต่าง แขนของอีกฝ่ายใหญ่กว่าของฉินหยุนราวสามเท่าตัวเห็นจะได้

กล้ามเนื้อนั้นเปรียบดังหินแกร่ง มันสามารถสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้พบเห็น

ฉินหยุนได้พบเห็นเหล่าหนีผู้นี้ พลันเกิดความรู้สึกกดดันขึ้นมา

“หุบเขาเซียนโอสถเจ้าเริ่มยอมรับผู้ฝึกตนเต๋าอสูรตั้งแต่เมื่อใดกัน? ไม่นึกไม่ฝันเลย!”

เก๋อหมิงเจียงเกิดกังวลต่อฉินหยุนขึ้นมา ผู้คนล้วนทราบว่าพลังของเต๋าอสูรนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

ร่างกายเปรียบดังอสูรกายของเหล่าหนี เป็นการฝึกฝนด้วยวิธีการสุดกู่อันหลากหลาย

“อย่าได้กังวลเกินเหตุแล้ว!” เหลียวฉงเจิ้งมองมืออสูรกายของเหล่าหนีวางบนโต๊ะ หัวใจค่อยชุ่มชื้นปล่อยวางได้ เขาตะโกนดัง “เริ่มได้!”

เทียบเปรียบขนาดแขนของเหล่าหนีกับฉินหยุน มันไม่ต่างอะไรกับกิ่งไม้กับท่อนซุง

จากที่เห็น กำลังย่อมแตกต่างกันอย่างมหาศาล

แค่ขนาดของข้อมือทั้งสองฝ่าย ก็แตกต่างกันจนไม่รู้จะแตกต่างอย่างไรแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าหนีผู้นี้ ยังคงเป็นขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ

ครั้งนี้ผู้รับชมต่างคิดเห็นเช่นกัน ว่าฉินหยุนไม่อาจเอาชนะ

แรกเริ่ม เหล่าหนีปลดปล่อยพลังเต๋าอสูรแรงกล้า กล้ามเนื้อถึงกับปูดบวมออก

ภายใต้กล้ามเนื้อที่เสริมแกร่งขึ้น เส้นเอ็นสีดำที่ดูชั่วร้ายจึงเผยออกให้เห็น

ภายในเส้นเอ็นสีดำ มันมีพลังอสูรกำลังไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง

ขณะนี้ เหล่าหนีมีสภาพไม่ต่างอะไรกับอสูรร้าย

ฉินหยุนเดิมร่างสูงแกร่ง ขณะนี้อยู่ต่อหน้าเหล่าหนี เขาไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยต้องเผชิญหน้าหมีควาย

“จงแพ้ให้แก่ข้า!”

เหล่าหนีคำรามดัง เขาคิดอยากบดขยี้ข้อมือฉินหยุนออกเป็นเสี่ยง

ออร่าอสูรดุร้ายทำเอาผู้คนขมวดคิ้วมุ่น

แต่ที่ชวนสะพรึงกลัวกว่านั้น คือฉินหยุนไม่คล้ายโดนสะกดข่มถึงเพียงนั้น

“เจ้ากล้ามโต อย่าได้คิดว่าใหญ่กว่าหมายถึงแข็งแกร่งกว่า!” หน้าผากของฉินหยุนหลั่งเหงื่อออก ผ่านไปเพียงครู่ เขาค่อยดันมืออีกฝ่ายกลับคืนขึ้นมา

เมื่อกลับมาเสมอ เพียงไม่นานเขาจึงเริ่มสะกดแขนใหญ่ยักษ์อีกฝ่ายทีละน้อย

เหลียวฉงเจิ้งได้เห็นเช่นนี้ สีหน้าที่เผยออกไม่ต่างอะไรกับพบเห็นภูตผี

มือของเหล่าหนีหนาใหญ่ ดังนั้นหลังมือย่อมต้องสัมผัสพื้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว

“ข้าชนะแล้ว!” ฉินหยุนยิ้มบาง

เหล่าหนีพบว่าตนเองพ่ายแพ้ จึงคำรามเสียงดังดุดัน “ตั๊กแตนตำข้าวเช่นเจ้า ต้องมีกลลวงใดซุกซ่อนเอาไว้ ข้าไม่คิดยอมรับ!”

เก๋อหมิงเจียงเร่งรีบโพล่งตอบ “สามหาว!”

คลื่นพลังรุนแรงพุ่งปะทะ ร่างใหญ่โตของเหล่าหนีถูกผลักกระเด็นกลับไปนับสิบก้าว

“เสียอีกห้าหมื่นจิน เหลียวฉงเจิ้งใบหน้าเขียวคล้ำแล้ว”

ขณะนี้ผู้คนต่างมองที่ฉินหยุน ก่อนจะหันมองร่างใหญ่โตของเหล่าหนี!

เพราะผู้ไร้นามดังเช่นหยุนต้าเหรินต่างหาก จึงเป็นอสูรกายที่แท้จริง

“ครั้งนี้ข้าจะลงแข่งเอง!” เหลียวฉงเจิ้งก้าวเดินเข้ามา ดวงตาเผยความคิดฆ่าฟันเปี่ยมล้นมองที่ฉินหยุน

“นายน้อยเหลียว คล้ายว่ากระดูกสัตว์สวรรค์ที่เจ้าได้รับอาจจะไม่พอกระมัง!” เก๋อหมิงเจียงยิ้มออก “ว่าอย่างไรดี ไม่คิดเหลือไว้ให้คนของตนเองเลยงั้นหรือ?”

ศิษย์อื่นจากหุบเขาเซียนโอสถ แม้ภายในใจไม่พอใจ แต่พวกเขาไม่กล้ากล่าวอันใดออกมา พวกเขาไม่คิดอยากมีเรื่องกับเหลียวฉงเจิ้ง

“ลูกพี่เหลียว ท่านลงแข่งได้อย่างวางใจ พวกเราย่อมเชื่อมั่นว่าท่านต้องชนะกลับมาได้!”

ศิษย์วัยกลางคนของหุบเขาเซียนโอสถพยายามกล่าวให้กำลังใจ

แน่นอนว่า ภายในย่อมไม่คิดให้อีกฝ่ายออกไปแข่ง แต่หากเขาคิดเห็นเป็นอื่น เหลียวฉงเจิ้งอาจหมายหัวเขาได้

ฉินหยุนไม่คิด ว่าเหลียวฉงเจิ้งจะมีสถานะสูงส่งถึงเพียงนี้ในหุบเขาเซียนโอสถ

นี่จะต้องเกี่ยวข้องกับพื้นเพของเหลียวฉงเจิ้งแน่แล้ว

เหลียวฉงเจิ้งเป็นผู้มีคุณสมบัติ และพรสวรรค์ก็นับว่าไม่เลว ดังนั้นภายในหุบเขาเซียนโอสถ เขาจึงเป็นศิษย์คนสำคัญ ทำให้ได้รับทรัพยากรการฝึกฝนที่ดีกว่าผู้อื่น

ทุกคนที่นี้ล้วนทราบ ว่าเหลียวฉงเจิ้งเป็นศิษย์ของหุบเขาเซียนโอสถซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในที่นี้

อีกฝ่ายออกมาด้วยตนเอง ก็ถือเป็นการบ่งบอกถึงความร้อนใจว่ามีมากมายเพียงใดแล้ว

ไม่เช่นนั้น หากยังพ่ายแพ้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะสูญเสียกระดูกสัตว์สวรรค์ กระทั่งกำลังใจฝ่ายตนก็ต้องถดถอย

เหลียวฉงเจิ้งย่อมมีความมั่นใจ อย่างไรแล้ว เขาก็เป็นศิษย์หลักของหุบเขาเซียนโอสถที่เยาว์วัยที่สุด

พรสวรรค์ทางการฝึกตนของเขาสูงส่ง เขาจึงเป็นหัวหน้ากลุ่มที่อหังการอวดดี

สายตาเขามองที่ฉินหยุนพร้อมแค่นเสียง “เจ้านามหยุนต้าเหรินใช่หรือไม่? เมื่อพวกเรางัดข้อกัน เช่นนั้นเสริมความสนุกสักหน่อยจะเป็นไร?”

“ความสนุกอันใด? หากไม่สนุกสำหรับข้า ข้าย่อมไม่คิดเล่นด้วย!” ฉินหยุนหัวเราะตอบ

“มือหนึ่งพวกเราจะงัดข้อ อีกมือหนึ่งจะพยายามตบใบหน้าอีกฝ่าย!” เหลียวฉงเจิ้งเผยรอยยิ้มเย็นเยือก “อย่างนี้เป็นไร? น่าสนใจหรือไม่?”

“นับว่าน่าสนใจ แล้วผู้ใดจะเริ่มก่อน?” ฉินหยุนถามกลับ

“ใช้การเป่ายิงฉุบตัดสินว่าผู้ใดเริ่มก่อน!” เหลียวฉงเจิ้งยื่นมือออกมาเตรียมออกท่าทาง

ฉินหยุนคิดไปครู่ก่อนจะยอมรับ

ทั้งสองกลายเป็นละเล่นราวกับเด็กน้อย

ผลลัพธ์ของวิธีนี้ย่อมรวดเร็ว ฉินหยุนเล่นกรรไกร ส่วนเหลียวฉงเจิ้งเล่นค้อน

ฉินหยุนแพ้ เหลียวฉงเจิ้งเป็นฝ่ายได้ตบหน้าก่อน!

เหลียวฉงเจิ้งเผยยิ้มยินดี “วิเศษ เช่นนั้นเริ่มกันได้แล้ว แขนข้างที่งัดข้อไม่อาจปล่อยมือ จากนั้นข้าจะนับถึงสิบแล้วค่อยตบหน้าเจ้า!”

หลายคนเกิดให้ความสนใจการละเล่นครั้งนี้กันขึ้นมา

เหลียวฉงเจิ้งเสนอการละเล่นนี้ออกมา ชัดเจนว่าเขาต้องมั่นใจ ว่าตนเองจะไม่มีทางถูกตบที่ใบหน้า

เย่ว์อู่หลัน เทียนรั่วเหลิง และเฟิงหงหลัน ขณะนี้ภายในใจเกิดความเป็นห่วงต่อฉินหยุน

มีแต่เชี่ยวเย่ว์หลานที่หาได้กังวลใดไม่

นางคือภรรยาของฉินหยุน นางทราบถึงพลังของฉินหยุนดียิ่งกว่าผู้ใดในที่นี้

เก๋อหมิงเจียงก็รู้สึก ว่าฉินหยุนออกจะอวดดีเกินไปบ้างแล้ว ครั้งนี้สมควรไม่ได้รับชัยชนะ

ไม่ช้า การงัดข้อจึงค่อยเริ่ม

กำลังแขนของทั้งสองฝ่ายเสมอกัน ไม่มีใครสามารถสะกดใครลงได้ ขณะนี้ยังสภาพตำแหน่งเดิมเอาไว้

“ข้าจะเริ่มนับแล้ว หนึ่ง... สอง...” เหลียวฉงเจิ้งเผยเสียงนับดังให้ได้ยิน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด