ตอนที่แล้ว10 ถูกผีสิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป12 ดีใจสุดๆจนแทบจะบินได้

11 ราวกับฝันไป


11 ราวกับฝันไป

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลี่เย้าได้กลายเป็น “โอเย่หมิง” และมีชีวิตที่ยากลำบาก ในฐานะของชนชั้นแรงงานระดับต่ำของนิกายป่ายเลี่ยน

ฝันที่แปลกประหลาดนี้ อยู่ในขอบเขตที่แตกต่างไปจากฝันประหลาด ที่หลี่เย้าฝันอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก แม้แต่ระยะเวลาที่ผันผ่านภายในความฝัน ก็ยังเดินเชื่องช้าจนผิดปกติ ไม่ว่าหลี่เย้าจะพยายามสักแค่ไหน ก็ไม่มีแม้สักเสี่ยวของสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าเขาจะตื่นจากฝันนี้ได้

มันราวกับว่า เขาได้กลายเป็น “โอเย่หมิง” ไปแล้วจริงๆ และมีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

การเป็นแรงงานชนชั้นล่างสุดของนิกายป่ายเลี่ยนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในทุกช่วงเวลาที่ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ภาระหน้าที่กดทับลงบนบ่าของพวกเขามากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ

ในตอนแรกเริ่ม พวกเขาต้องแบกน้ำ 1,500 กิโลและตัดต้นไม้ยักษ์ 50 ต้น จากนั้น ก็เปลี่ยนเป็นแบกเหล็กหลอม 5,000 กิโลและตัดต้นไม้ที่แข็งราวกับเหล็ก 100 ต้น สุดท้าย พวกเขาต้องเหวี่ยง “ค้อนต้วนเทียน” ที่นั้น 500 กิโล 30,000 ครั้ง!

และไททัน ที่เป็นผู้ควบคุมเหล่าแรงงานชนชั้นล่าง ก็ดูเหมือนจะคิดว่า หลี่เย้าคือหนามแหลมที่ทิ่มแทงใจของเขาอยู่เสมอ ในทุกๆวัน เขาจะหาเรื่องหลี่เย้าในทุกๆมื้ออาหาร หากหลี่เย้าทำเรื่องผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกทุบตีด้วยวิชาค้อน108ฝ่ามือพัวพันเป็นชุด จนเขาเจ็บปางตายและแทบอยากจะร้องขอความตาย

วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ช่วงเวลาในโลกแห่งความฝันราวกับแสงวูบวาบและเงามืดที่ไหลผ่าน แล้วเวลา 10 ปีก็ได้ผ่านพ้นไป

ในแต่ละวันที่ผันผ่านไป การทำงานที่เหน็ดเหนื่อยและซ้ำซากที่โหดร้ายทารุณ ค่อยๆทำลายความเข้าใจในตัวเองของหลี่เย้าไป ชื่อ “หลี่เย้า” กลายเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกล แม้แต่ความทรงจำในอดีตของเขา ก็ได้กลายเป็นเม็ดทรายที่ซุกซ่อนลึกลงไปในจิตใจของเขา พวกมันจมลึกลงไปจนถึงผืนทรายใต้ท้องมหาสมุทรและไม่มีแม้เศษเสี้ยวที่จะโผล่ขึ้นมาให้เห็น

เขาได้กลายเป็น “โอเย่หมิง” อย่างสมบูรณ์ โอเย่หมิง ผู้เป็นแรงงานชนชั้นล่างที่โดดเด่นที่สุดแห่งนิกายป่ายเลี่ยน!

30 ปีที่คลุกเคล้าไปด้วยเลือด, เหงื่อ, และน้ำตา เขาหล่อหลอมร่างกายของตัวเอง จนมีกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแกร่งเหมือนดั่งเหล็กกล้า และความทุกข์ทรมานที่ไททันได้มอบให้เขามานานวัน เขาก็ได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของวิชาค้อน108ฝ่ามือพัวพัน จนเชี่ยวชาญและสามารถก้าวข้ามเหล่าศิษย์สายในของนิกายป่ายเลี่ยนไปได้

นอกจากไททันแล้ว ก็ไม่มีใครเรียกเขาว่า “โอเย่หมิง” อีก เหล่าแรงงานชนชั้นล่างต่างก็เรียกเขาว่า “พี่ใหญ่โอเย่!”

ปีที่ 11 เขาได้กลายเป็นช่างตีเหล็กหมายเลข 2 ของนิกายป่ายเลี่ยน และได้รับอนุญาตให้เข้าสู่“ห้องตีเหล็ก”

วันเวลาบินผ่านไปราวกับติดปีก

ปีที่ 14 เขาได้กลายมาเป็นศิษย์สายนอกของนิกายป่ายเลี่ยน และได้รับนามว่า “ช่างตีเหล็ก” ในตอนนี้ เขาได้รับสิทธิในการสร้างและตีดาบบินระดับต่ำ สำหรับใช้ในหมู่ศิษย์สายนอกของนิกายแล้ว

ปีที่ 21 เขาได้กลายมาเป็น “ช่างระดับมาสเตอร์” และมีเตาหลอมเป็นของตัวเอง ในตอนนี้ เขาสามารถสร้างและตีดาบบินระดับต่ำทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง

ปีที่ 29 เขาได้กลายเป็น “ช่างระดับแกรนด์มาสเตอร์” และเป็นอันดับหนึ่งในศิษย์สายนอกทั้งหมดของนิกาย

ปีที่ 31 เหล่าผู้ฝึกตนฝ่ายอธรรมได้บุกรุกเข้ามา โอเย่หมิงรับหน้าที่รับมือกับนิกายชีต้าโม่ในสนามรบ เขาฟาดฟันผู้ฝึกตนระดับรากฐานของนิกายฝ่ายอธรรมไปถึง 24 คน และเป็นเวลาเดียวกับที่นิกายป่ายเลี่ยนค้นพบว่า โอเย่หมิงได้พัฒนาวิชาค้อน 108 ฝ่ามือพัวพัน ให้กลายเป็น189ฝ่ามือ!

ปีที่ 33 โอเย่หมิงได้คุกเข่าคำนับผู้อาวุโสแห่งนิกายป่ายเลี่ยน “ผู้อาวุโสหยูฉาง” และได้กลายมาเป็นศิษย์สายในของนิกายป่ายเลี่ยน สามปีต่อมา เขาก็ได้กลายเป็นศิษย์สายหลักและประจำอยู่ในห้องตีเหล็ก

ปีที่ 38 โอเย่หมิงได้รับการยกย่องจากรุ่นเยาว์ในนิกายป่ายเลี่ยนนับไม่ถ้วน ในฐานะของผู้ที่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของขอบเขตสร้างรากฐานวิญญาณได้เป็นคนแรก และจากชื่อเรียก “พี่ใหญ่โอเย่” ทุกคนได้เปลี่ยนไปเรียกเขาว่า “ศิษย์พี่โอเย่!”

ในปีเดียวกันนี้ เขายังได้ลูกสาวคนเดียวของ ผู้นำสูงสุดคนที่35ของนิกายป่ายเลี่ยนเป็นภรรยา

ในวันงานฉลองสมรส เขาก็ได้หญิงงามมานอนข้างกาย โอเย่หมิงเป็นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า อนาคตของเขานั่นไร้ขอบเขต เขาคิดย้อนกลับไปในช่วงที่เขาเป็นเพียงแค่แรงงานชนชั้นล่างสุดของนิกาย ในตอนที่เขาป่าวประกาศออกไปวา “สักวันหนึ่ง ข้าจะกลายเป็นผู้นำของนิกายป่ายเลี่ยน!”

ดูเหมือนว่า มันจะไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

ในปัจจุบัน เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ เขานั่งอยู่บนกองทรัพยากรที่ไม่มีวันหมด และเดินอยู่บนเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่โดยไร้ขวากหนาม เหล่าผู้อาวุโสของนิกายต่างเฝ้ามองเขาจากด้านบน และเหล่าพี่น้องร่วมสาบานช่วยผลักดันเขาจากด้านล่าง อนาคตของเขานั้นไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง เขาได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต!

เพียงแต่...เมื่อเขาคิดย้อนกลับไป ในวันที่เขาได้พูดประโยคนั้นออกมา มีความทรงจำที่เลือนรางผุดขึ้นมาในหัวของเขาด้วย มันเป็นสิ่งที่ซุกซ่อนลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของเขา และทำให้จิตใจของเขาต้องเป็นทุกข์

“สามีข้า ท่านจะต้องทำให้นิกายป่ายเลี่ยนของเรา กลายเป็นนิกายช่างหลอมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดาวเคราะห์ทั้ง3,000ดวง...” ภรรยาอันเป็นที่รักของเขานอนตะแคงอยู่บนเตียงนอน และมองมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มหวาน แววตาของเธอหวานฉ่ำและนุ่มนวลราวกับสายน้ำ

โอเย่หมิงรู้สึกถึงความหนาวสะท้นลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป

อยู่ภาพตรงหน้าของเขาได้เกิดการกระเพื่อมขึ้น ราวกับว่ามีบางอย่างบิดเบือนอวกาศและเวลา จนทำให้โลกใบนี้เกิดการกระเพื่อมขึ้น ใบหน้าภรรยาของเขาที่นอนอยู่บนเตียง กลายเป็นภาพเบลอ และได้เปลี่ยนกลายเป็นใบหน้าของอีกคนหนึ่ง ที่ใสสะอาดมากจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าสะอาดหมดจด

“สัญญากับฉันสิ ว่านายจะไม่ไปที่สนามแข่งรถอีก แล้วกลายมาเป็นช่างซ่อมรถที่ทำงานอย่างสุจริต จะไม่มีใครดูถูกนาย แล้วสักวัน เราจะมีร้านเป็นของตัวเอง!”

“สัญญากับฉันสิ อาเย้า!”

เขาผยักหน้าอย่างเหม่อลอย เขากระพริบตา แล้วเขาก็ตื่นขึ้นมา

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับว่า ได้มีบางอย่างที่คล้ายกับจิตวิญญาณได้หลุดลอยออกไปจากร่างกาย มันได้กลายเป็นร่างโปร่งใสและล่องลอยอยู่กลางอากาศ มันได้อยู่ภายในห้องหอของโอเย่หมิงและภรรยา ด้วยท่าทีที่สงบ ครั้งหนึ่งมันเคยได้รับประสบการณ์เดียวกันกับโอเย่หมิง แต่ในเวลานี้ มันได้กลายมาเป็นเพียงผู้ชมแทน

“ฉันไม่ใช่โอเย่หมิง ฉันไม่ใช่โอเย่หมิง! แล้วฉันเป็นใคร? ฉันคือ...ฉันคือ หลี่เย้า!”

มันราวกับว่า มีน้ำพุที่ใสสะอาดสาดเข้าไปในจิตใจของเขา จิตใจของเขา ได้ตื่นขึ้นมาและเข้าใจทุกอย่างได้แจ่มแจ้ง เขาสามารถรับรู้ถึงตัวตนของตัวเองได้อีกครั้ง และความทรงจำ 72 ปีก็แตกละเอียดกลายเป็นเศษกระจกหลากสีมากมาย แล้วกลายเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง

“เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้ว ถ้าฉันยังคงอยู่ในฝันนี้ต่อไปและออกมาไม่ได้ละก็ น่ากลัวว่า เมื่อฉันตื่นขึ้นมาจากฝัน คนที่ตื่นขึ้นมาอาจจะเป็นโอเย่หมิง ไม่ใช่ตัวฉันจริงๆ!” หลี่เย้าคิดย้อนกลับไปถึงความทรงจำมากมายในอดีต และอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาถึงความโชคดีของตัวเอง พร้อมกับเหงื่อเม็ดโตที่ผุดออกมา

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บทบาทของเขาคือผู้สังเกตการณ์ และคอยเฝ้ามองดูความเป็นไปในโลกแห่งความฝันต่อไป ถึงแม้ว่าเขาอาจจะยังไม่สามารถหลุดออกไปจากโลกแห่งความฝันได้ แต่เขาก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่านี่คือความฝัน ซึ่งเป็นความฝัน ที่ทำให้เขารู้สึกงุนงง

ในทางจิตวิยา มันคือสิ่งที่เรียกว่า “ฝันลูซิด”

(Lucid dream คือ การฝันโดยที่เรารู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ และยังสามารถควบคุมหรือมีส่วนร่วมในความฝันนั้นได้)

ช่วงเวลาในความฝันเปลี่ยนผ่านไปเร็วขึ้นและเร็วขึ้น จนกลายเป็นภาพที่ดูพล่ามัวคล้ายกับกำลังนั่งอยู่บนรถไฟคริสตัลความเร็วสูง มีเพียงบางช่วงบางตอนที่สำคัญเท่านั้นที่จะช้าลงได้บ้าง และช่วยให้หลี่เย้าได้เห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน

ปีที่ 41 หลี่เย้าได้เห็นว่า โอเย่หมิงกลายเป็นผู้อาวุโสที่มีอายุน้อยที่สุดในนิกายป่ายเลี่ยน ในปีเดียวกันนั้น เขาสร้างดาบลับขึ้นมา และสามารถบั่นศีรษะของมังกรพิษ ผู้เป็นผู้ฝึกตนฝ่านอะธรรมได้

ปีที่ 43 หลี่เย้าได้เห็น โอเย่หมิงเป็นตัวแทนนิกายป่ายเลี่ยนในการแข่งขัน “นักดาบ 10 ดาวเคราะห์” เขาได้ใช้ดาบที่มีชื่อว่า “ดาบกลืนมังกรรอยลี้” ก้าวข้ามผู้เข้าแข่งขันที่โดดเด่นคนอื่นๆ เขาทำลายอาวุธของคู่ต่อสู้ไปถึง 92 ชิ้นและได้รับฉายา “นักบุญดาบแห่ง 10 ดาวเคราะห์” และกลายเป็นนักตีดาบระดับมาสเตอร์ ที่ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสิบดาวเคราะห์

ปีที่ 52 หลี่เย้าได้เห็น ผู้ฝึกตนฝ่ายอธรรมบุกรุกเข้ามาอีกครั้ง เป้าหมายหลักของพวกเขาคือนิกายป่ายเลี่ยน ศิษย์หลัก, ผู้นำนิกาย, เหล่าสมาชิกระดับสูง, เหล่าผู้อาวุโส ได้ร่วงหล่นลงไปทีละคนๆ

สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น โอเย่หมิงถูกเลือกให้กลายเป็นผู้นำนิกายคนที่36ของนิกายป่ายเลี่ยน

ภายใต้การนำของเขา นิกายป่ายเลี่ยนถูกเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นโรงผลิตอาวุธขนาดใหญ่ และได้สร้างสรรค์อาวุธที่เป็นผลงานชิ้นโบแดงจำนวนมาก

ปีที่ 68 เหล่าศิษย์กลุ่มสุดท้ายของนิกายฝ่ายอธรรมถูกทำลายสิ้น ด้วยอาวุธที่สร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของโอเย่หมิง!

ในเวลานี้ ไม่มีใครเรียกเขาว่า “ศิษย์พี่โอเย่” หรือ “ผู้นำนิกายโอเย่”

ทุกคนต่างพากันเรียกเขาว่า ท่านโอเย่!

ปีที่ 109 นาม ท่านโอเย่ ได้ขจรขจายไปยังดาวเคราะห์นับร้อยที่อยู่รายล้อม แม้แต่ผู้ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลดวงดาว หรือแม้แต่ผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปนับล้านล้านกิโลเมตร พวกเขาต่างพากันเดินทางข้ามผ่านอันตรายมากมาย เพื่อร้องขออาวุธจากท่านโอเย่

ปีที่ 130......ปีที่ 250......ปีที่ 320......

ในท้ายที่สุด------

“ท่านผู้นำนิกาย! ท่านบรรพชน! ได้โปรดคิดอีกครั้ง โปรดคิดเรื่องนี้อีกครั้งเถิด! การข้ามผ่านกาลเวลามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้! ท่านคือเสาหลักที่คอยพยุงนิกายป่ายเลี่ยนของเราเอาไว้ ท่านไม่สามารถเอาตัวเอาเข้าไปเสี่ยงแบบนี้ได้!”

หลี่เย้ามองดูโถงตำหนักที่หรูหราและยิ่งใหญ่ เหนือขึ้นไปมีเมฆหมอกลอยวนอยู่ ผู้ฝึกตนกว่าหนึ่งหมื่นคนได้คุกเข่าอยู่บนพื้น พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับท่านโอเย่ และโคกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา จนภายในโถงเกิดเสียง “ปัง ปัง” ดังสะท้อนไปทั่ว พร้อมกับเลือดที่ไหลนองอยู่เต็มพื้นดิน

ท่านโอเย่ ที่มีเส้นผมและหนวดเคราเป็นสีขาว ได้ยืนอยู่ตรงกลางวงแหวนปริศนาขนาดใหญ่ อย่างสง่าผ่าเผย เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ในจักรวาลแห่งนี้มีดาวเคราะห์อยู่นับไม่ถ้วน มียุคสมัยไปเปลี่ยนผ่านไม่มีวันจบสิ้น ความหมายที่แท้จริงของการบ่มเพาะก็คือ...การได้ออกสำรวจจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด ตาแก่คนนี้ได้ประสบโชคและสร้างบางสิ่ง ที่สามารถทำให้การเดินทางข้ามเวลาได้”วงแหวนข้ามกาลเวลา“ถึงแม้ว่าเป็นไม่ได้จะไม่แน่นอน ข้าก็อยากจะลองดู เพื่อค้นหา ว่าสิ่งนี้จะสามารถข้ามผ่านกาลเวลาได้จริงหรือไม่”

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆเหลือบแลสายตาไปยังทุกคนที่อยู่ภายในโถงแห่งนี้ ใบหน้าของท่านโอเย่แสดงสีหน้าโศกเศร้าและพึมพำออกมาว่า “ลูกศิษย์ข้า พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกต่อไป ชายแก่คนนี้ได้ศึกษาอาร์ติเฟ็กซ์ทั้งหมดในโลกใบนี้จนหมดสิ้นแล้ว ข้าก็ได้แต่หวังว่า ในยุคสมัยที่ห่างไกลออกไป โลกในอีกหลายหมื่นปีข้างหน้า จะมีอาร์ติเฟ็กซ์ที่สามารถทำให้ผู้คนพึงพอใจได้”

ไม่มีเสียงพูดใดๆออกมาจากปากของเขาอีก ท่านโอเย่ได้ขับเคลื่อนการทำงานของเครื่องเดินทางข้ามกาลเวลา เกิดแสงพุ่งขึ้นมาจากวงแหวนและกลายเป็นเสาที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้

เสาไฟได้เปล่งประกายแสงของพลังงานวิญญาณและกระจายออกไปทั่วทิศทาง ผู้คนภายในตำหนักต่างตัวสั่นงันงกกับพลังงานวิญญาณที่แผ่กระจายออกมา เหล่าผู้ฝึกตนต้องปลดปล่อยเกราะพลังวิญญาณออกมาเพื่อป้องกันตัว ผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้กับท่านโอเย่ถูกคลื่นพลังงานสาดซัดจนพลิกคว่ำ

และพลังงานวิญญาณดูเหมือนจะไม่มีวันหมดสิ้น มันได้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีรูปร่างคล้ายคลึงกับสัตว์อสูรโบราณที่กำลังแยกเขี้ยว

“ไม่ ไม่ดีแล้ว ตอนนี้วงแหวนได้ดูดซึมพลังงานวิญญาณรอบๆไม่หยุด และกลายเป็นก้อนพลังขนาดใหญ่ มันมีโอกาสที่จะระเบิดได้ทุกเวลา!”

“มีบางอย่างผิดปกติกับวงแหวะ ทุกคน รีบอพยพเร็วเข้า วิ่ง!”

“ไม่ เราหนีไม่ทันเวลาแน่ๆ เร็ว รีบสร้างเกราพลังงานขึ้นมา จงใช้อาริติเฟ็กซ์ที่ทรงพลังที่สุดเพื่อต้านมันเอาไว้!”

“อ้ากกกกก------”

ภาพสุดท้ายที่หลี่เย้าได้เห็น คือภาพของลูกบอลแสงขนาดใหญ่ ที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆราวกับทะเลที่กำลังกลืนกินทุกศรรพสิ่ง พื้นที่โดยรอบ ฐานทัพลอยฟ้า และแม้แต่มหาสมุทรที่อยู่ด้านล่าง ก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างแทบทั้งหมด

และในตอนที่หลี่เย้าเฝ้ามองภาพของลูกบอลแสงขยายตัวไปจนถึงขีดจำกัด เขาก็ได้ตื่นขึ้นมาในทันที ในปีแห่งการบ่มเพาะที่ 40,000 ในดาวเทียนหยวน สหพันธรัฐแห่งดวงดาว ในเมืองฝูเกอ ในหมู่บ้านเจ้าหยางซุน ภายในบ้านของเขา หลี่เย้าก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด